Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 836 มหาเคราะห์สามพิบัติ
ตอนที่ 836 มหาเคราะห์สามพิบัติ
ครืน!บนนภากาศ อสนีเคราะห์โหมกระหน่ำแดงก่ำดั่งโลหิต อุดมกลิ่นอายชวนประหวั่นปานทลายพิภพเงาร่างหลินสวินส่องสว่าง พุ่งขึ้นไปรับอสนีเคราะห์ เงาร่างสูงสง่าถูกอสนีเคราะห์โรมรันต่อเนื่อง บุปผาอสนีสีเลือดเจิดจรัสบาดตากระซ่านเซ็นผ่านการปิดด่านเก็บตัวเจ็ดวัน หลินสวินฟื้นฟูร่างกายจนสมบูรณ์ถึงขั้นสุดยอด ในที่สุดวันนี้จึงนำมาซึ่งเคราะห์สวรรค์เลื่อนระดับกระบวนแปรจุติ!เปรี้ยง!อสนีบาตสีเลือดร่ายระบำฟาดผ่าลงมา ห้วงอากาศล้วนถูกบดละเอียดกลายเป็นจุณ เขาแต่ละลูกถูกซัดแหลกลาญชั่วพริบตา ระเหยหายจากแผ่นดินโดยสมบูรณ์พลังทำลายล้างนั่นทำให้อสูรมารบำเพ็ญและสัตว์ปีศาจบางส่วนที่อยู่ห่างไกลตระหนกจนสั่นไปทั้งตัว ประหนึ่งความกล้าแตกดับสูญสลาย ไม่อาจไม่ถอยห่างอีกครั้งพวกมันอาศัยอยู่ในภูเขานี้และมีมรรควิถี แต่กลับไม่อาจจินตนาโดยสิ้นเชิงว่าบนโลกนี้ถึงกับมีอสนีเคราะห์ชวนประหวั่นเช่นนี้ด้วย!ท้องฟ้านั่นเสมือนโลหิตเทพลุกโชน แดงก่ำบาดตา อสนีเคราะห์ซัดสายฟ้าพลิกตลบ เป็นตัวแทนเจตจำนงแห่งสรวงสวรรค์ ปล่อยพลังยิ่งใหญ่ราวหมายกำจัดหมื่นมาร ทำลายฟ้ามลายดินทว่าสีหน้าหลินสวินกลับไม่ไหวหวั่น นิ่งสงบอย่างไม่เคยมีมาก่อน เงาร่างเขาแผดก้อง โคจรปราณเต็มกำลัง โหมปล่อยโรมรันและต่อต้านอย่างต่อเนื่องทอดมองจากที่ห่างไกล ทั่วร่างเขามีแสงประกายไหลบ่า ผมดำแผ่สยาย รูปร่างผงาดผยองประดุจเทพในตำนาน มีท่วงท่าสง่างามไร้เทียมทานประการหนึ่งครืนๆ!พลังของเคราะห์สวรรค์เปลี่ยนเป็นน่าพรั่นพรึงขึ้นเรื่อยๆ เสมือนถูกยั่วโทสะอสนีเคราะห์ซึ่งพลิกตลบราวเกลียวคลื่นนั่น เปลี่ยนจากสีแดงสดดั่งโลหิตเป็นสีม่วงทีละน้อย รัศมีสายฟ้าสายแล้วสายเล่าส่องประกายเจิดจรัส แสงม่วงรัดพัน แพรวพราวลานตาตูม!อสนีเคราะห์สีม่วงโชติช่วงบ้างวิวัฒน์เป็นรูปลักษณ์สัตว์เทพ สัตว์ปีศาจ เสมือนดั่งมีชีวิต ปรากฏบนโลกและจู่โจมสังหารกลางนภากว้างบ้างวิวัฒน์เป็นสมบัติต่างๆ เช่นหอก ทวนวงเดือน ค้อนสงคราม ดาบกระบี่ ไอสังหารแผ่เต็มฟ้า สะท้านสะเทือนโลกหล้าบ้างยังกลายเป็นรูปลักษณ์ประหลาดอย่างภูเขาสูงตระหง่าน ตำหนักโบราณพิฆาตจักรวาล เปี่ยมอานุภาพสูงส่งบดขยี้สรรพสิ่งแต่ไม่ว่าอสนีเคราะห์แปรเปลี่ยนอย่างไร หลินสวินไม่เคยถอยหลังแม้เพียงก้าว ปะทะมันอย่างกร้าวแกร่ง พลังหมัดส่งเสียงกัมปนาท ซัดการโจมตีทั้งมวลจนแหลกลาญ!“สวรรค์! เจ้าหมอนี่ดุดันเกินไปแล้ว อานุภาพแห่งอสนีเคราะห์ยากจะเห็นนับตั้งแต่โบราณมา ชวนประหวั่นไร้ขอบเขต แต่เขา… ไม่เคยถูกโจมตีจนพินาศ!”สิ่งมีชีวิตซึ่งอยู่ห่างไกลตะลึงงันอยู่ตรงนั้นยิ่งเป็นพวกเย้ยฟ้า อสนีเคราะห์ที่ต้องเจอก็ยิ่งร้ายกาจ นี่คือความรู้ร่วมกันของผู้ฝึกปราณทั้งหมดนับแต่โบราณจนถึงปัจจุบันเหตุการณ์ตรงหน้าพิสูจน์โดยไม่ต้องสงสัย ว่าคนที่ข้ามด่านเคราะห์นั่นต้องเป็นปีศาจซึ่งมีพลังพลิกฟ้าผู้หนึ่งแน่ไม่นานนักเงาร่างหลินสวินแผ่ขยาย ส่งเสียงกู่ก้อง กลิ่นอายทั่วสรรพางค์กายยกระดับอีกครั้ง เลือดลมดั่งพญามังกรควบทะยานนี่คือสิ่งที่บ่งบอกถึงความทรงพลังอย่างไม่เคยมีมาก่อน เหนือกว่าอดีตที่ผ่าน เต็มไปด้วยความหยิ่งผยองและมั่นใจครืน!เหตุการณ์สะเทือนใต้หล้าพลันปรากฏ เมฆาเคราะห์ซึ่งสั่งสมอสนีบาตพลิกม้วนถูกหลินสวินซัดกระจายในหมัดเดียว!ห้วงอากาศนั้นราวถูกระเบิด เมฆาเคราะห์ซ่านเซ็นไปทั่วสารทิศ ทำให้บริเวณนั้นเกิดปรากฏการณ์ราวกับเป็นสุญญากาศนี่ทำให้ผู้คนยากจะเชื่อ สิ่งมีชีวิตที่อยู่ห่างออกไปเมื่อเห็นภาพนี้เข้าต่างหวาดหวั่นจนแทบล้มพับลงพื้นนี่ยังเป็นคนอยู่ไหมนั่นเป็นถึงมหาอสนีเคราะห์ซึ่งเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน ชวนประหวั่นไร้ขอบเขต แค่มองไกลๆ ก็หวาดกลัวอย่างที่สุดแล้วแต่ตอนนี้ถึงกับถูกหมัดเดียวซัดทลาย!ทุกสรรพชีวิตกลัวลนลาน นี่มันสัตว์ประหลาดที่โผล่มาจากไหนกันแน่ช่างเย้ยฟ้าจริงๆ!ใต้ผืนนภา เงาร่างหลินสวินเด่นตระหง่าน อาบไล้กลางสายฟ้าสีม่วงซึ่งแผ่สยายลอยล่อง ผิวหนังทุกกระเบียดนิ้วต่างส่องแสงประกาย พลังอันแข็งแกร่งกู่ก้องภายในร่าง อึกทึกครึกโครมดั่งฟ้าคำรามเขากำลังสัมผัสถึงอย่างเงียบๆนี่คือ ‘มหาเคราะห์แห่งอสนี’ ใน ‘มหาเคราะห์สามพิบัติ’อสนีเคราะห์ซึ่งฟาดผ่าลงมาเรียกขานว่า ‘มหาเคราะห์อสนีกลืนกิน’ เปี่ยมพลังสังหารน่าสะพรึง เพ่งเล็งที่มรรควิถีของผู้ฝึกปราณ ทันทีที่แบกรับไม่ไหวก็จะถูกขจัดฐานมรรค ทำลายล้างมรรควิถี กายหยาบและพลังปราณจะถูกกำจัดสิ้นในชั่วพริบตา ชวนประหวั่นอย่างแท้จริงตามที่หลินสวินรู้ ในยุคปัจจุบันยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครชักนำ ‘มหาเคราะห์สามพิบัติ’ ยามบรรลุระดับกระบวนแปรจุติมาก่อนด่านเคราะห์เช่นนี้ สมัยบรรพกาลเองก็ยากพบเห็นอย่างยิ่ง มีเพียงบุตรเทพโดยกำเนิดที่แท้จริงและพวกระดับผู้กล้าซึ่งเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน จึงจะสามารถชักนำมหาเคราะห์เช่นนี้มาได้!‘มรรคาแห่งมกุฎ โดดเด่นเหนือใครจริงดังว่า ทั้งแตกต่างจากผู้อื่น…’ในใจหลินสวินเกิดความหยั่งรู้มากมายอสนีเคราะห์สีม่วงซึ่งถูกซัดละเอียดกลายเป็นละอองแสงพร่างฟ้า กำลังถูกร่างกายเขาเขมือบกลืน ทำให้ปราณเขาเกิดการแปรสภาพน่าอัศจรรย์ถ้ำสวรรค์ภายในร่างบีบรัดตัวต่อเนื่อง แท่นมรรคโบราณก็กำลังถูกขัดเกลาทีละเล็กทีละน้อยอย่างเลือนราง ควบรวมเป็นต้นแบบจักระเทพแจ่มจรัสบาดตาสายหนึ่ง…ตูม!ไม่รอให้การแปรสภาพเช่นนี้สิ้นสุด บนท้องฟ้าเกิดภัยพิบัติน่าตระหนกอีกครั้ง ปรากฏรอยร้าวชวนประหวั่นหลากสาย แต่ละสายต่างยาวพันจั้งเมื่อแหงนมองจากพื้นดิน ท้องฟ้าเสมือนเครื่องแก้วแตกร้าวขณะเดียวกันเปลวเพลิงสีดำสนิทที่ราวโปร่งแสงสายแล้วสายเล่า พวยพุ่งออกจากรอยร้าวใหญ่บนอากาศอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ทั้งไม่เปล่งประกายหรืองามแปลกตา แต่กลับมีกลิ่นอายของความน่ากลัวที่แฝงซ่อนประการหนึ่งรางๆทว่านี่กลับพาให้ใจสั่นระรัว!ห่างออกไปสิ่งมีชีวิตทั้งมวลจิตวิญญาณระส่ำระสาย รู้สึกหายใจไม่ออกราวจะสิ้นชีพ สีหน้าล้วนเปลี่ยนแปลงยกใหญ่นี่มันเคราะห์อะไรกันไม่ใช่อสนีบาตอีก แต่เป็นเพลิงทมิฬโปร่งแสงที่เงียบเชียบอย่างน่าประหลาด!เปรียบเทียบกันแล้ว อัคคีเคราะห์เช่นนี้น่าหวาดกลัวกว่าอย่างไม่ต้องสงสัยพรึ่บ!ขณะเดียวกันหลินสวินนั่งขัดสมาธิบนอากาศ เหนือศีรษะวิญญาณแห่งพลังจิตสูงหนึ่งชุ่นพลันพุ่งทะยาน ทั่วร่างอบอวลแสงอัศจรรย์เปล่งประกายทะลวงเมฆานี่คือด่านเคราะห์ที่สองของ ‘มหาเคราะห์สามพิบัติ’ นามว่า ‘อัคคีเคราะห์ผลาญวิญญาณ’ มุ่งเป้าโจมตีจิตวิญญาณของผู้ฝึกปราณ ทันทีที่ยืนหยัดไม่ไหวพลังจิตจะกลายเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตา ความทรงจำ เจตจำนง จิตรับรู้ทั้งมวลต่างถูกเผาทำลายสิ้น ดับสูญโดยสมบูรณ์ต่อให้เทพไท้ในตำนานปรากฏตัวก็ไม่อาจช่วยเยียวยา!เมื่อวิญญาณแห่งพลังจิตสูงหนึ่งชุ่นปรากฏ อัคคีเคราะห์ซึ่งพวยพุ่งเหนืออากาศนั่นราวฉลามได้กลิ่นเลือด แค่ชั่วพริบตาก็ปกคลุมวิญญาณแห่งพลังจิตและทำการแผดเผาร่างกายหลินสวินนั่งในห้วงอากาศ แต่กลับเป็นว่าสุขสงบปลอดภัย ไม่ได้รับอันตรายใดๆส่วนวิญญาณแห่งพลังจิตของเขาก็เคร่งขรึมมีสง่า นั่งสมาธิกลางอัคคีเคราะห์นับหมื่นพันอย่างเงียบสงบ แสงสว่างซึ่งส่องประกายทั่วร่างวิวัฒน์เป็นวงแหวนเทพสายหนึ่ง หมุนอ้อมทั่วร่างภายในวงแหวนเทพหมื่นดาราเจิดจรัส วัฏจักรไม่ดับมอด จันทร์เพ็ญแขวนลอยแสงเงินยวงไหลพุ่ง ตะวันดวงโตโดดเด่นโชติช่วงรุ่งโรจน์ขณะทำการทะลวงด่านที่หกในห้องโถงมรรคาสวรรค์ก่อนหน้านี้ หลินสวินก็หลอมผสานเคล็ดเวทบริกรรมโดยสมบูรณ์ แปรเปลี่ยนออกมาเป็นวิญญาณแห่งพลังจิตของตนยามนี้ย่อมไม่หวั่นเกรงพลังของอัคคีเคราะห์ผลาญวิญญาณ!ตรงกันข้าม ภายใต้การแผดเผาของอัคคีเคราะห์เช่นนี้ ทำให้จิตวิญญาณของเขาได้รับการขัดเกลาอีกครั้ง จิตใจผุดผ่องวาวระยับ มีความรู้สึกแห่งการหลุดพ้นอย่าง ‘เปลือยเปล่าทุกอณู’อย่างไรคือเปลือยเปล่าทุกอณูก็เหมือนมัจฉาแหวกว่ายไม่พันเกี่ยวด้วยสายเบ็ด หลุดพ้นจากความกังวล!ทั้งเหมือนดั่งจิตใจไร้ธุลีไร้มลทิน สมบูรณ์เต็มเปี่ยม ไม่มีความเหน็ดเหนื่อยกังวลจากความคิดฟุ้งซ่านอันใด!คำกล่าวที่ว่ามัจฉาน้อยนิดปลดเปลื้องห้วงลึก หมื่นมดโคจรทุกข์กังวลชั่วกัปกัลป์ ก็คือแก่นอัศจรรย์เช่นนี้บรรยากาศเงียบสงัดยิ่ง แต่กลิ่นอายน่าพรั่นพรึงพาให้อึดอัดชวนหายใจไม่ออกยังคงอยู่ทุกอณูดูไปแล้วอัคคีเคราะห์นี้ราบเรียบไม่เกิดคลื่นถาโถม แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งน่ากลัวกว่าเดิมโดยไม่ต้องสงสัย!เหล่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ห่างไกลต่างอึ้งงัน เคราะห์สวรรค์ที่เห็นเบื้องหน้าทั้งมวล อยู่นอกเหนือจินตนาการและการรับรู้ของพวกเขาโดยสมบูรณ์แต่พวกเขาต่างสัมผัสได้ว่า เคราะห์สวรรค์ระดับนี้ยากพบเห็นยิ่งนัก นานปีจึงจะพบเจอสักครั้ง!ผ่านไปหนึ่งเค่อวิญญาณแห่งพลังจิตพลันลืมตาหยัดกายขึ้น อ้าปากสูดหายใจฮูม…อัคคีเคราะห์ผลาญวิญญาณทั่วผืนฟ้า ถูกกลืนเข้าสู่ร่างวิญญาณแห่งพลังจิตในชั่วพริบตาจากนั้นทั่วร่างวิญญาณแห่งพลังจิตแผ่แสงอัศจรรย์ พราวพร่างทะลึกพุ่ง สุดท้ายจึงหวนคืนความนิ่งสงบทว่าเปรียบเทียบกับแต่ก่อน วิญญาณแห่งพลังจิตราวถูกพันค้อนร้อยหลอม ขัดเกลาปลายกระบี่ ให้ความรู้สึกหลุดพ้น กลับคืนสู่สามัญประการหนึ่งสวบ!มันพุ่งเข้าร่างหลินสวินแล้วหายลับจากไปขณะเดียวกันหลินสวินซึ่งนั่งขัดสมาธิลืมตาขึ้น ในลูกตามีแสงอัศจรรย์ใสสงบไหลผ่านเหล่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ห่างไกลต่างแข็งทื่อไปทั้งตัว แต่ละคนล้วนรู้สึกราวถูกแววตานั่นของหลินสวินกวาดมอง ความลับบนล่างทั่วกายล้วนถูกมองทะลุสิ้นนี่ทำให้พวกเขาขนพองสยองเกล้า พิศวงถึงขีดสุด เกือบคุกเข่ากราบกรานอย่างอดไม่อยู่ เหมือนดั่งเผชิญหน้าเทพองค์หนึ่งแต่เคราะห์สวรรค์ครานี้ยังไม่จบหลินสวินยืนขึ้น นัยน์ตาดำนิ่งสงบผ่องแผ้วเฉกเช่นหุบเหวลึกสะท้อนนภาลัย ทั่วร่างห้อมล้อมด้วยประกายกระจ่างสมบูรณ์ กลิ่นอายเจตจำนงแห่งมรรคแผ่พุ่งเหนือศีรษะ ฟ้าดินเงียบสงัดหนาวเหน็บหาใดเปรียบหลินสวินรู้ว่ามหาเคราะห์ครั้งที่สามจวนมาเยือนเคราะห์นี้ถูกเรียกว่า ‘เคราะห์วาโยดับวิชา’ สิ่งที่ทำลายคือวิชาแห่งปราณ รากแห่งการแจ้งมรรค! หากแบกรับไม่ไหว อวัยวะตันห้าจะกลายเป็นเถ้าถ่าน เนื้อกระดูกลับหาย ทุกสิ่งต่างดับมอด!เคราะห์นี้น่าหวาดกลัวที่สุดโดยไม่ต้องสงสัยแต่เคราะห์นี้ยังไม่ทันเยื้องกราย เหล่าสิ่งมีชีวิตซึ่งทอดมองจากที่ห่างไกลต่างแบกรับกลิ่นอายชวนประหวั่นเต็มฟ้าดินไม่ไหว ลุกลี้ลุกลนหลบหนีไปพวกเขาสังหรณ์ว่าหากอยู่ต่อ ต้องประสบผลกระทบกายอาสัญมรรคสลายแน่!ฮูมๆๆ …ไม่นานนักบนเวิ้งฟ้ามีเสียงราวลมกาฬวาตข้ามแดน พริบตาเดียวผืนฟ้าพลันอลหม่าน เหมือนกลายเป็นตาพายุรัศมีพันลี้ต่างถูกวาโยทมิฬปกคลุม ภูเขาใหญ่สูงพันจั้งแต่ละลูกถูกหอบเหนือพสุธาลอยเคว้งกลางอากาศ จากนั้นพลันกลายเป็นฝุ่นผงกระจายหายไร้ร่องรอยกระแสธารพลิกตลบ แม่น้ำ พืชพรรณ หินศิลา… ล้วนถูกแรงลมน่าสะพรึงดึงทึ้งดับสลายโดยปริยายแค่พริบตาพืชพรรณซึ่งเดิมหนาแน่นเฟื่องชอุ่ม ป่าเขาลำเนาไพรเก่าแก่ดึกดำบรรพ์ล้วนถูกกำจัด ฟ้าดินแถบนี้ถูกวาโยทมิฬปกคลุม โหมทำลายโดยสมบูรณ์!ภาพเหตุการณ์เช่นนั้นเสมือนวันสิ้นโลกมาเยือน!นี่ก็คือ ‘เคราะห์วาโยดับวิชา’ สมัยบรรพกาล หลังจากผู้กล้าฝีมือล้ำเลิศสะเทือนใต้หล้าบางส่วนข้ามผ่าน ‘มหาอสนีเคราะห์กลืนกิน’ และ ‘อัคคีเคราะห์ผลาญวิญญาณ’ แล้ว ส่วนมากล้วนดับสิ้นมรรคสลายพร้อมความแค้น เพราะไม่อาจยืนหยัดผ่านวามเจ็บปวดแห่งการดับวิชา!และเวลานี้หลินสวินอยู่กลางเคราะห์วาโย ทั่วร่างส่องสว่าง สำแดงวิชาที่มีออกมาต้านทานและกรำศึกกับมันเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ เพลงดาบวัฏจักรฟ้า มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร…เพียงชั่วขณะก็เห็นกลางเคราะห์วาโยสีดำชวนประหวั่นนั่น ปรากฏลักษณ์ประหลาดนานัปการอันเรียกได้ว่าไร้เทียมทานมีดาราร่วงหล่น สุริยันจันทราช่วงโชติชัชวาล…มีมังกรทะยานนภา ปักษาเพลิงขับขาน…ทั้งมีชือน้ำแข็งขดล้อม ฟู่ซี่เข้าปะทะ…และลักษณ์ประหลาดทั้งหมดต่างประหนึ่งมีรูปลักษณ์แท้จริง หลอมรวมเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำ โอบล้อมหลินสวินซึ่งอยู่ตรงกลาง ถูกเขาควบคุมและสำแดงอย่างสมบูรณ์!ภาพเหตุการณ์นั้นเปรียบเสมือนเซียนสำแดงวิชา เทพยุทธ์เผยมรรคในตำนาน!
คอมเม้นต์