Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 839 เขาบรรพตเขียว
ตอนที่ 839 เขาบรรพตเขียว
วิชาลับหรือหลินสวินจะหัวเราะก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิง รู้สึกไม่เห็นด้วย เพราะตอนนี้เขาไม่ได้ขาดวิชาลับอะไรเลยเพียงแต่ยามที่เสียงถ่ายทอดวิชาลับดังเข้าข้างหู หลินสวินอึ้งงันเล็กน้อย จากนั้นพลันเปลี่ยนทีท่าเป็นจริงจังขึ้นมาจวบจนต่อมาเขาหรี่ตาลง หว่างคิ้วผุดแววประหลาดใจอย่างควบคุมไม่อยู่‘เคล็ดวิชามหาไร้รูป’!นี่เป็นมรดกวิชาเก่าแก่อันยอดเยี่ยมอย่างหนึ่ง สัจคาถาไม่ยาวมากนัก แต่เป็นวิชาลับระดับสูงอย่างหนึ่งเสียงของซย่าเสี่ยวฉงใสกังวานปานน้ำพุ ไพเราะเสนาะหู หลินสวินจมดิ่งสู่ความเร้นลับ สงบนิ่งศึกษาโดยไม่รู้ตัวเคล็ดวิชามหาไร้รูป คือแก่นมรรคแห่งการเปลี่ยนแปลงในจักรวาลเสี้ยวหนึ่ง ซึ่งได้มาจากการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งของบรรพบุรุษเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวเคล็ดวิชานี้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘เห็นแจ้งไร้ลักษณ์’ มรดกสูงสุดของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว ยอดเยี่ยมหาที่เปรียบไม่ได้เมื่อฝึกฝนเคล็ดวิชานี้จนถึงขั้นสูงสุด ผู้ฝึกปราณสามารถควบคุมการเปลี่ยนนานัปการ ทำให้เจ้าตัวสามารถแปลงร่างได้สารพัดนึกอย่างหญ้าไม้หินผา หรืออย่างสัตว์ปีกสัตว์สี่เท้า ลักษณะร้อยแปดพันเก้าเป็นต้นสิ่งนี้ไม่ต่างอะไรกับพลังวิเศษขุนพลสวรรค์สามสิบหกท่า อสูรพิภพเจ็ดสิบสองกระบวนตามตำนานเล่าขานแห่งบรรพกาลแต่อย่างใดสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในสมัยบรรพกาลของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวก็คือวิชาแปลงกาย เรียกได้ว่าผีสางเทวดาไม่อาจคาดเดาได้ ป้องกันยากเย็นแสนเข็ญตามตำนาน บรรพบุรุษเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวเคยสำแดงเคล็ดวิชาดังกล่าว ทำให้แม้แต่อริยะผู้หยัดยืนอยู่บนจุดสูงสุดยังไม่สามารถแยกแยะจริงเท็จได้ อัศจรรย์หาที่เปรียบไม่ได้โดยแท้และเคล็ดวิชามหาไร้รูปนี้ก็คือวิชาลับขั้นสูงสุดในเผ่าพวกเขา!แน่นอน เคล็ดวิชามหาไร้รูปนี้แม้คุณสมบัติเนื้อแท้คือการเปลี่ยนแปลง แต่แก่นแท้ของมันไม่ได้จำกัดอยู่แค่การแปลงร่าง ในนั้นยังซุกซ่อนแก่นอัศจรรย์มหามรรคอันเป็นปริศนาเร้นลับอยู่ด้วยนอกจากนี้ หากปราศจากสายเลือดของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว ต่อให้เคี่ยวกรำเคล็ดวิชาดังกล่าวก็ไม่สามารถฝึกฝนได้ถึงขั้นสูงสุดแต่แม้จะฝึกฝนได้เพียงน้อยนิด ก็สามารถรับประโยชน์ได้มากมายปัจจุบันหลินสวินมีวิญญาณแห่งพลังจิต เมื่อเสริมด้วยประโยชน์มหัศจรรย์ของดวงใจฉิวหนิว ก็สามารถหยั่งถึงแก่นแท้ของเคล็ดวิชามหาไร้รูปได้เกือบจะในทันทีเพียงแต่พร้อมกันนั้นเขาก็พบว่าการฝึกวิชาดังกล่าวมีข้อจำกัดมากมาย เว้นแต่ตนจะมีสายเลือดของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว ไม่เช่นนั้นความเร้นลับทั้งหมดที่เขายึดกุมได้ก็จะมีจำกัดแม้เป็นดังนี้ก็ยังทำให้หัวใจของหลินสวินสั่นไหว วิชาลับระดับนี้ยอดเยี่ยมเหลือแสน จะต้องเป็นมรดกวิชาลับพิทักษ์เผ่า ไม่สามารถแพร่งพรายสู่ภายนอกได้ยามนี้ซย่าเสี่ยวฉงกลับถ่ายทอดวิชาลับดังกล่าวให้แก่ตน ทำให้หลินสวินซาบซึ้งยิ่ง ซ้ำยังรู้สึกกดดันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกด้วยดังคำกล่าวที่ว่าเคล็ดลับไม่แพร่งพรายสู่คนนอก หากรู้แต่แรกว่าสิ่งที่ซย่าเสี่ยวฉงจะถ่ายทอดแก่ตนเป็นวิชาลับพิทักษ์เผ่าเช่นนี้ หลินสวินคงปฏิเสธตั้งแต่แรกอย่างแน่นอนเพียงแต่เห็นชัดว่าตอนนี้สายเกินกว่าจะปฏิเสธเสียแล้ว“พี่หลินสวิน ท่านรีบลองดูเร็วเข้า” ดวงหน้าบริสุทธิ์ของซย่าเสี่ยวฉงฉายแววรอคอย“เอ่อ…”หลินสวินอึ้งงัน ทิ้งความกังวลไว้เบื้องหลัง พยักหน้าและกล่าวว่า “ก็ได้”ฮูม~!จากนั้นไม่นานแสงเรืองรองไหววูบ หลินสวินกลายร่างเป็นนกสีเขียวตัวหนึ่งทันที เพียงแต่ยังมีแขนขาของมนุษย์ หนำซ้ำส่วนหัวก็มีผมยาวปกคลุมอยู่ ดูแล้วเหมือนมนุษย์วิหค เห็นชัดว่าไม่เข้าท่า แปลกประหลาดเป็นที่สุดซย่าเสี่ยวฉงเบิกตาโพลงทันที จากนั้นก็ระเบิดหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่ไว้หน้าหลินสวินทำตัวไม่ถูกไปพักหนึ่ง ประยุกต์ใช้เคล็ดลับ กลายร่างเป็นต้นสนโบราณต้นหนึ่ง แต่ก็ยังแปลกประหลาดมากอยู่ดี ลำต้นเรียวเล็กมากเกินไป หนำซ้ำบนกิ่งก้านก็ยังมีหัวห้อยอยู่ น่าสยดสยองอย่างเห็นได้ชัดซย่าเสี่ยวฉงหัวเราะจนน้ำตาไหลออกมาแล้ว…ในใจหลินสวินรู้สึกอักอ่วนมากขึ้นทุกที เขาแปลงร่างต่อไป มีทั้งก้อนหิน ต้นไม้ใบหญ้า นก สัตว์สี่เท้า แมลง…ทว่าทั้งหมดกลับไม่สมประกอบ คนโง่ยังดูออกว่ามีบางอย่างผิดปกติท้ายที่สุด กลิ่นอายรอบกายของหลินสวินพวยพุ่งขึ้นมาระลอกหนึ่ง รูปลักษณ์เปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่กลับต่างจากเมื่อก่อนราวกับคนละคนที่เห็นชัดเจนที่สุดคือกลิ่นอายของเขาเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้โดดเด่นและหลุดพ้นเฉกเช่นเมื่อก่อน ตรงข้ามกลับเรียบง่ายสมถะประดุจโขดหิน ดูธรรมดาสามัญยิ่งเวลานี้กระทั่งซย่าเสี่ยวฉงยังอึ้งงัน กล่าวว่า “แบบนี้ค่อยยังชั่ว ดูแล้วคลับคล้ายคลับคลา แต่เมื่อสังเกตโดยละเอียด ไม่ว่าใครก็คงไม่สงสัยว่าท่านคือเทพมารหลิน”หลินสวินลอบถอนหายใจโล่งอก เขารู้ว่าด้วยข้อจำกัดทางสายเลือดของตัวเอง จึงฝึกฝนเคล็ดวิชามหาไร้รูปได้ถึงแค่นี้เท่านั้น หากฝึกต่อไปก็เสียแรงเปล่าเว้นเสียแต่วันใดวันหนึ่งเขาเหยียบย่างบนอริยมรรคอย่างแท้จริง ถึงตอนนั้นคงบรรลุหมื่นวิชา สามารถขับเคลื่อนปริศนาแห่งเคล็ดวิชามหาไร้รูปได้อย่างสมบูรณ์แบบ“เป็นเช่นนี้ก็ดี จากนี้ไปอย่างน้อยก็สามารถหลีกเลี่ยงสายตาสอดแนมของพวกเผ่าวาทวาโยพวกนั้นได้…” หลินสวินลอบกล่าว…สามวันให้หลัง ณ แคว้นหงส์สถิตหลินสวินบังคับยานสมบัติเข้าสู่เมืองแห่งหนึ่ง สืบข่าวพอประมาณแล้วพาซย่าเสี่ยวฉงตรงดิ่งจากไปเขาบรรพตเขียวตั้งอยู่นอกเมืองล้อมเมฆินทร์ในแคว้นหงส์สถิต มีชื่อเสียงอย่างมากในท้องถิ่นสาเหตุก็เพราะเขาบรรพตเขียวมีมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล เป็นหนึ่งในพื้นที่ต้นกำเนิดของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวเพียงแต่เมื่อนานมาแล้วเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬเคยโจมตีเขาบรรพตเขียวอย่างหนัก หมายล้างบางคนในเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว ก่อให้เกิดศึกนองเลือดที่กินเวลานานหลายร้อยปีสุดท้ายเขาบรรพตเขียวอันกว้างขวางกลายเป็นพื้นที่รกร้างอย่างสิ้นเชิงตอนนี้แม้เขาบรรพตเขียวยังคงอยู่ ทว่าเมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมาแล้ว ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากยอดเขาแห้งแล้งลูกหนึ่งทว่าหลินสวินไม่คิดเช่นนั้น ตอนที่อยู่ในนครเตโช ลิ่นเหวินจวินอาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงเคยบอกเอาไว้ว่าต้องพาซย่าเสี่ยวฉงมาส่งที่นี่ เมื่อถึงเวลาจะมีคนมาพบอีกอย่าง หลินสวินจะไปแดนชัยบูรพาได้หรือไม่ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘คนผู้นี้’ ด้วยไม่กี่ชั่วยามให้หลังนอกเมืองล้อมเมฆินทร์ หน้าเนินเขารกชัฏ หลินสวินพาซย่าเสี่ยวฉงมาถึงสถานที่แห่งนี้เพียงแต่ยามมองเห็นเนินเขาบรรพตเขียวที่มีชื่อเสียงลูกนี้อย่างแท้จริง หลินสวินก็อดรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยไม่ได้รกร้างเกินไปแล้ว!แนวเขาสูงหลายพันจั้ง ทุกอณูคือวัชพืชรกร้าง ในนั้นมีรอยแยกผาชันด้านหนึ่ง รอยแยกราบเรียบ ยังคงมีคราบเลือดแห้งกรังเหลือทิ้งไว้ราวกับว่าเมื่อนานมาแล้วเคยมีคนผ่าภูเขาแห่งนี้ด้วยกระบี่ ทำให้เขาบรรพตเขียวถูกตัดราบเรียบ ทิ้งไว้เพียงภูเขารกร้างที่ไม่เหลือเค้าเดิมลูกหนึ่งเท่านั้นหลินสวินยากจะจินตนาการจริงๆ ว่าภูเขาลูกนี้ที่เผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวอาศัยอยู่ วิวทิวทัศน์ในตอนแรกจะเป็นอย่างไรตะวันสายัณห์ทอแสง เงาหญ้ากระจัดกระจายบนพื้นดินหลินสวินแผ่จิตรับรู้หมายเสาะหาโดยถี่ถ้วน ทันใดนั้นนัยน์ตาเขาพลันหดรัด เก็บจิตรับรู้อย่างเงียบๆไม่จำเป็นต้องค้นหา เพราะชั่วขณะที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ บนเขาบรรพตเขียวอันเวิ้งว้างแห่งนั้นพลันมีเงาร่างหลายสิบสายปรากฏขึ้นกลางห้วงอากาศชายหล่อหญิงงาม แต่ละคนต่างทรงสง่าเหนือธรรมดาเมื่อพวกเขาเห็นหลินสวิน ชายหญิงเหล่านี้ต่างขมวดคิ้วมุ่น ทว่ายามเห็นซย่าเสี่ยวฉง หว่างคิ้วของพวกเขาจึงฉายแววตื่นเต้นออกมา คล้ายกับจดจำตัวตนของฝ่ายหลังได้แต่หลินสวินกลับตกใจเล็กน้อย เมื่อครู่นี้เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าภายในเขาบรรพตเขียวที่รกร้างหาใดเปรียบแห่งนี้ มีระลอกคลื่นยักษ์เก่าแก่คลุมเครือเป็นที่สุดประการหนึ่ง เต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ น่ากลัวถึงขีดสุดเมื่อครู่ชายหญิงเหล่านี้เดินออกมาจากค่ายกลใหญ่!‘ดูเหมือนว่าในเขาแห่งนี้ยังซุกซ่อนเขตแดนอื่น ซ้ำยังมีค่ายอริยะคอยคุ้มครองอยู่…’หลินสวินคล้ายใคร่ครวญ“เสี่ยวฉง!”ทันใดนั้นก็มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นอีกครั้ง พริบตาที่มองเห็นซย่าเสี่ยวฉง ถึงกับร้องเสียงหลงออกมาด้วยความตื่นเต้นนี่คือฮูหยินที่งดงามผู้หนึ่ง ผมขาวดุจหิมะ รูปร่างเพรียวยาวอ้อนแอ้น นัยน์ตาพราวระยับ ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาปานมันแพะ ดวงหน้าเปี่ยมเสน่ห์งามวิไล ท่วงท่าสง่างามโดดเด่น“ท่านย่าสาม!” ซย่าเสี่ยวฉงเบิกตากว้างเช่นกัน มีท่าทีประหลาดใจและคาดไม่ถึงหลินสวินกลับลอบเหงื่อตก หญิงสาวรูปงามเลอโฉมเหนือปวงชน ท่วงท่าน่าหลงใหลเช่นนั้น ถึงขั้นเป็นบุคคลระดับ ‘ท่านย่า’ ไปเสียแล้วจากนั้นฮูหยินงดงามก็ก้าวมาข้างหน้าพูดคุยกับซย่าเสี่ยวฉง สีหน้าท่าทางเปี่ยมด้วยแววตื่นเต้นและทอดถอนใจไม่สิ้นสุดชายหนุ่มหญิงสาวกลุ่มนั้นต่างเดินล้อมเข้ามา มองสำรวจซย่าเสี่ยวฉงด้วยความสงสัยใคร่รู้ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นซย่าเสี่ยวฉงเช่นกันจากการพูดคุยของพวกเขา ทำให้หลินสวินเข้าใจได้ว่าฮูหยินงดงามผู้นั้นนามว่าลิ่นไท่เจิน เป็นบุคคลรุ่นอาวุโสของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว“เสี่ยวฉง เจ้ากลับมาแล้วก็ดี จากนี้ไปย่าจะไม่ให้เจ้าทนทุกข์อีกต่อไป” ลิ่นไท่เจินสีหน้าเมตตา“ท่านย่าสาม นี่คือพี่หลินสวินเจ้าค่ะ”ซย่าเสี่ยวฉงเพิ่งรู้สึกตัวว่ามัวแต่พูดคุยสนทนา กลับละเลยหลินสวินที่อยู่ข้างกาย นางกระวีกระวาดแนะนำทันที“พี่หลินสวิน นี่คือท่านย่าสามของข้า ตอนยังเล็กนางมักไปหาข้าบ่อยครั้ง และดีกับข้ายิ่งนัก”“คารวะผู้อาวุโส” หลินสวินคำนับลิ่นไท่เจินพยักหน้า เก็บรอยยิ้มมีเมตตา สายตาที่มองหลินสวินเจือแววดุดันอย่างยากสังเกต ก่อนอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยนางเอ่ยปาก “พ่อหนุ่ม ขอบคุณเจ้ามากที่คุ้มครองเสี่ยวฉงกลับมา เผ่าข้าจะไม่เอาเปรียบเจ้า จะตอบแทนและชดเชยให้เจ้าอย่างเต็มที่”“ท่านย่าสาม พี่หลินสวินส่งข้ากลับมา ไม่ใช่เพื่อการตอบแทนและชดเชยอะไรทั้งนั้นเจ้าค่ะ” ซย่าเสี่ยวฉงเอ่ยแก้หลินสวินถอนหายใจในใจ เด็กโง่คนนี้ เห็นชัดว่าฟังไม่ออกถึงความหมายแฝงในน้ำเสียงของลิ่นไท่เจิน“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” ลิ่นไท่เจินยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “เสี่ยวฉง เจ้าไปพักผ่อนด้านข้างก่อนสักประเดี๋ยว ข้ามีเรื่องอยากพูดกับพี่หลินสวินของเจ้าเสียหน่อย”ซย่าเสี่ยวฉงอึ้งไป กลับเห็นหลินสวินกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไปเถอะ ข้าเองก็มีเรื่องอยากพูดกับท่านย่าสามของเจ้าอยู่พอดี”พี่หลินสวินของเจ้า…ท่านย่าสามของเจ้า…บทสนทนานี่ฟังอย่างไรก็น่าอึดอัดชอบกลน่าเสียดาย ซย่าเสี่ยวฉงกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง นางร้องอ้อหนึ่งที แล้วไปนั่งบนโขดหินห่างออกไปอย่างว่าง่ายชายหนุ่มหญิงสาวของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวเหล่านั้นเห็นดังนี้ต่างพากันแห่ห้อมเข้าไป เริ่มทักทายปราศรัยซย่าเสี่ยวฉงทันที“ผู้อาวุโส เป็นท่านพูดก่อนหรือข้าพูดก่อนดี”ในที่นั้นเหลือเพียงพวกเขาสองคน หลินสวินถามเจือรอยยิ้ม ตั้งแต่พริบตาที่ลิ่นไท่เจินปรากฏตัว เขาก็สัมผัสได้ว่าฮูหยินงดงามผู้นี้มีความคิดเห็นเป็นอื่นต่อตัวเองเมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะซย่าเสี่ยวฉงเป็นฝ่ายปริปากก่อน นางจะต้องแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นการมีตัวตนของตนเป็นแน่ ยิ่งกว่านั้นท่าทีที่ปฏิบัติต่อตนก็แยกแยะชัดแจ้ง ค่อนข้างเฉยเมยอย่างเห็นได้ชัดเห็นว่าหลินสวินพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ แววดุดันในดวงตาของลิ่นไท่เจินก็ไม่มีการปิดบังอีกต่อไป จับจ้องหลินสวินพลางสื่อจิต ‘พ่อหนุ่ม เจ้าพาเสี่ยวฉงกลับมาส่ง เผ่าข้าย่อมซาบซึ้งอย่างที่สุด จะต้องตอบแทนเจ้าอย่างเต็มที่ แต่เจ้าโปรดจำไว้ นับแต่นี้ต่อไปเจ้ากับเสี่ยวฉงจะไม่เกี่ยวข้องใดๆ กันอีก ทางที่ดีอย่าได้มีความคิดเพ้อพกอื่นอีกเป็นดีที่สุด’‘ความคิดเพ้อพก?’ หลินสวินเลิกคิ้ว ‘คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร’ลิ่นไท่เจินดูคล้ายไม่ใคร่สบอารมณ์ หว่างคิ้วเปี่ยมด้วยความเฉยชา ‘อยากให้ข้าพูดตรงๆ หรือ ก็ดี เจ้าควรรู้ว่าเสี่ยวฉงเป็นธิดาเทพของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวของข้า ฐานะและตำแหน่งโดดเด่นหาใดเปรียบ ใช่ว่าใครจะถวิลหาได้ตามอำเภอใจ ตอนนี้เจ้าคงเข้าใจแล้วว่าควรทำอย่างไร’
คอมเม้นต์