Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 856 มหาวิหารธรรมแดนเร้นอริยะ

อ่านนิยายจีนเรื่อง Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 856 มหาวิหารธรรมแดนเร้นอริยะ 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ตอนที่ 856 มหาวิหารธรรมแดนเร้นอริยะ
ผู้ฝึกปราณในที่นั้นสั่นสะท้าน เทพมารหลินดุดันไปแล้ว แม้ท่านย่ากระเรียนทองปรากฏตัว เขายังกล้าบุกโจมตีโดยไม่หวาดเกรง พาให้อึ้งงันนัก
ท่านย่ากระเรียนทองคือหญิงชราผมเงินดุจหิมะนั่น เป็นยอดบุคคลรุ่นอาวุโสซึ่งฐานะโดดเด่นผู้หนึ่งของเรือนกระบี่เร้นปุจฉา คุณธรรมบารมีสูงส่ง ชื่อเสียงกิตติศัพท์เกรียงไกร
ในแดนฐิติประจิม แม้คนใหญ่คนโตส่วนหนึ่งของสำนักโบราณยังต้องให้เกียรตินางถึงสามส่วน นี่แหละคือบารมี
สีหน้าจงหลีอู๋จี้เคร่งขรึม ตวาดเสียงกร้าว “หลินสวิน เจ้ากล้ามากนักนะ! เพื่อกระทำการชั่วร้าย ถึงกับล่วงเกินผู้อาวุโสเรือนกระบี่เร้นปุจฉา ช่างไร้มารยาทเหิมเกริมอย่างยิ่ง!”
เสียงสะเทือนเก้าสวรรค์ พาให้ผู้คนแตกตื่น นี่คือการยึดกุมโอกาสหมายยุแหย่ความสัมพันธ์ระหว่างเทพมารหลินและเรือนกระบี่เร้นปุจฉา!
“เจ้ามันกระจอก ถ้ากล้าก็ออกมาสู้กันสักตั้ง!” หลินสวินไม่เกรงใจยิ่ง เขาเกลียดคู่ต่อสู้จอมปลอมเช่นนี้ที่สุด
จงหลีอู๋จี้วางอำนาจน่ายำเกรง นัยน์ตาทองวาบประกายสายฟ้า พลานุภาพข่มผู้คน ตวาดลั่น “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าหรือ วันนี้ข้าจะธำรงธรรมแทนสวรรค์ สำเร็จโทษคนคลั่งไร้ขนบธรรมเนียมเช่นเจ้า!”
“พอแล้ว อย่าก่อศึกกันอีก”
ท่านย่ากระเรียนทองโบกมือ “พวกเจ้าอยากต่อสู้ สามารถตัดสินแพ้ชนะที่เทศกาลโคมกถามรรค ถึงเวลานั้นคนแก่อย่างข้าล้วนไม่อาจขัดขวางการโรมรันของพวกเจ้า”
พูดพลางนางปราดมองหลินสวินอย่างมีนัยลึกล้ำ
หลินสวินสะท้านภายในใจ รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเตือนตน ถึงแม้วันนี้เปิดฉากเข่นฆ่าใหญ่หลวงก็ไม่อาจสังหารคู่ต่อสู้ได้
เหตุผลนั้นง่ายมาก ในที่ลับยังมีคนใหญ่คนโตไม่รู้เท่าไหร่กำลังติดตาม แน่นอนว่าไม่มีทางให้ตนทำการฆ่าฟันตามใจ
กลับเห็นจงหลีอู๋จี้ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ผู้อาวุโสกล่าวไม่ผิด ก่อนหน้าข้าก็เคยพูดเช่นนี้ แต่น่าเสียดายกลับมีบางคนเก็บอาการไม่อยู่ กระโดดโหยงเหยงราวตัวตลก พาให้ขบขัน”
สำหรับการเหน็บแนมเช่นนี้ หลินสวินกล่าวตรงไปตรงมา “จำคำเจ้าไว้ รอเทศกาลโคมกถามรรคเริ่มต้น จะฆ่าเจ้าซะ!”
จงหลีอู๋จี้ยิ้มเยาะ “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถหรือไม่!”

ศึกโกลาหลกลางเมืองครั้งปิดฉากลง หลินสวินไม่ได้เข้าหอวสันตสารท จากไปพร้อมไป่เฟิงหลิวและเยวี่ยเจี้ยนหมิง
ในใจเขาสะสมไอสังหาร แต่ไม่ได้วู่วาม หมายอาศัยช่วงก่อนเทศกาลโคมกถามรรคจะเริ่มต้น ทำความเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับงานเทศกาลใหญ่ครั้งนี้โดยละเอียด
“เทพมารหลินสมคำร่ำลือ!”
แม้ศึกใหญ่ปิดฉากลง แต่ผู้ฝึกปราณในที่นั้นยังไม่อาจสงบ นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เห็นกับตาเมื่อครู่ ยิ่งรู้สึกถึงความทรงพลังและป่าเถื่อนของหลินสวินกว่าเดิม
“เด็กหนุ่มซึ่งมาจากโลกชั้นล่างคนหนึ่ง ปัจจุบันสามารถมีท่วงท่าแห่งยุคเช่นนี้ ถามตัวเองดูว่าในบรรดาคนรุ่นเยาว์แดนฐิติประจิม ใครสามารถทำถึงขั้นนี้ได้บ้าง ต่อไปหากใครกล้าพูดว่าเทพมารหลินมีแต่ชื่ออีก เช่นนั้นคงเรียกได้ว่าไม่รู้จริง!”
ผู้ฝึกปราณมากมายต่างค่อนข้างชื่นชม เทพมารหลินมาจากโลกชั้นล่างตัวคนเดียว ไร้ที่พึ่งพิง ผลงานการต่อสู้ติดตัวล้วนใช้กำปั้นตนสร้างมาทั้งสิ้น!
นี่เห็นได้ว่าไม่ง่ายนัก และไม่ใช่สิ่งที่เหล่าผู้สืบทอดสำนักโบราณคนอื่นสามารถเทียบได้
“ตัวคนเดียวพิชิตผู้กล้าแห่งยุคสองคน ทั้งประกาศศักดาจะฆ่าจงหลีอู๋จี้ที่เทศกาลโคมกถามรรค พลังต่อสู้และความห้าวหาญเช่นนี้ กวาดตามองทั่วแดนฐิติประจิมใครยังจะเหนือกว่า”
“พวกเจ้าว่าศักยภาพของเทพมารหลินบรรลุถึงขั้นไหนกันแน่ วิปริตเกินไปแล้ว!”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์นานัปการดังขึ้นต่อเนื่องเป็นระลอก

หอวสันตสารท
ทั้งหมดแบ่งเป็นเก้าชั้น ภายในยังคล้ายมีฟ้าดินอีกแห่ง หนึ่งชั้นหนึ่งทัศนียภาพ พื้นที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
ที่แห่งนี้เคยมีร่องรอยอริยบุคคลบรรพกาล หากอยู่ภายในสามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายเก่าแก่เคร่งขรึมได้อย่างชัดเจน
เทศกาลโคมกถามรรคจวนเริ่มต้น ภายในหอวสันตสารทรวมตัวผู้กล้ามากมายซึ่งมาจากต่างบริเวณในแดนฐิติประจิม
ช่วงก่อนหน้านี้ คิดอยากพบผู้กล้าสักคนล้วนยาก แต่ยามนี้ภายในหอวสันตสารทเก้าชั้น เต็มไปด้วยบุคคลแห่งยุครุ่นเยาว์ซึ่งชื่อเสียงสะเทือนแดนดิน เรียกได้ว่าเป็นชุมนุมผู้กล้า
แต่ระหว่างผู้กล้าเองยังมีแบ่งสูงต่ำ เฉกเช่นหอวสันตสารทเวลานี้ เหล่าผู้กล้าซึ่งลงหลักปักฐานอยู่ชั้นแรก คือผู้ที่ไม่อาจเปรียบเทียบกับยอดผู้กล้าซึ่งอยู่บนชั้นเก้า
นี่แหละคือช่องว่าง
ยกตัวอย่างง่ายที่สุด ในแคว้นวิญญาณอัคนี เยวี่ยเจี้ยนหมิงถือเป็นพวกมีอิทธิพลเจิดจรัสยิ่งยวดคนหนึ่ง
แต่หลังจากมาถึงหอวสันตสารทกลับได้อยู่แค่ในชั้นแรก แม้แต่ซาหลู่ผู้ติดตามคนหนึ่งยังกล้าซัดเขาออกไปนอกหอ นี่ก็คือช่องว่างระหว่างเขาและผู้กล้าแห่งยุค
ไม่เพียงเกี่ยวเนื่องกับศักยภาพแห่งตน ยังมีความแตกต่างของตำแหน่งและฐานะด้วย
เหมือนพวกไป๋หลิงซีที่แม้ยังไม่ถึงขั้นเป็นผู้กล้าแห่งยุค แต่พวกเขามาจากสำนักโบราณแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณ!
อาศัยเพียงฐานะเช่นนี้ก็ทำให้เหล่าผู้กล้าบางส่วนไม่อาจล่วงเกิน แน่นอนว่ามีสิทธิ์พักบนชั้นเก้าของหอวสันตสารท
แต่ไม่ว่าอย่างไร สามารถเข้าสู่หอวสันตสารทได้ก็เป็นการยอมรับอย่างหนึ่ง ว่าไม่ใช่คนที่ผู้ฝึกปราณส่วนมากบนโลกสามารถเทียบได้
“เทพมารหลินนี่ช่างป่าเถื่อนเหลือเกิน ร้ายกาจยิ่งกว่าข่าวลืออยู่บ้าง ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขามาจากโลกชั้นล่าง”
“เฮ้อ ผู้กล้าแห่งยุคอีกคนปรากฏตัว แม้เทศกาลโคมกถามรรคครานี้มีวาสนาแห่งยุคมากมาย เกรงว่าที่สามารถถูกพวกเราช่วงชิงมาคงน้อยจนน่าสงสาร”
“วันนี้ในที่สุดข้าก็ได้รู้ว่าอะไรคือการต่อสู้ระหว่างผู้กล้าแห่งยุค แต่ละคนวิปริตเสียยิ่งกว่าอีกคน ช่างพาให้ผู้คนสิ้นหวังนัก”
ภายในหอวสันตสารทขณะนี้ล้วนวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด ไม่ว่าผู้กล้าซึ่งนั่งอยู่ชั้นไหนก็ตาม ต่างกำลังถกประเด็นเหตุการณ์ต่อสู้พัลวันที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
อีกไม่กี่วันเทศกาลโคมกถามรรคจะเริ่มขึ้น ในเวลาเช่นนี้เทพมารหลินปรากฏตัวอย่างแกร่งกร้าว ทำเหล่าผู้กล้ามากมายรู้สึกถึงแรงกดดัน
“ฮึ เขาแข็งแกร่งแล้วอย่างไร ล่วงเกินเหล่าบุคคลแห่งยุคอย่างซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์ จงหลีอู๋จี้ เมื่อเทศกาลโคมกถามรรคเริ่มต้น เขาต้องพบการโจมตีอย่างไม่เคยมีมาก่อน ไม่แน่ว่า… อาจถึงขั้นประสบเคราะห์!”
และมีผู้กล้ามากมายไม่พอใจยิ่ง
พวกเขามองหลินสวินเป็นพวกลวงโลกแอบอ้างชื่อมาตลอด บัดนี้ยิ่งหลินสวินเผยพลังอย่างเจิดจรัส ในใจพวกเขาก็ยิ่งอัดอั้น
“ไม่ผิด เทพมารหลินนี่ก็แค่คนที่มาจากโลกชั้นล่าง ต่อให้ศักยภาพแข็งแกร่งแค่ไหนก็เป็นแค่ผู้ฝึกปราณไร้สังกัดคนหนึ่ง แต่เขาดันใจกล้าบ้าระห่ำยิ่ง ครั้งนี้ทำให้เกิดคลื่นลมใหญ่ขนาดนี้ คงถูกผู้คนมองเป็นหนามยอกอกแล้ว!”
ระหว่างที่กำลังสนทนา พลันมีคนหัวเราะกล่าว “คนต่ำช้าอย่างพวกเจ้านี่ แต่ละคนเจตนาคลุมเครือ วาจาเจือรสอิจฉาริษยา ทำได้แค่บ่นงึมงำอยู่ที่นี่ หากให้พวกเจ้าไปเผชิญหน้าเทพมารหลินนั่นจริงคงยอมแพ้ทันที”
ใครกัน?
ทันใดนั้นเหล่าผู้กล้ามากมายสีหน้าพลันอึมครึม หันสายตามองไปทางต้นเสียงโดยพร้อมเพรียง
นั่นคือภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง สวมจีวรขาว รูปร่างผอมตอบ งามสง่าปลีกโลกา นั่งอยู่ตรงนั้นตามอารมณ์ กำลังหิ้วกาน้ำชาดินม่วงชงน้ำชา
เขาหน้าผากกว้าง ศีรษะเกลี้ยงเกลา นัยน์ตาใสสงบดุจดาราพรั่งแสงปัญญา แค่มองเพียงครู่ก็สัมผัสถึงท่วงทำนองปราณที่ไร้มลทิน
ผู้กล้าทั้งหมดต่างนัยน์ตาหดรัดลง สังเกตเห็นความไม่ธรรมดาของภิกษุหนุ่มคนนี้
แต่ถึงอย่างไรที่นั่งอยู่ล้วนเป็นผู้กล้า ฉับพลันก็มีคนยิ้มเยาะ “ไม่ทราบว่าสหายท่านนี้คือผู้สืบทอดวัดอารามเก่าแก่ไหนหรือ ทำไมกล่าววาจาหลงระเริงเช่นนี้ ไม่มีท่าทางของนักบวชแม้แต่น้อย!”
ภิกษุหนุ่มยิ้มเล็กน้อย ถือถ้วยชาขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ ลิ้มรสพลางกล่าวราบเรียบ “นักบวชไม่กล่าวมดเท็จ เห็นอะไรพูดอย่างนั้น หากทุกท่านไม่พอใจก็ลองไปหาเทพมารหลินคนนั้นได้ ถ้าไม่ทำตามถือว่ายอมรับแล้ว”
สีหน้าทุกคนต่างอึมครึม ภิกษุรูปนี้ดูเหมือนสุภาพนุ่มนวล แต่วาจาแหลมคมเหลือประมาณ
อันคำว่าตีคนไม่ตีหน้า เปิดโปงคนไม่ขุดคุ้ย แต่เห็นชัดว่าภิกษุรูปนี้ชำนาญการขุดคุ้ยแผลเก่า ทำทุกคนในที่นั้นต่างชิงชังและไม่ชอบใจ
ทว่าไม่รอพวกเขาเอ่ยปาก ก็เห็นภิกษุหนุ่มรูปนี้ลุกขึ้น อาภรณ์บริสุทธิ์ปลีกโลกงามสง่า ประดุจบัวหิมะดอกหนึ่งซึ่งไม่แปดเปื้อนโลกีย์
“อะไรเรียกว่าผู้กล้า ปรีชาสามารถในหมู่ชน ผู้นำแห่งหมู่ดารา น่าเสียดายในที่แห่งนี้มีคนเพียงบางตาที่เหมาะกับสมญาเช่นนี้”
เขาถอนหายใจแผ่ว คล้ายหมดสนุกอยู่บ้าง ก่อนก้าวออกไปนอกหอวสันตสารท
สีหน้าทุกคนอึมครึมยิ่งกว่าเดิม นี่เท่ากับด่าพวกเขาว่าคุณสมบัติไม่พอเป็นผู้กล้าโดยตรง!
“ดูเหมือนทุกท่านไม่พอใจนัก ช่างเถอะ ข้าจะพูดเหลวไหลสักครั้ง หลังจากนี้หนึ่งปี เมื่อ ‘กระดานทองคำผู้กล้า’ ปรากฏที่ดินแดนรกร้างโบราณใหม่อีกครั้ง ในจตุแดนวิภูมีเพียงเหล่าผู้กล้าที่แท้จริงจึงจะสามารถครองอันดับในนั้นได้”
“ส่วนทุกท่านในที่นี้ เกรงว่าแปดถึงเก้าในสิบส่วนล้วนไม่มีคุณสมบัติดันตัวเองขึ้นสู่อันดับบนกระดานทองคำผู้กล้า”
น้ำเสียงราบเรียบดุจวารี ว่างเปล่าและสงบนิ่ง เมื่อเสียงแผ่วลง เงาร่างภิกษุหนุ่มนั่นก็เลือนหายไปจากหอวสันตสารทอย่างไร้วี่แววแล้ว
เหล่าผู้กล้าทั้งหมดในที่นั้นต่างสั่นสะท้านภายในใจ สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
กระดานทองคำผู้กล้า?
พวกเขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก!

ชั้นเก้าหอวสันตสารท ผู้กล้าแห่งยุคทั้งหมดนั่งขัดสมาธิอยู่ภายใน มีหลี่ชิงฮวนผู้สืบทอดสำนักยุทธ์สมุทรคราม มู่เจี้ยนถิงผู้สืบทอดอารามพรางมรกต เด็กสาวชุดม่วงผู้สืบทอดตำหนักปรกอุดม…
ยังมีผู้สืบทอดกลุ่มหนึ่งจากแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณ รวมถึงบุคคลแห่งยุคคนอื่นๆ อีก รวมแล้วประมาณสามสิบกว่าคน
หากกล่าวอย่างเคร่งครัด ผู้กล้าแห่งยุคส่วนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ในชั้นเก้าหอวสันตสารทแห่งนี้ จึงจะถือเป็นตัวแทนศักยภาพอันแข็งแกร่งที่สุดของคนรุ่นเยาว์แห่งแดนฐิติประจิม!
ก่อนหน้านี้พวกเขากำลังวิเคราะห์รายละเอียดเกี่ยวกับการต่อสู้เมื่อครู่ มีทัศนคติต่อหลินสวินต่างกันไป แต่หาได้ถกเถียงโต้แย้ง บรรยากาศสันติสุขนัก
แต่เมื่อภิกษุหนุ่มนั่นปรากฏตัวและกล่าววาจาทิ้งท้ายไว้ จึงดึงดูดความสนใจของพวกเขาทุกคน
เพียงชั่วขณะพวกเขาต่างเงียบงันอยู่บ้าง
“ทุกท่าน พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องกระดานทองคำผู้กล้ามาก่อนหรือไม่” มีคนเอ่ยปากทำลายความเงียบ
ทุกคนล้วนส่ายศีรษะ พวกเขาต่างก็ได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก
แม้แต่พวกไป๋หลิงซีซึ่งเป็นผู้สืบทอดจากแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณ เวลานี้ต่างสับสนมึนงง พวกเขาเองก็เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน
“เช่นนั้นทุกท่านดูออกหรือไม่ ว่าสหายที่มาจากสำนักพุทธเมื่อครู่นั้นมาจากที่ใด” คนผู้นั้นเอ่ยถามต่อ
ชั่วขณะหนึ่งทุกคนเงียบงันอีกครั้ง ในแดนฐิติประจิมมีสำนักพุทธบำเพ็ญตนน้อยมาก พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่าในหมู่คนรุ่นเยาว์มีชายหนุ่มผู้บำเพ็ญธรรมที่แยกตัวโดดเด่นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“หากข้าเดาไม่ผิด เขาคือผู้สืบทอดมหาวิหารธรรมแดนเร้นอริยะ”
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด เสียงไพเราะใสเย็นดุจเสียงสวรรค์ดังขึ้นในชั้นสูงสุดหอวสันตสารท

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด