Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 837 แปรจักระเทพ
ตอนที่ 837 แปรจักระเทพ
เคราะห์วาโยดับวิชา แต่หลินสวินกลับสำแดงวิชา!วายุสีดำส่งเสียงหวีดหวิวปกคลุมฟ้าดินพันลี้ เสียงดั่งเทพมารคำราม สั่นสะเทือนกลางฟ้าดินนอกจากหลินสวิน ทุกอย่างบริเวณนี้ล้วนจมสู่การดับสูญ สรรพสิ่งไม่อาจดำรง แม้แต่ห้วงอากาศยังถูกฉีกทึ้งบดขยี้ราวเศษผ้าฮูมๆๆ …เคราะห์วาโยยิ่งน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ฟ้าดินปั่นป่วนโกลาหล สายลมสีดำซัดกระหน่ำมืดฟ้ามัวดิน เสมือนตกอยู่ในแดนไร้วิชากระทั่งต่อมาเงาร่างหลินสวินก็ถูกฝังกลบอยู่ภายใน ไม่อาจหาพบอีก…บริเวณที่ห่างจากป่าเขารกร้างนี้ไปไกลโพ้น มีเมืองแห่งหนึ่งนามว่าหมอกโลหิตขณะนี้ในเมืองหมอกโลหิต ผู้ฝึกปราณมากมายต่างตื่นตระหนก แหงนหน้าขึ้นฟ้าโดยไม่ได้นัดหมาย สายตามองไปยังพื้นที่รกร้างห่างไกลโดยพร้อมเพรียงท้องฟ้าตรงนั้นดำสนิทราวน้ำหมึก รุกคืบกลางฟ้าดินดั่งเพลิงโหม ปรากฏการณ์น่าสะพรึงกลัวราวกับมีอสูรมารไร้เทียมทานอุบัติบนโลกเพียงแค่มองปราดเดียวต่างทำผู้คนใจสะท้าน สัมผัสถึงความหนาวเย็นยากอธิบาย“นั่นมันอะไร”คนมากมายหน้าเปลี่ยนสี ร้องอุทานไม่หยุด“เป็นด่านเคราะห์ที่สวรรค์ส่งลงมา… วาโยดับวิชา… ตำนานที่บันทึกไว้ในตำราโบราณเป็นเรื่องจริงหรือนี่…”ผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสคนหนึ่งส่งเสียงทอดถอนใจคล้ายละเมอ “สามารถคาดการณ์ได้เลยว่า นั่นต้องเป็นบุคคลระดับปีศาจเย้ยฟ้าแน่ มิฉะนั้นคงไม่มีทางชักนำด่านเคราะห์อันเป็นประวัติการณ์เช่นนี้ได้!”ผู้ฝึกปราณจำนวนมากฮือฮา สั่นสะท้านไม่หยุด“คนที่ข้ามด่านเคราะห์ คงไม่ใช่ผู้กล้าแห่งยุคคนหนึ่งกระมัง เพียงแต่จะเป็นใครกันแน่”“ไป ไปดูกัน!”ด้วยความอยากรู้อยากเห็น พวกเขาทะยานหวือแหวกอากาศ พุ่งไปยังป่าเขารกร้างอันห่างไกลนั่น“ต้องระวังให้ดี! อย่าเข้าใกล้พื้นที่ที่เคราะห์วาโยดับวิชานั่นปกคลุมเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นต่อให้เจ้ามีความสามารถเทียมฟ้าก็ต้องกายสิ้นมรรคสลาย!”ผู้ฝึกปราณรุ่นอาวุโสคนหนึ่งส่งเสียงเตือนแต่ไม่เพียงไม่สามาถทำให้ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นหวาดกลัวจนถอยร่น กลับทำให้พวกเขาใคร่รู้ยิ่งกว่าเดิม เคราะห์สวรรค์ซึ่งแต่โบราณมายากจะเห็นเช่นนี้ คือสิ่งที่อริยเทพคนใดชักนำมากันแน่สายลมทมิฬดุจกระแสน้ำปกคลุมฟ้าดิน ทำเอาทั่วบริเวณนั้นประหนึ่งกลายเป็นแดนมารบรรพกาล น่าสะพรึงกลัวหาใดเปรียบ“เฮ้ยๆ น่ากลัวเกินไปแล้ว นี่สหายยุทธ์คนไหนกำลังข้ามด่านเคราะห์กัน”ผู้ฝึกปราณบางส่วนที่เร่งตามมาอ้าปากค้างตาเบิกโพลงด่านเคราะห์ใหญ่เช่นนี้ หลายปีมานี้ไม่เคยเกิดขึ้นในแดนฐิติประจิมมาก่อน! น่าเหลือเชื่อและชวนประหวั่นเกินไปแล้ว!“บางทีอาจมีเพียงสมัยบรรพกาล ถึงจะได้เห็นด่านเคราะห์สะเทือนใต้หล้าเช่นนี้กระมัง”มีผู้ฝึกปราณทอดถอนใจ“ใครกำลังข้ามด่านเคราะห์กันแน่ เหตุใดถึงมองไม่เห็นเงาร่างเขา แล้วในแดนฐิติประจิมใครจะมีพลังพลิกฟ้าเช่นนี้”ในใจผู้ฝึกปราณอีกมากมีความใคร่รู้ที่ระงับไม่อยู่ เบิกตามองหา แต่กลับไม่อาจมองเห็นเงาร่างคนที่ข้ามด่านเคราะห์ตูม!ทันใดนั้นเหนือฟ้ามีเสียงสะท้านสะเทือนทึบหนัก แม้อยู่ห่างไกลก็ยังทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณที่ทอดมองมาอึดอัดหน้าอก หัวใจเกือบแหลกสลาย ยากทานทนจนเกือบกระอักเลือด“รีบดูเร็ว!”มีคนร้องเสียงหลงก็เห็นห้วงอากาศซึ่งถูกเคราะห์วาโยดับวิชาปกคลุมจนประหนึ่งแดนมารนั่นพลันส่องสว่าง แสงอัศจรรย์นับหมื่นพันโฉบพุ่งดั่งรุ้งเทพ ควบรวมเป็นจักระเทพพร่างพราวหาใดเปรียบวงหนึ่ง!จักระเทพดุจตะวัน โอบล้อมด้วยแสงเจิดจรัส ต่อให้เป็นเคราะห์วาโยดับวิชาก็ปิดกั้นไม่อยู่ เจิดจ้าเหลือประมาณจักระเทพกลมสมบูรณ์นั่นหมุนวนเนิบช้ากลางอากาศ สำแดงลักษณ์อัศจรรย์ผุดผ่องไพศาลไร้จำกัดมีเงาเทพสูงใหญ่เหยียดกาย สำแดงวิชาหมัดไร้เทียมทานผลาญสวรรค์ต้มสมุทร ทลายสรรพวิญญาณ สั่นคลอนฟ้าดินมีปลายดาบแหวกเมฆทะลวงฟ้า สะท้อนลักษณ์ประหลาดชวนประหวั่นต่างๆ อย่างดวงดาราร่วงหล่น จันทร์เต็มดวงกลางฟ้า ดวงตะวันเจิดจ้าโดดเด่นยังมีเงาแห่งสัตว์เทพบรรพกาลมากมายปรากฏ ทั้งชือน้ำแข็ง ฟู่ซี่ ปี้อั้น ซวนหนี ป้าเซี่ย ผูเหลา เฉาเฟิง…ภาพต่างๆ ปรากฏในจักระเทพเปล่งประกายนั่นอย่างงดงาม วิเศษอัศจรรย์ไม่เป็นสองรองใคร สะท้านฟ้าสะเทือนดินอย่างแท้จริงกระทั่งต่อมาถึงขั้นปรากฏภาพเทพยิงตะวัน กาทองครวญโลหิต!ทว่าภาพเช่นนี้กลับแทบไม่มีใครสามารถสังเกตเห็น เพราะจักระเทพนั่นเจิดจ้าเกินไป ราวตะวันดวงโตแห่งจักรวาลกำลังส่องแสงสว่างไสว ไม่อาจมองโดยตรง“กระบวนแปรจุติ! นี่คือเคราะห์สวรรค์ที่ชักนำมาด้วยการบรรลุระดับกระบวนแปรจุติ!”“สวรรค์! ต้องเป็นตัวประหลาดระดับใดจึงสามารถมีพลังน่าหวาดกลัวเช่นนี้ แค่ยามก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติก็เรียกด่านเคราะห์ไร้เทียมทานยากพบเห็นตั้งแต่โบราณกาลเช่นนี้”ผู้ฝึกปราณทั้งหมดต่างตื่นตระหนก พวกเขาเพิ่งตระหนักว่าคนที่ข้ามด่านเคราะห์ มีโอกาสสูงที่จะเป็นผู้กล้าระดับปีศาจรุ่นเยาว์คนหนึ่ง!“มหาสงครามจะมาแล้วอย่างนั้นหรือ ทำไมหลังจากเทพมารหลินปรากฏตัว บนโลกนี้ยิ่งเริ่มปรากฏสัตว์ประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ”ผู้ฝึกปราณบางส่วนสั่นไปทั้งตัว“เทพมารหลิน? ฮึ ตอนนี้เขาถูกผู้กล้าแห่งยุคมากมายลบหลู่และประณาม ต่างเห็นว่าเขามีแค่ชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้น มีหรือจะสามารถเปรียบกับปีศาจที่กำลังข้ามด่านเคราะห์ตรงหน้านี้ได้”และมีผู้ฝึกปราณจำนวนมากเหยียดหยาม นำภาพเหตุการณ์ตรงหน้ามาประณามคนที่ถูกเรียกว่าเทพมารหลิน…นี่เหมือนเรื่องตลกและเหลวไหลยิ่งโดยไม่ต้องสงสัย หากให้พวกเขารู้ว่าคนที่กำลังข้ามด่านเคราะห์นั่นก็คือเทพมารหลินที่พวกเขาต่างปรามาส ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรครืน!กลางเคราะห์วาโยดับวิชา จักระเทพดั่งดวงตะวันเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม กระทั่งต่อมาภายในจักระเทพนั่นแผ่เสียงกัมปนาทประดุจสัทครรลองมหามรรคออกมาเป็นระลอก ราวกับอริยบุคคลบรรพกาลกำลังสวดภาวนาอยู่ภายใน แก่นอัศจรรย์ลอยล่องกลางฟ้าดิน ไพศาลไร้ขีดจำกัดขณะเดียวกันเงาร่างสูงใหญ่ทรงพลังปรากฏอย่างเลือนรางพร่ามัว ใช้จักระเทพนั่นเป็นภาพเบื้องหลัง ทั่วร่างพร่าเลือดนด้วยแสงพร่างพราย พาให้คนไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจนมองจากที่ห่างไกล ทำให้ผู้คนเกือบจะสงสัยว่าเป็นเทพไท้ในตำนานมาเยือนโลกา!เปรี๊ยะ!เงาร่างนั่นเชิดหน้า สะบัดมือง่ายๆ เคราะห์วาโยดับวิชาซึ่งปกคลุมฟ้าดินนั่นถูกแหวกผ่าเป็นรอยแยกมหึมาพริบตานั้นแสงโชติช่วงพลิกม้วนเก้าชั้นฟ้า จักระเทพดั่งมหาสุริยัน แสงสว่างที่ปลดปล่อยออกมาม้วนกลืนเคราะห์วาโยเต็มฟ้าจนสิ้น!ผู้ฝึกปราณทั้งหมดอ้าปากค้าง แทบไม่กล้าเชื่อตาตนเองจากการรับรู้ของพวกเขา ผู้ฝึกปราณข้ามด่านเคราะห์ล้วนอเนจอนาถยิ่งยวด ผ่านอันตรายล่อแหลมเหลือคณา บางทีอาจโชคดีรอดชีวิตต่อไปได้ แต่นั่นคือภัยพิบัติที่เก้ามรณาหนึ่งรอดพ้นอย่างแท้จริงทว่าคนที่ข้ามด่านเคราะห์เบื้องหน้านี้กลับเหมือนกร้าวแกร่งเป็นพิเศษ โบกมือคราเดียวก็กวาดกำจัดด่านเคราะห์ทั่วฟ้า!“นี่มัน…”พวกเขาล้วนหัวสมองเบลอไปหมด ตะลึงงันอยู่ตรงนั้นเมื่อหวนคืนสติ ในบริเวณข้ามด่านเคราะห์นั่นคืนสู่ความสงบแล้ว ท้องฟ้าใสสะอาดดุจชะล้าง ห้วงอากาศราบเรียบสมดุล ไม่เห็นร่องรอยพิบัติเคราะห์อีกเพียงเสี้ยวเสมือนทั้งหมดที่เห็นเมื่อครู่เป็นฝันร้ายเพ้อพกเกินจริงฉากหนึ่งที่หายไปเช่นกันยังมีเงาร่างซึ่งข้ามด่านเคราะห์นั่น ราวกับว่าอยู่ดีๆ ก็ระเหยจาก ใครต่างไม่รู้ว่าเขาจากไปเมื่อใดกันแน่แต่ที่สามารถยืนยันได้คือ มหาเคราะห์ไร้เทียมทานซึ่งมีอยู่แค่ในบันทึกตำนานโบราณนี้ถูก ‘คนผู้นั้น’ ข้ามผ่านแล้วอีกทั้งวิธีข้ามด่านเคราะห์ยังกร้าวแกร่งจนพาให้อลหม่าน!พื้นที่พันลี้ ภูเขาสูงชันแหลกเป็นจุณ สรรพสิ่งดับสูญ ผืนดินแตกระแหง น่าตกตะลึงราวซากปรักหักพัในสมรภูมิทุกอย่างล้วนคล้ายกำลังพิสูจน์ว่าด่านเคราะห์ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่น่าหวาดกลัวระดับใด“คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่”นี่คือข้อสงสัยของผู้ฝึกปราณทุกคน กระทั่งสุดท้ายพวกเขาล้วนไม่เคยเห็นรูปร่างคนที่ข้ามด่านเคราะห์อย่างชัดเจน นี่ทำให้พวกเขาต่างผิดหวังและห่อเหี่ยว“รู้ได้เลยว่าบุคคลเย้ยฟ้าราวปีศาจเช่นนี้ไม่ใช่พวกธรรมดาแน่ หลังข้ามด่านเคราะห์ครานี้จะต้องผงาดกร้าวบนโลก สามารถชิงชัยกับหมื่นผู้กล้า!”นี่คือสิ่งที่ผู้ฝึกปราณทั้งหมดเห็นพ้องจ้องกันผู้ฝึกปราณคนหนึ่งซึ่งมาจากเผ่าวาทวาโยบันทึกภาพต่างๆ บนใบไม้ต้นข่าวสารอยู่ก่อนแล้ว รอแค่กลับเมืองก็จะแพร่ข่าวนี้ออกไป‘บุคคลแห่งยุคปรากฏตัวบนโลกอีกคนแล้ว ข้ามอสนีเคราะห์ที่พบเห็นได้ยากตั้งแต่โบราณกาล ก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติอย่างแกร่งกร้าว! เขาคือใคร? ไม่มีผู้ใดรู้!’พอนึกถึงว่าหลังข่าวนี้แพร่ออกไปจะทำให้เกิดความครึกโครมขนาดไหน ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยคนนี้ก็ตื่นเต้นจนสั่นไปทั้งตัว…ลำธารใสสะอาดไหลรินแผ่วเบา ส่งเสียงราวเสียงสวรรค์ ฟองคลื่นละเอียดม้วนกระเซ็น สาดแสงงามตระการใต้แสงอาทิตย์ริมลำธาร กวางเขียวตัวหนึ่งกำลังไล่ตามผีเสื้อกลางทุ่งดอกไม้ ส่งเสียงร้องอย่างปิติรื่นเริงหลินสวินยิ้มมองทุกอย่างนี้ นานพอควรปลายนิ้วเขาวาดผ่านอากาศเบาๆ ประทับจิตสายหนึ่งลงในสมองของกวางเขียวนี่คือมรดกวิชาหนึ่ง ชื่อว่า ‘คัมภีร์ยุทธจักร’ มาจากเผ่าสิงห์โลหิตอันเป็นสายเลือดบรรพกาลกวางเขียวตัวนี้เคยแบกหลินสวินซึ่งบาดเจ็บสาหัสก้าวผ่านป่าเขาเขียวขจี ถือว่าเป็นวาสนาอย่างหนึ่งบัดนี้หลินสวินข้ามด่านเคราะห์สำเร็จ ใกล้จะต้องลาจาก จึงอยากมอบวาสนาบางอย่างให้กวางเขียว ส่วนหลังจากนี้มันจะสามารถประสบผลสำเร็จได้มากเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับโชควาสนาของมันเองแล้วหลินสวินคิดไปคิดมาก็นำถุงเก็บของใบหนึ่งแขวนบนคอกวางเขียว ภายในถุงเก็บของบรรจุลูกกลอนวิญญาณโอสถวิเศษ รวมถึงสมบัติบางส่วนที่จำเป็นต่อการฝึกปราณเมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หลินสวินยกมือลูบศีรษะกวางเขียวพลางยิ้มกล่าว “เจ้าตัวน้อย ภายหลังมีวาสนาค่อยพบกันใหม่”กล่าวจบเขาก็ยิ้มบางๆ แล้วหันหลังจากไปกวางเขียวตะลึงงัน ต่อมาถึงค่อยมีปฏิกิริยาตอบสนอง แยกเท้าทั้งสี่วิ่งไล่ตามหลินสวิน เหมือนอาลัยอาวรณ์ไม่อยากให้หลินสวินจากไปทว่าไม่นานมันก็ต้องผิดหวัง เพียงชั่วครู่กลางป่าเขาก็ไม่มีร่องรอยหลินสวินแล้ว มีเพียงเสียงสายน้ำแผ่วเบาที่ยังคงสะท้อนกลับมากวางเขียวละล้าละลังอยู่ที่เดิมอย่างกระสับกระส่ายและผิดหวัง ส่งเสียงร้องสะอื้นอาดูรเป็นระลอกนานพอควรมันจึงก้มหัวคอตก หมุนตัวกลับสู่ป่าเขาเก่าแก่รกร้างนั่นก่อนหายลับจากไป‘เจ้าตัวน้อย รักษาตัวด้วย’หลินสวินยืนอยู่บนยอดเขาไกลโพ้น มองเห็นทุกการกระทำของกวางเขียวในสายตา อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจอยู่บ้างสุดท้ายเขาโบกมือเงียบๆ ไปยังทิศทางที่กวางเขียวจากไป ก่อนลอยล่องจากไป…เมืองหมอกโลหิตพริบตาที่เงาร่างหลินสวินปรากฏตรงประตูเมืองก็สัมผัสได้อย่างฉับไว ว่าสายตาของผู้สัญจรไปมาโดยรอบที่มองตนต่างชะงักงันเล็กน้อย สีหน้าผิดแผกต่างออกไปหลินสวินลูบจมูกอย่างอดไม่อยู่ ค่อนข้างคลางแคลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันกระทั่งเข้าสู่เมืองหมอกโลหิต หลินสวินยิ่งรู้สึกได้ชัดกว่าเดิม ผู้ฝึกปราณที่สังเกตเห็นตนตลอดทางสีหน้าล้วนชะงักงัน ม่านตาเบิกโพลง ท่าทางกังขาแต่ไม่กล้ายืนยันอีกทั้งหลินสวินสังเกตเห็นว่า ด้านหลังตนมีผู้ฝึกปราณมากมายกำลังแอบตามมา ต่างตั้งท่าหมายสืบหาเบื้องลึกเบื้องหลังตนสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลยิ่ง!แต่นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เหตุใดพวกเขาเหมือนจำตนได้หลินสวินข่มความสงสัยในใจ มุ่งหน้าต่อไปเงียบๆ เพียงแต่เพิ่มความเร็วขึ้น ไม่กี่พริบตาก็หายไปบนท้องถนนคึกคักและไม่นาน ข่าวลือที่เกี่ยวกับ ‘เทพมารหลินปรากฏตัวที่เมืองหมอกโลหิต’ ก็เริ่มแพร่กระจายภายในเมือง…
คอมเม้นต์