Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 812 ภาพนักพรตขี่วัว
ตอนที่ 812 ภาพนักพรตขี่วัว
ฉิวหนิว สัตว์เทพกายสิทธิ์บรรพกาล มีดวงใจพิสุทธิ์เก้าห้อง สามารถจำแนกสำเนียงหนอนแมลงต้นไม้ใบหญ้า ใจสื่อสารสรรพสิ่ง ครองพรสวรรค์อัศจรรย์เกินคาดเดาเล่าลือว่าสัตว์ตัวนี้ถึงขั้นสามารถสื่อสารกับสัจจะแห่งมหามรรคฟ้าดิน!และ ‘ดวงใจฉิวหนิว’ มรดกวิชาลับส่วนนี้คือวิชาลับประหลาดที่ใช้หยั่งรู้สรรพวิญญาณในฟ้าดิน ผสานตัวของตนและธรรมชาติเข้าด้วยกันหลังฝึกวิชาลับนี้ สภาวะจิตจะเชื่อมหมื่นมายา ดวงจิตและฟ้าดินจะขานรับซึ่งกันและกัน ทำให้ยามฝึกผู้ฝึกปราณสามารถหยั่งถึงร่องรอยของมหามรรคได้ตามธรรมชาติ!นี่คือความน่าอัศจรรย์เหลือประมาณการแจ้งมรรค!แม้แต่มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติ ยังไม่เคยเห็นใครสามารถหยั่งรู้และควบคุมพลัง ‘เจตจำนงแห่งมรรค’ถึงอย่างไรมหามรรคก็ไร้นาม ไร้รูป ไร้ลักษณ์ เลือนรางและคลุมเครือเกินไป ในบรรดามหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติพันคน ผู้ที่สามารถหยั่งถึงปริศนาและแก่นแท้ของมันยังไม่เห็นมีสักคน เรียกได้ว่าไร้หนึ่งในพัน หายากดั่งขนหงส์เขากิเลนแต่หากมี ‘ดวงใจฉิวหนิว’ แน่นอนว่ายิ่งสามารถทำให้ผู้ฝึกปราณหยั่งถึงร่องรอยแห่งมหามรรคจากตรงนี้แค่คิดก็รู้แล้วว่า วิชาลับส่วนนี้สะเทือนใต้หล้าและอัศจรรย์ระดับใด!…“สวรรค์มีเมตตา ในเมื่อเจ้ามาเจอข้าในเวลานี้ นับว่าเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง สิ่งนี้มอบให้เจ้า”หลินสวินจิตใจกระจ่างว่างเปล่า โยนขาสุนัขดำขนาดใหญ่ให้เสือดาวโลหิต“ไปเถอะ”เขาสะบัดมือ หมู่ดาราส่องประกายเหนือฟ้า ประพรมแสงเย็นสะอาดอาบไล้เงาร่างสง่างามปลีกโลกาเห็นชัดว่าเสือดาวโลหิตตะลึงงัน ก่อนส่งเสียงครวญทุ้มต่ำราวมีสติปัญญา คุกเข่าลงกับพื้นก้มหัวให้หลินสวินจากนั้นมันจึงคาบขาหมาดำมหึมานั่น แล้วหันหลังหายไปท่ามกลางรัตติกาลกระรอกน้อยยังหลับสนิท หางใหญ่โตอ่อนนุ่มปุกปุยคลุมบนร่าง จมูกส่งเสียงกรนครอกๆหลินสวินกลับเคี่ยวเข็ญและหยั่งรู้แก่นอัศจรรย์ของดวงใจฉิวหนิวหลายวันก่อน เมื่อเขาเข้าใจปริศนาทั้งมวลแห่งนัยน์ตาเฉาเฟิงอย่างลึกซึ้งในที่สุด จึงเริ่มสัมผัสปริศนามรดกร่างสุดท้ายของมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรและค่ำวันนี้ เพิ่งเริ่มเปิดประตูของวิชาอัศจรรย์นี้ ก็พบความเล็กน้อยแล้ว‘คิดไม่ถึงว่าวิชาลับส่วนนี้จะเหนือคาดเช่นนี้ เมื่อมีมันก็สามารถจัดการอุปสรรคในการฝึกแจ้งมรรคของข้าพอดี!’นัยน์ตาดำของหลินสวินผ่องแผ้ว ส่องประกายสุกสกาวใต้แสงดาราปัจจุบันช่องโหว่สุดท้ายที่เขาต้องเติมเต็มเพื่อเลื่อนระดับสู่ระดับกระบวนแปรจุติ คือระดับขอบเขตแจ้งมรรคสี่ฤดูหมุนสลับ รุ่งโรจน์เสื่อมถอยปรวนแปร ตะวันเด่นจันทราคล้อย กลางวันเปลี่ยนกลางคืนแทน มีขึ้นย่อมมีลง… นี่คือลักษณ์แห่งสรรพสิ่งสรรพสิ่งล้วนมีลักษณ์ ลักษณ์คือว่างเปล่า พื้นฐานคือมรรค สะท้อนให้เห็นถึงฟ้าดิน อันเป็นท่วงทำนองแห่งมรรค เผยแสดงการสับเปลี่ยนแห่งสรรพสิ่งตามลำดับ หมุนเวียนเป็นวัฏจักรนี่ก็คือท่วงทำนองแห่งมรรค ร่องรอยแห่งอัคคีซึ่งลุกโหมโชติช่วง ร่องรอยแห่งพฤกษาซึ่งพลังชีวิตสืบเนื่อง ร่องรอยแห่งทองซึ่งดุดันหาใดเปรียบ…ร่องรอยแห่งสรรพสิ่งล้วนเป็นท่วงทำนองแห่งมรรค สื่อถึงกลิ่นอายแห่งมรรคประการหนึ่ง สอดประสานทั่วฟ้าดิน เปี่ยมแน่นทุกหัวระแหงด้วยมันอัศจรรย์ไร้รูป จึงไม่อาจบรรยายก่อนก้าวสู่ระดับหยั่งสัจจะ หลินสวินก็หยั่งรู้และครอบครองท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุน้ำได้แล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังค้างอยู่ในระดับท่วงทำนองแห่งน้ำขั้นสมบูรณ์ ไม่อาจทะลวงไประดับ ‘เจตจำนงแห่งมรรค’เดิมทีหลินสวินยังคิดว่าควรจัดการอุปสรรคนี้อย่างไร แต่ยามนี้มีดวงใจฉิวหนิว ทำให้เขามองเห็นความหวังโดยไม่ต้องสงสัย!‘รอแค่ยึดกุมเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำได้ ก็ไม่ต้องสะกดข่มระดับปราณ เตรียมเลื่อนสู่ระดับกระบวนแปรจุติได้…’หลินสวินพึมพำในใจ เฝ้ารอคอยเต็มที่ เขาค้างอยู่ระดับหยั่งสัจจะนานเกินไปแล้ว!สวบ!ทันใดนั้นในบริเวณที่ห่างไปไกลมีเงาร่างวูบไหว เสือดาวโลหิตตัวนั้นหวนกลับมา ปากยังคาบท่อนสำริดสนิมเขรอะกระดำกระด่างท่อนหนึ่งมาด้วยหลินสวินชะงัก ก็เห็นเสือดาวโลหิตวางท่อนสำริดลงบนพื้นอย่างระมัดระวังยิ่งก่อนหันหลังจากไป เห็นชัดว่านี่คือ ‘การตอบแทน’ ของมันอย่างหนึ่งนี่ทำหลินสวินไหวหวั่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ‘แพะมีจิตพินอบเทิดทูนน้ำนม อีกามีคุณธรรมกตัญญู คิดไม่ถึงว่าเสือดาวโลหิตก็รู้จักตอบแทนบุญคุณข้าด้วย…’เขาหยิบท่อนสำริดสนิมเขรอะด่างพร้อยนั่นขึ้นมา ก็เห็นว่าสิ่งนี้หนักอึ้ง ขนาดใหญ่ประมาณฝ่ามือ ปกคลุมด้วยสนิมทองแดงสีเขียวเข้มชั้นหนึ่ง คล้ายเป็นเศษเสี้ยวสมบัติบางอย่างหลินสวินออกแรงที่นิ้วกำจัดสนิมเหล่านี้ เผยโฉมหน้าดั้งเดิมของท่อนสำริดออกมา จากนั้นนัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัดท่อนสำริดดูแล้วธรรมดายิ่ง แต่ด้านบนสลักภาพชายชราชุดนักพรตคนหนึ่งนั่งบนหลังวัวเขียว ท่าทางผ่อนคลายกำลังแหงนมองฟากฟ้าภาพดูเรียบง่าย คล้ายผ่านการกัดกร่อนแห่งเวลาอันไร้สิ้นสุด บางส่วนมัวจางเลือนราง แต่เมื่อหลินสวินมองไปกลับรู้สึกถึงแรงกดดันยิ่งใหญ่ที่พุ่งปะทะใบหน้า!แรงกดดันมหาศาลนั่นแผ่กว้างราวไร้จำกัด ชวนประหวั่นไร้ขอบเขต ชั่วพริบตาหลินสวินรู้สึกราวกับว่าชายชราขี่วัวเขียวนั่นคล้ายดั่งมีชีวิต นัยน์ตาคู่นั้นมองมาทางตนนั่นมันดวงตาอะไรกันล้ำลึกราวจักรวาล สะท้อนลักษณ์แห่งสุริยันจันทราเคลื่อนคล้อย กาลเวลาผันเปลี่ยน ความลับของมหามรรค ทุกอย่างเสมือนปรากฏอยู่ภายใน!เฉือก!หลินสวินสูดหายใจหนาวเยือก จิตใจสั่นสะท้าน รู้สึกยำเกรงปานปรารถนาจะคุกเข่ากราบไหว้ ไม่อาจจินตนาการเกินไปแล้วแต่เมื่อเขามองโดยละเอียดอีกครั้ง ลักษณ์ประหลาดเมื่อครู่เสมือนระเหยหายไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าหลินสวินจะหยั่งเชิงอย่างไรก็ไม่พบสิ่งใดอีกนี่ทำให้หลินสวินมึนงง ภาพของนักพรตขี่วัวทำไมถึงสลักลงบนท่อนสำริด สิ่งนี้คงมีความเป็นมาใหญ่หลวง!หลินสวินลุกขึ้น กระรอกน้อยที่หลับสนิทพลันตกใจตื่นร้องเสียงแหลม พลิกตัวหนีลับราวหมอกควันไม่นานนักหลินสวินมาถึงถ้ำชะง่อนผาแห่งหนึ่ง เสือดาวโลหิตกำลังนอนหมอบอยู่ภายใน ข้างกายล้อมรอบด้วยลูกเสือดาวโลหิตห้าหกตัวหลินสวินหยุดยืนอยู่นอกถ้ำ ใช้จิตรับรู้กวาดมองอย่างละเอียด พยายามมองหาเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับท่อนสำริดแต่สุดท้ายยังคงไม่พบอะไรเสือดาวโลหิตถูกรบกวนตื่น เมื่อเห็นหลินสวินมันคล้ายนึกไม่ถึงอยู่บ้าง ส่งเสียงทุ้มต่ำคราหนึ่งราวถามเจตนาการมาของหลินสวินหลินสวินใจเต้น โคจรวิชาลับดวงใจฉิวหนิว ลองสื่อสารกับเสือดาวโลหิตทันใดนั้นในหัวปรากฏภาพฉากมากมาย ในพื้นที่รกร้างว่างเปล่าผืนหนึ่ง เสือดาวโลหิตกำลังเสาะหาอาหาร แต่กลับพบโครงกระดูกในถ้ำแห่งนี้โครงกระดูกอยู่ท่านั่งสมาธิ น่าจะเป็นผู้ฝึกเซียนคนหนึ่ง ฝุ่นธุลีเกาะกุมทั่วร่าง อยู่ในท่านั่งสมาธิไม่รู้นานเท่าไรแล้วเสือดาวโลหิตเข้าไปสัมผัสเบาๆ โครงกระดูกนั่นพลันสลายกลายเป็นฝุ่น เหลือเพียงท่อนสำริดสนิมเขรอะด่างพร้อยบนพื้นภาพเหตุการณ์มาถึงตรงนี้ก็เลือนหาย‘ที่แท้ที่นี่เคยมีผู้ฝึกเซียนคนหนึ่งสิ้นชีพในท่านั่งสมาธิ หลงเหลือเพียงท่อนสำริดนี้…’ หลินสวินคล้ายขบคิดบางอย่างจู่ๆ เสือดาวโลหิตลุกขึ้น ร่างกายปราดเปรียวพุ่งเข้าไปที่ส่วนลึกข้างผาสูงชันนานพอควรมันจึงหวนกลับมาใหม่อีกครั้ง แต่ปากมันกลับมีม้วนกระดูกเน่าเปื่อยชิ้นหนึ่ง มันวางลงข้างเท้าหลินสวินกร๊อบ!เมื่อหลินสวินหยิบม้วนกระดูกขึ้นมา ผิวนอกของมันก็แตกระแหงคล้ายใกล้จะแตกหักดับสลายหลินสวินไม่มีเวลาสนใจสิ่งอื่น รีบเร่งส่งจิตรับรู้เข้าไปภายใน ฉับพลันก็เห็นอักษรเฉพาะสมัยบรรพกาล…‘ปรารถนาเลียนแบบอริยะ ก้าวผ่านอีกฟากฝั่งแห่งผืนดารา มุ่งหน้าทัศนาแหล่งสถานอัศจรรย์ แต่แล้วหนทางตัดขาด อดทนค้นหามาสี่หมื่นแปดพัน เหลือไว้เพียงวัตถุต่างหน้าเมธี ไร้วาสนาพบมรรคาแห่งเมธี มรรคาแห่งข้าสิ้นสุดแล้ว!’หลินสวินตะลึงงันแกรก!ในมือเขา ม้วนกระดูกซึ่งเน่าเปื่อยเกินทนกลายเป็นฝุ่นผงโดยสมบูรณ์ แผ่กระจายหายไปจากโลกแต่หลินสวินกลับไม่รู้ตัวโดยสิ้นเชิงในหัวเขาเสมือนมองเห็นสมัยบรรพกาล ผู้ฝึกปราณซึ่งฝึกมรรคาสวรรค์คนหนึ่งได้รับของต่างหน้าเมธีโดยบังเอิญ ดังนั้นจึงคิดจะเลียนแบบอริยะ ก้าวผ่านอีกฟากฝั่งแห่งห้วงดารา เสาะหาแหล่งสถานอัศจรรย์แต่เขาค้นหาอย่างยากลำบากสี่หมื่นแปดพันปี กลับไม่เคยพบหนทางสู่แหล่งสถานอัศจรรย์ สุดท้ายสิ้นชีพไปพร้อมความเสียดาย หวนคืนสู่ธุลีดิน หลงเหลือเพียงท่อนสำริดนี้ไว้‘สิ่งนี้อาจเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ของต่างหน้าเมธี’ ถูกผู้ฝึกปราณคนนั้นมองว่าเกี่ยวข้องกับแหล่งสถานอัศจรรย์ ดังนั้นจึงเกิดความคิดเลียนแบบอริยะ มุ่งหน้าไปดูแหล่งสถานอัศจรรย์…’หลินสวินตกอยู่ในห้วงคิด นิ้วมือลูบไล้ท่อนสำริดที่สลักภาพนักพรตขี่วัว ทอดถอนใจอย่างอดไม่อยู่แสวงหามาสี่หมื่นแปดพันปี แต่สุดท้ายไร้วาสนาพบพาน สิ้นชีพด้วยความเสียดาย…แหล่งสถานอัศจรรย์นั่น สมเป็นหนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล!หลินสวินเคยเข้าสู่ ‘แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์’ ได้รับมรรคคาถาปริศนาและป้ายคำสั่งเซียนเหินที่เกี่ยวกับ ‘แหล่งสถานคุนหลุน’ มาก่อน แน่นอนว่าต้องรู้ว่าจตุโบราณสถานบรรพกาลมีความเร้นลับมากเพียงใดแต่เขากลับคาดไม่ถึงว่า ท่อนสำริดซึ่งหลงเหลือในมือเมธีเมื่อครั้งบรรพกาลจะมีความเกี่ยวข้องกับแหล่งสถานอัศจรรย์นานพอควร หลินสวินจึงเก็บภาพนักพรตขี่วัวที่สลักในท่อนสำริด ผงกศีรษะไปทางเสือดาวโลหิตตัวนั้นเล็กน้อย ก่อนหันหลังลอยล่องจากไป…ผ่านไปสามวันหลินสวินปรากฏตัวหน้าภูเขาใหญ่ที่รูปลักษณ์คล้ายอาณาเขตพยัคฆ์ สูงตระหง่านทรงพลังลูกหนึ่งสำรวจผ่านนัยน์ตาเฉาเฟิง ทำให้เขาตัดสินได้อย่างชัดเจนว่าภูเขานี้กักเก็บสายแร่แกนวิญญาณอันอุดมเส้นหนึ่งแต่เมื่อเขาเตรียมจะขุด กลับพบว่ามีคนกำลังเจาะภูเขาขุดเหมืองอยู่ก่อนแล้วนั่นคือผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่ง เจาะทะลวงอยู่ในถ้ำเหมืองตรงกลางทิวเขานอกถ้ำเหมืองยังมีเกี้ยวสมบัติงามวิจิตรคันหนึ่งจอดอยู่ ละแวกใกล้เคียงมีผู้ฝึกปราณมือฉมังคุ้มกันห้อมล้อม เห็นชัดว่าภายในเกี้ยวสมบัติต้องเป็นบุคคลฐานะไม่ธรรมดาคนหนึ่งเห็นดังนั้นหลินสวินที่ไม่คิดช่วงชิงสายแร่กับผู้อื่นก็หมายจากไป ทว่าเวลานี้กลับมีเสียงสุภาพอ่อนโยนหนึ่งดังขึ้น“คุณชายก็มาเพื่อสายแร่นี้ด้วยหรือ”ยามกล่าว ม่านเกี้ยวสมบัตินั่นถูกเลิกออก เผยใบหน้าหญิงงามนางหนึ่งคิ้วตาโค้ง ริมฝีปากแดงอวบอิ่ม ฟันสะอาดเป็นประกาย มุมปากแต้มรอยยิ้มเล็กน้อย บุคลิกนุ่มนวลดั่งดอกกล้วยไม้ เชยตามามองหลินสวินทันใดนั้นผู้คุ้มกันใกล้เกี้ยวสมบัติต่างตื่นตระหนก เพิ่งสังเกตเห็นการมีอยู่ของหลินสวิน ทุกใบหน้าล้วนเจือความระแวดระวังมองมาโดยพร้อมเพรียง‘ผู้หญิงคนนี้พลังรับรู้แหลมคมมาก ห่างขนาดนี้ยังสามารถสังเกตเห็นการมีอยู่ของข้าได้ น่าจะเป็นผลจากการฝึกวิชาลับจิตวิญญาณบางอย่าง…’ในใจหลินสวินตกตะลึงอยู่บ้าง จากนั้นส่ายศีรษะแสดงออกว่าตนแค่ผ่านทาง แล้วจะหันหลังจากไป“บังอาจ! พี่สาวข้ากำลังถามเจ้า ใครใช้ให้เจ้าไป? หรือเจ้ามีเจตนาน่าสงสัย”ข้างเกี้ยวสมบัติ เด็กหนุ่มอายุประมาณสิบห้าสิบหกที่ค่อนข้างรูปงามคนหนึ่งส่งเสียงตวาดลั่นเหล่าผู้คุ้มกันมือฉมังต่างเผยสีหน้าไม่เป็นมิตรสายแร่แห่งนี้แฝงแกนวิญญาณมูลค่าน่าอัศจรรย์ หลายวันก่อนเพิ่งถูกพวกเขาค้นพบและทำการขุดค้น แน่นอนว่าต้องกังวลว่าจะถูกคนอื่นมาแย่งชิงและการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหลินสวินทำให้พวกเขาไม่อาจไม่สงสัย คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นหสายสืบที่ขุมอำนาจบางแห่งส่งมาสืบข่าว
คอมเม้นต์