Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 870 ธารดาราหลอมเพลิง
ตอนที่ 870 ธารดาราหลอมเพลิง
“สาม สอง…” มีคนเริ่มนับเวลาถอยหลังผู้แข็งแกร่งคนอื่นบางคนก็บีบเข้ามาใกล้ทีละก้าว สีหน้าเต็มไปด้วยไอสังหารเรื่องอย่างฆ่าคนปล้นสมบัตินี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำในโลกภายนอกเท่านั้น สำหรับบุคคลระดับผู้กล้าที่เข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้แล้ว ยิ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพื่อช่วงชิงวาสนาและศุภโชคดังกล่าว แม้จะเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันก็ไม่หวั่นกลัวอะไรบนโลกนี้ ข้อจำกัดและกฎเกณฑ์ก็เป็นสิ่งที่มีขึ้นเพื่อผู้อ่อนแอ ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงยืนอยู่เหนือกฎเกณฑ์เสมอ!นี่ก็คือความเป็นจริงเนี่ยอี้อันสีหน้าเหยเกถึงที่สุด ในที่สุดเขาก็กัดฟันแล้วตัดสินใจยอมแพ้นี่เพิ่งเป็นบททดสอบด่านแรกของเทศกาลโคมกถามรรค เทียบกับดอกบัวเพลิงเจ็ดกลีบดอกหนึ่ง เขาไม่อยากถูกคัดออกตอนนี้มากกว่าไกลออกไป หลินสวินได้เห็นภาพนี้ก็อดลอบถอนใจไม่ได้ว่าตนคาดเดาไว้ถูกต้อง“ทีนี้ก็ไสหัวไปซะ ข้าจะทำเป็นไม่เห็น”หลินสวินเงาร่างไหววูบและมาปรากฏตัวในที่นั้น ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็กวาดสายตาเย็นเยียบมองทุกคน แล้วเริ่ม ‘ส่งแขก’เทพมารหลิน!ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นตื่นตระหนก สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อกี้พวกเขาเห็นกับตาว่าหลินสวินจากไปเพียงลำพัง จะคิดได้อย่างไรว่าเขาจะกลับมาอีกแล้วส่วนเนี่ยอี้อันที่เดิมเตรียมจะยอมแพ้ไม่ดิ้นรนก็อึ้งงันเหมือนทำใจเชื่อได้ยากในคราวแรก จากนั้นถึงยินดีปรีดา สั่นระริกไปทั้งกายในที่สุด ความรู้สึกทั้งหมดนี้ล้วนแปรสภาพเป็นความซาบซึ้งจากใจเขาคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ที่มอบวาสนาให้ตนจะเป็นหลินสวิน และผู้ที่ลุกขึ้นช่วยเหลือตนก็ยังเป็นหลินสวินด้วย!เวลานี้ต่อให้หลินสวินให้เขาไปบุกน้ำลุยไฟ ก็เกรงว่าเขาจะไม่นิ่วหน้าแม้สักนิดแล้ว“เทพมารหลิน นี่เป็นเรื่องของพวกเรา เจ้าอย่ามายุ่งจะดีที่สุด”“อย่าคิดว่าพลังเจ้าแกร่งกล้าแล้วพวกข้าจะกลัวเจ้า ที่นี่มีสหายยุทธ์อยู่มากมาย เจ้าคิดว่าลำพังเจ้าคนเดียวจะรับมือไหวหรือ”ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นเอ่ยปากพลางยิ้มเหี้ยม พวกเขาไม่ยอมรามือเท่านี้ชิ้ง!ดาบหักที่เจิดจ้าราวหิมะดุจดั่งภาพมายาเพ้อฝันโฉบออกมาทันใด วนรอบกายหลินสวิน เจตดาบที่น่ากลัวแผ่กระจาย ฉีกห้วงอากาศออกเป็นรอยแยกน่าตื่นตระหนกสายแล้วสายเล่า“ข้าจะพูดอีกครั้ง ไสหัวไปซะ” หลินสวินสีหน้าเย็นชา แค่เหล่าผู้กล้าสิบกว่าคนเท่านั้น ไม่อาจข่มขู่เขาได้เลย“เทพมารหลิน เจ้าไปล่วงเกินผู้กล้าที่โดดเด่นแห่งยุคมากมายขนาดนั้น สถานการณ์ก็ไม่ดีนานแล้ว เคราะห์ใหญ่กำลังจะมาถึงตัวอยู่ก่อนแล้ว หรือตอนนี้ยังคิดจะผิดใจกับพวกเราโดยสิ้นเชิงอีกหรือ”บางคนสีหน้าถมึงทึง ตะคอกออกมาว่า “อย่าลืมล่ะ ในแดนฐิติประจิมนี้เจ้าหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีสำนักเก่าแก่เป็นที่พึ่ง ทั้งยังไม่มีตระกูลทรงอำนาจหนุนหลัง หากเจ้าล่วงเกินพวกเรา เช่นนั้นเกรงว่าเจ้าจะรับผลลัพธ์ไว้ไม่ไหวแน่”“ใช่แล้ว ผู้ฝึกปราณที่มาจากโลกชั้นล่างคนหนึ่งอย่างเจ้า ข้าขอเตือนให้เจ้าอ่อนน้อมลงหน่อย ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาสักนิด หาไม่แล้วจะตายโดยไม่รู้ตัว!”“อีกอย่าง ในแดนลับนี้เจ้าก็ฆ่าพวกเราไม่ได้ กลับจะเป็นการล่วงเกินพวกเราอย่างสมบูรณ์เพราะสู้กับพวกเรา เจ้าคิดว่าเช่นนี้คุ้มหรือ”ในใจผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ต่างหวั่นกลัวหลินสวิน แต่พวกเขาย่อมมีที่พึ่ง นำฐานะและภูมิหลังมาข่มขู่ หมายจะทำให้เขายอมถอย“พวกสวะ”ริมฝีปากหลินสวินพ่นคำนี้ออกมาเบาๆสวบ!แทบจะในเวลาเดียวกัน ดาบหักก็โฉบออกไปดุจลำแสงจากบรรพกาลโฉบเคลื่อน เปล่งประกายน่าตื่นตาไปทั่วจากนั้นภาพประหลาดก็บังเกิดขึ้น ดาบหักเพิ่งจู่โจม ก็เห็นว่าห้วงอากาศห่างออกไปจู่ๆ ก็เกิดคลื่นยักษ์ระลอกแล้วระลอกเล่า พัดเอาผู้แข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าไปด้วย!เนี่ยอี้อันสูดหายใจหนาวสะท้านดังเฮือก ตกใจอยู่เช่นนั้นการต่อสู้เช่นนี้น่าตื่นตะลึงเกินไปแล้ว หลินสวินเพิ่งโจมตีครั้งเดียว ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ตรงข้ามเหล่านั้นถึงกับไม่ทันได้ตอบโต้ก็ถูกเคลื่อนย้ายจากไปแล้ว!นี่หมายความว่าอย่างไรก็หมายความว่าอานุภาพการโจมตีของหลินสวินนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก ยามฟันออกไปจริงๆ ไม่มีผู้ใดในที่นั้นสามารถตั้งรับไว้ได้ ทั้งยังจะชี้เป็นชี้ตายได้ในชั่วพริบตา!ไม่เช่นนั้นพลังกฎเกณฑ์ของแดนลี้ลับนี้คงจะไม่สำแดงฤทธิ์ ทำให้ผู้แข็งแกร่งถูกคัดออกจากการทดสอบไปทีละคน!ในขณะเดียวกันหลินสวินก็นิ่วหน้า พลังของแดนลี้ลับนี้เหนือธรรมชาติเกินไป เหมือนมีสติปัญญารับรู้อยู่ทั่วไปหมด ไม่ยินยอมให้ความตายเกิดขึ้นเด็ดขาดเห็นเช่นนี้หลินสวินก็เก็บดาบหักทันที ไม่ลองเชิงอีกส่วนผู้แข็งแกร่งห้าหกคนที่ยังอยู่ในที่นั้นไม่ถูกคัดออก โชคดีพ้นเคราะห์ไปครั้งหนึ่ง เพียงแต่ตอนนี้พวกเขาตกใจจนทื่อทึ่ม ทั้งร่างสั่นระริก ท่าทางอกสั่นขวัญแขวนเหมือนต้องมนต์หลินสวินไม่ใส่ใจคนเหล่านี้อีก จากไปกับเนี่ยอี้อัน กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ถึงบอกลาฝ่ายหลัง“หลินสวิน ข้า… ขอบคุณนะ” เนี่ยอี้อันพูดตะกุกตะกักอยู่บ้าง“เจ้าระวังตัวหน่อยนะ”หลินสวินยิ้มให้แล้วหันกายจากไป…สามวันผ่านไปในส่วนลึกของชั้นน้ำแข็งที่มีลมหิมะปกคลุม หลินสวินลืมตาขึ้นจากการทำสมาธิเขายื่นมือใหญ่ขาวสะอาดเรียวยาวออกไปกดชั้นน้ำแข็งที่อยู่บนหัวเบาๆโครม!บริเวณฝ่ามือ ดวงไฟดวงแล้วดวงเล่าระเบิดออกราวกับดาราเพลิงดารดาษ เกิดเป็นพลังเผาผลาญที่น่ากลัวชั้นน้ำแข็งถึงสามพันจั้งถูกเผาผลาญกลายเป็นโพรงยักษ์ ทะลุขึ้นไปถึงพื้นดินในชั่วพริบตา!นี่ก็คือมรดกวิชามรรคที่เขาได้รับจากดอกบัวเพลิงเก้ากลีบ… ‘ธารดาราหลอมเพลิง’!วิชามรรคล้ำเลิศที่อานุภาพไพศาล พลังทำลายล้างน่าตื่นตะลึงวิชาหนึ่ง!‘น่ากลัวดังคาด หากสำแดงพลังทั้งหมด พลังทำลายล้างระดับนี้คงปกคลุมฟ้าดิน ใช้ในยามจู่โจมเป็นกลุ่ม สามารถทำให้เกิดการโจมตีถึงชีวิตที่ไม่อาจคาดคะเนได้…’ในใจหลินสวินอดตื่นตะลึงไม่ได้อยู่บ้างนี่ก็คือวิชามรรค!พลังที่ผสานวิชาและมรรค อานุภาพไร้ที่สิ้นสุด สามารถเผาบรรพตต้มสมุทร หลอมสรรพสิ่งในจักรวาลได้อย่างแท้จริง!ที่น่าตระหนกก็คือ ความเร้นลับที่อยู่ในธารดาราหลอมเพลิงก็ไม่ด้อยไปกว่ามังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรกับเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์‘นี่เป็นเพียงวาสนาที่ได้รับจากบททดสอบด่านแรกของเทศกาลโคมกถามรรคเท่านั้น ก็น่าตื่นตะลึงเช่นนี้แล้ว ไม่กล้าคิดเลยว่าบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณที่อยู่หลังบททดสอบห้าด่านนี้ต้นนั้น จะมีมหาวาสนาสะท้านโลกาเช่นใดซ่อนอยู่’หลินสวินพึมพำในใจทว่าสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดที่เก็บเกี่ยวได้ในคราวนี้ ไม่ได้มีเพียงวิชามรรคชั้นเลิศวิชาหนึ่งเท่านั้น แต่ด้วยวิชามรรคนี้ ทำให้เขาหยั่งถึง ‘ท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุไฟ’ แล้ว!ไฟ หนึ่งในธาตุทั้งห้า ทั้งเป็นมหามรรคที่อหังการโจษจันที่สุดในฟ้าดิน พลังของมันรุนแรงและเหิมเกริม พลังทำลายล้างน่าตระหนก‘เวลาสามวันก็ทำให้เราหยั่งถึงถึงแก่นอัศจรรย์ของท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุไฟ พลังของวิชามรรคชั้นเลิศนี้ช่างมหัศจรรย์เกินไปแล้ว’ตัวหลินสวินเองออกจะทำใจเชื่อได้ยากอยู่บ้างที่ต้องรู้ก็คือ ยามเขาหยั่งรู้ท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุน้ำนั้นเสียเวลาไปมาก กระทั่งก่อนทะลวงระดับกระบวนแปรจุติถึงได้บรรลุถึงเจตจำนงแห่งมรรคได้แต่ตอนนี้ เพียงแค่วิชามรรคชั้นเลิศวิชาหนึ่งก็ทำให้เขาหยั่งถึงระดับ ‘ท่วงทำนอง’ แห่งมรรคธาตุไฟได้ นี่ดูน่าตกใจอย่างไม่ต้องสงสัย!ในฟ้าดินแห่งนี้ มหามรรคมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่ ‘มหามรรค’ ที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปกลับมีไม่มากภายในนั้น มหามรรคเก้าสายอย่างปัญจธาตุ หยินหยาง และวาโยอสนีเหล่านี้ ถูกผู้ฝึกปราณในโลกยกให้เป็นมหามรรค ‘ขั้นหนึ่ง’ ที่แท้จริงทั้งยังถูกขนานนามว่าเป็น ‘เก้ามรรคขั้นหนึ่ง’นอกจากนี้ ยังมีมหามรรคที่จัดเป็นพวกขั้นสอง ขั้นสาม ขั้นสี่… อีก แต่เมื่อเปรียบเทียบกัน พลานุภาพและแก่นอัศจรรย์ไม่อาจเทียบ ‘เก้ามรรคขั้นหนึ่ง’ ได้เลยส่วนมรรคจำพวกมรรคกระบี่ มรรคดาบ มรรคสังหาร มรรคผลาญทำลาย ถือว่าอยู่ในขอบเขตของวิถียุทธ์ เป็นการควบคุมพลังมหามรรคอย่างหนึ่งหลินสวินเคยได้ยินมาก่อนว่า เหนือมหามรรคขั้นหนึ่ง ยังมีพลังมหามรรคที่ชื่อว่า ‘ขั้นสูงสุด’ อยู่แต่ว่าพลังมหามรรคขั้นสูงสุดมีเพียงอริยะที่แท้จริงถึงสามารถหยั่งรู้และควบคุมได้ ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าอริยะไม่สามารถไปถึงขั้นสูงสุดได้!‘ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยิ่งมหามรรคที่ผู้ฝึกปราณครอบครองมีมากเท่าไร พลังต่อสู้ที่สามารถสำแดงออกมาก็ยิ่งแข็งกล้าเท่านั้น กระทั่งสามารถทำให้เกิดผลลัพธ์ได้หลายเท่า เช่นเดียวกัน ยิ่งหยั่งรู้มหามรรคได้ลึกล้ำ ก็ยิ่งส่งเสริมการสำแดงพลังต่อสู้’‘ตอนนี้ข้าหยั่งถึงเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำและท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุไฟแล้ว เท่ากับว่าเมื่อเทียบกับแต่ก่อนพลังต่อสู้พัฒนาขึ้นอีกขั้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็ยังไม่พออยู่มาก’‘ได้ยินว่าในยุคบรรพกาล ผู้โดดเด่นแห่งยุคบางคนสามารถควบคุมดินฟ้าอากาศ ใช้พลังหยินหยาง ครอบครองความเร้นลับมหามรรคมากมาย พลังแข็งกล้าอย่างเหลือเชื่อ’‘ถ้าข้าคิดจะทะลวงหนทางในอดีต เดินไปบนมรรคาเส้นใหม่ ก็ต้องมุ่งหน้าค้นหาและสืบเสาะในเส้นทางสายนี้’‘คิดจะเป็นราชันสังสารวัฏมกุฎมรรคา… ที่ต้องต่อสู้แย่งชิงไม่ใช่แค่วาสนามหาโลกา ยังต้องสู้กับภูมิหลังและพลังของตัวเองด้วย!’ดวงตาสีดำของหลินสวินวาวโรจน์ ท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุไฟทำให้เขาเหมือนได้มองทะลุอาณาเขตใหม่ เหมือนดั่งเปิดประตูใหญ่บานใหม่บานหนึ่ง รู้สึกสดชื่นในทันใด ตื่นรู้ขึ้นโดยพลันนี่ก็คือข้อเสียในการฝึกปราณด้วยตัวเอง ทั้งหมดต้องค้นหาสืบเสาะด้วยตัวเอง ไม่เหมือนผู้สืบทอดสำนักเก่าแก่เหล่านั้น ไม่ต้องค้นหาก็ได้รับการชี้แนะจากผู้อาวุโสในสำนักทว่ามีดีย่อมมีเสีย หลินสวินสืบเสาะค้นหาด้วยตัวเอง เท่ากับข้ามกฎเกณฑ์ไปมากมาย สามารถไล่ตามการเปลี่ยนแปลงได้อย่างใจกล้า ค้นหามรรคาที่เหมาะกับตนที่สุดส่วนผู้สืบทอดสำนักเก่าแก่เหล่านั้น แม้กล่าวว่ามีผู้อาวุโสในสำนักชี้แนะ แต่การชี้แนะเช่นนี้ก็มีกฎเกณฑ์และข้อจำกัด พาให้พวกเขาทำได้เพียงสืบทอดและตามรอยเดิมของผู้อาวุโสในสำนักอย่างไม่ต้องสงสัย!ตามรอยเดิม พยายามทั้งชีวิตก็ทำได้เพียงประสบความสำเร็จอย่างที่คนโบราณเคยทำได้เท่านั้น แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่หลินสวินต้องการมรรคาของเขา ต้องเหนือกว่าอริยะชั้นยอดแห่งบรรพกาล เดินบนมหามรรคที่เป็นของตน!ฟุ่บ!เงาร่างหลินสวินไหววูบ หายตัวแล้วพุ่งไปยังพื้นดินลมหิมะตลบอบอวล ฟ้าดินยังคงเวิ้งว้างเหมือนเดิม เวลาผ่านไปแล้วสามวัน ขอเพียงไม่ถูกคัดออกในช่วงสี่วันที่เหลือก็เท่ากับผ่านการทดสอบด่านแรกอย่างราบรื่น‘ก็ไม่รู้ว่าเจ้าเยวี่ยเจี้ยนหมิงตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว…’ในมือหลินสวินยังมีดอกบัวเพลิงแปดกลีบอีกสองดอก คิดจะมอบให้เยวี่ยเจี้ยนหมิงและไป่เฟิงหลิวคนละดอก ที่เขาเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคได้ก็เพราะเยวี่ยเจี้ยนหมิงช่วยเหลือเช่นเดียวกัน หากไม่มีไป่เฟิงหลิว เขาก็จะไม่รู้ความลับเกี่ยวกับเทศกาลโคมกถามรรคมากมาย มีคุณต้องทดแทน เป็นหนึ่งในนิสัยที่หลินสวินยึดถือมาตลอดพูดถึงดอกบัวเพลิงแปดกลีบสองดอกนี้ วิชามรรคที่ซ่อนอยู่ภายในก็แข็งแกร่งยิ่งนัก เรียกได้ว่ามีคุณภาพชั้นยอดในโลกยุคปัจจุบันสิ่งเดียวที่ต่างจากดอกบัวเพลิงเก้ากลีบอาจจะอยู่ที่ วิชามรรคที่ซ่อนอยู่ในดอกบัวเพลิงสองดอกนี้ไม่มีมรดกพลังมหามรรคไม่เหมือนอย่างดอกที่หลินสวินหลอม ตอนที่หลินสวินครอบครองวิชามรรคธารดาราหลอมเพลิง ยังสามารถหยั่งรู้ท่วงทำนองแห่งมรรคส่วนหนึ่งของมหามรรคแห่งไฟได้ด้วยนี่ก็คือสิ่งที่มหัศจรรย์ของวิชามรรคชั้นยอด ย่อมเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน!‘ช่างเถอะ คิดมากไปก็เปล่าประโยชน์ ต้องรีบเก็บผลึกวิญญาณเจตะกับโอสถวิญญาณเจตะไว้มากๆ ในช่วงสี่วันที่เหลือนี้’หลินสวินสูดหายใจลึกแล้วตัดสินใจสวบ!ครู่ต่อมา เงาร่างสูงโปร่งของเขาก็หายลับไปในลมหิมะไร้ขอบเขต
คอมเม้นต์