Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 793 บั้นท้ายแม่เสือแตะไม่ได้
เด็กสาวชุดดำโกรธระคนอายจนจวนคลั่ง มีกระทั่งความคิดอยากฆ่าคน!ก่อนหน้านี้นางถูกเทิดทูนราวกับเทพเซียน สถานะสูงส่งประหนึ่งไม่แปดเปื้อน ฐานะในแดนฐิติประจิมโดดเด่นหาใดเปรียบ ไม่มีใครกล้าลบหลู่และล่วงเกินทว่าตอนนี้ กลับถูกแผ่นหลังของฝ่ายตรงข้ามชนกระแทกบริเวณสงวนส่วนตัวที่น่าอายมากที่สุดในการต่อสู้ สิ่งนี้ทำให้นางแทบไม่อยากเชื่อที่น่าอักอ่วนมากสุดคือพลังในการชนครั้งนี้รุนแรงมาก งัดบั้นท้ายเอิบอิ่มดั่งจันทร์เพ็ญของนางจนทำเอาทั้งตัวซัดปลิวออกไป ท่าทางทุลักทุเลอย่างเห็นได้ชัดบริเวณนั้นร้อนวูบวาบ รู้สึกแทบแหลกลาญ แต่เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดเหล่านี้ ความโกรธระคนอายในใจของเด็กสาวชุดดำมีเหนือกว่า กระทั่งผิวพรรณเนียนละเอียดขาวผ่องยังเรื่อแดง เรียกได้ว่าบนรูปโฉมไร้ที่เปรียบเต็มไปด้วยความโกรธอาย ไม่กล้าจินตนาการ ทำให้นางไม่อาจยอมรับได้เจ้าสารเลวสมควรตายคนนี้ ถึงขนาดกล้าทำหน้าด้านเช่นนี้เชียว!ไม่ว่าจิตใจของเด็กสาวชุดดำจะสูงส่งเพียงใด ชั่วขณะนี้ก็โกรธจนควันออกเจ็ดทวารแล้วเช่นกันในเวลาเดียวกันในใจหลินสวินก็ผุดความกังขาขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง บรรลุปราณถึงระดับเขา การรับรู้จึงว่องไวมาก เพียงชั่วขณะก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเมื่อครู่… รู้สึก… ราวกับ… นุ่มนิ่มและยืดหยุ่นมาก… คงไม่ใช่ว่า…หลินสวินร้องโอดโอยอยู่ในใจ ตระหนักได้ว่าไม่ดีแล้ว เขารู้โดยไม่ต้องเหลียวหลังสักนิดว่ายามนี้มีดวงตาแหลมคมปานมีดกำลังจ้องตนอย่างเย็นชา ไอสังหารน่ากลัวนั้นทำให้หัวใจของเขาอดขนลุกไม่ได้หมดกัน!หลินสวินตระหนักได้ว่าการโจมตีครั้งนี้จะต้องเข้าใจผิดแล้วแน่นอน ทว่าที่สำคัญคือไม่สามารถอธิบายได้ทั้งหมดสวบ!หลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งอย่างแทบจะเป็นไปตามจิตใต้สำนึก อันตธารหายไปกลางอากาศทันทีประหนึ่งเท้าทาน้ำมันไม่มีผิดเขาค่อนข้างละอายใจ จึงชิงเผ่นไปก่อนอย่างเฉียบขาดด้วยความว่องไว ทำให้ผู้ฝึกปราณในที่นั้นมองจนปากอ้าตาค้าง“อา…” บนห้วงอากาศ เด็กสาวชุดดำเห็นดังนั้นก็ยิ่งโกรธและอายขึ้นเรื่อยๆ ส่งเสียงโอดครวญใสกังวาน ไม่อาจควบคุมไอสังหารและความเดือดดาลภายในใจได้เลยตูม!เชือกมัดผมสีเขียวของนางขาดผึง เรือนผมดำขลับปลิวสยาย เงาร่างงดงามเพรียวบางปลดปล่อยไอสังหารสะท้านฟ้าดินออกมา กวาดม้วนทั่วสารทิศกลางนัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยไอสังหาร เจ้าสารเลวคนนั้นน่ารังเกียจเกินไปแล้ว หลังจากทำให้ตนอับอายยังกล้าเผ่นหนี นี่มันไม่เห็นตนอยู่ในสายตาชัดๆ!นางในยามนี้มีกลิ่นอายน่ากลัวเหมือนกับภูเขาไฟโบราณลูกหนึ่งระเบิด ทำให้ผู้ฝึกปราณที่อยู่บนพื้นต่างตกใจ กระสับกระส่ายน่าสะพรึงเหลือเกิน!เสมือนกับเซียนนางหนึ่งบันดาลโทสะฟ้าคำรามชัดๆ ผลลัพธ์ที่ตามมานั้นสุดแสนจินตนาการ‘บั้นท้ายเสือใครก็อย่าแตะ นับประสาอะไรกับการแตะบั้นท้ายของแม่เสือกันเล่า พี่หลินสวินนี่ทำเรื่องวอนตายครั้งใหญ่แล้วสินะ’ใบหน้าเล็กผุดผ่องของซย่าเสี่ยวฉงเต็มไปด้วยอาการสะดุ้งสะเทือน ออกจะนับถือความกล้าหาญของหลินสวินเล็กน้อยด้วยซ้ำ ช่างไม่กลัวตายเลยชัดๆ‘เอ๋… เจ้าหมอนั่นดูคุ้นตาชอบกล เหตุใดถึงมีบุคลิกคล้ายน้องหลินสวินอยู่หลายส่วน’ในที่สุดฟางหลินหานก็มาถึง เพียงแต่กลับพลาดการประลองอันดุเดือดไปเสียแล้ว เห็นเพียงเงาที่ร่างกุมหัวเผ่นแน่บเหมือนหนูของหลินสวิน และเนื่องด้วยความเร็วที่ไวเกินไปจึงไม่กล้าระบุตัวตนของคนผู้นั้น‘หือ ชักเริ่มจะไม่ชอบมาพากลแล้ว เหตุใดแม่นางชุดดำคนนี้ก็ดูคุ้นๆ ดูแล้วเหมือนกับ…’ขณะที่มองเห็นเงาร่างอรชรซึ่งบันดาลโทสะอยู่บนเวิ้งฟ้าสายนั้น ฟางหลินหานก็อึ้งงันอีกครั้ง จากนั้นจึงส่ายหน้าเด็ดเดี่ยว ‘คงไม่ใช่นางแน่ๆ ตามข่าวลือ นางเป็นถึงหญิงสาวที่ราวกับเซียนสวรรค์ สันโดษเป็นเอกเทศ ไหนเลยจะบันดาลโทสะน่าตกใจเช่นหญิงสาวคนนี้ นิสัยใจคอดูแตกต่างกันเกินไป…’ที่น่าเสียดายคือ ไม่รอให้ฟางหลินหานทำการยืนยัน เด็กสาวชุดดำบนเวิ้งฟ้าคนนั้นก็ถูกหญิงชราชุดเขียวนำตัวไป กลายร่างเป็นสายรุ้งวิเศษอันตรธานหายไปในพริบตาสิ่งนี้กลับทำให้ฟางหลินหานตกใจ ตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของหญิงชราชุดเขียว แม้ว่าไม่ใช่ราชันอย่างแท้จริง แต่ก็ต่างกันไม่เท่าใดนัก!‘น่าเสียดายที่พลาดการประลองบันลือโลกแบบนี้ไปเสียได้…’ ฟางหลินหานทอดถอนใจ ไม่ยินยอมยิ่ง เขาโหยหาคู่ต่อสู้ที่คู่ควรกับการประลอง แต่จวบจนบัดนี้ยังไม่เคยพบเจอ ภายในใจรู้สึกหดหู่อย่างเลี่ยงมิได้……การประลองบันลือโลกที่ปะทุขึ้นอย่างกะทันหันแล้วยังสิ้นสุดลงอย่างกะทันหันนี้ ปิดฉากลงภายใต้สายตาจับจ้องที่ตะลึงอึ้งค้างแต่ไม่นานข่าวเกี่ยวกับศึกครั้งนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วนครเตโชราวกับพายุกาฬวาต สิ่งนี้ทำให้ผู้คนไม่อาจไม่สงสัย ว่าใช้เวลาไม่นานเมืองนับพันทั่วทั้งแคว้นวิญญาณอัคนีจะต้องลือข่าวที่เกี่ยวกับศึกครั้งนี้กระฉ่อนใช่หรือไม่อย่างไรเสียศึกครั้งนี้ก็น่าทึ่งและน่าสะท้านมากเกินไปจริงๆเด็กหนุ่มที่ผยองและยังแข็งแกร่งประหนึ่งเทพมารคนหนึ่ง เด็กสาวชุดดำที่พิสุทธ์โดดเด่นปานเซียนแดนสรวงคนหนึ่ง ต่างเรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าไร้เทียมทาน และมาประลองกันเหนือท้องฟ้านครเตโช ได้รับการจับจ้องจากมวลชน ผลกระทบที่เกิดทั้งหมดแค่จินตนาการก็รู้ว่ามากมายเพียงใดศึกครั้งนี้ถึงขั้นเรียกได้ว่าตระการตานับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน อย่างไรเสียในนครเตโชที่ผ่านมาก็ไม่เคยเกิดศึกบันลือโลกเช่นนี้มาก่อน“นี่ก็คือมาดแห่งผู้กล้าไร้ทัดเทียม พลังที่ครองครองทั้งหมดเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันไปนานแล้ว บรรลุถึงขั้นสูงสุดที่ผู้ฝึกปราณระดับเดียวกันไม่อาจเอื้อม!”คนจำนวนมากต่างรู้สึกทอดถอนใจ ตอนนี้คนทั้งโลกต่างรู้ดี การต่อสู้แห่งมหาสงครามที่ไม่เคยมีมาก่อนกำลังมาเยือน นี่จะต้องเป็นเวทีของผู้กล้าอย่างแท้จริงโดยไม่ต้องสงสัยถึงตอนนั้นผู้กล้าทั่วหล้าต่างรวมตัวกัน วีรบุรุษแข่งประชัน สรรพมรรคาสู้รบช่วงชิง ผู้ฝึกปราณทั่วไปย่อมไม่มีโอกาสเข้าร่วมเป็นหนึ่งในนั้น“บางทีคงมีแต่บุคคลโดดเด่นเช่นชายหญิงคู่นี้เท่านั้น จึงจะมีคุณสมบัติช่วงชิงวาสนาแห่งฟ้าดินหลังจากมหาสงครามมาเยือนกระมัง”ผู้ฝึกปราณรุ่นอาวุโสบางคนก็ทอดถอนใจปลงตกเช่นกัน การประลองศึกในวันนี้ทำให้พวกเขาตราตรึงอย่างสุดซึ้ง“ช่างหายากยิ่งนัก ศึกครั้งนี้จะต้องสั่นสะเทือนทั่วทั้งนครเตโชเป็นแน่ เพียงแต่หนึ่งชายหนึ่งหญิงคู่นั้นเป็นใครกันแน่ แล้วมาจากขุมอำนาจใดกัน”ผู้ฝึกปราณจำนวนมากมายต่างคาดเดาตัวตนของหลินสวินและเด็กสาวชุดดำ แต่น่าเสียดาย เค้าหน้าของหลินสวินแปลกตาเกินไป ไม่สามารถระบุตัวตนของเขาได้เลยสักนิดส่วนเด็กสาวชุดดำก็สวมหน้ากากสีเงิน ปิดซ่อนรูปโฉมกว่าครึ่งเอาไว้ ทำให้ผู้คนไม่อาจจดจำได้เช่นเดียวกันสิ่งนี้กลับยิ่งทำให้ในใจผู้ฝึกปราณทั้งหมดรู้สึกลึกลับขึ้นทุกทีที่พอคาดเดาได้คือ ยามข่าวลือเรื่องศึกในวันนี้แพร่กระจายออกไป และถูกทั่วนครเตโชรับรู้ บางทีตัวตนของชายหญิงคู่นี้อาจจะถูกล่วงรู้ และคำตอบก็จะถูกเปิดเผย!……ในตอนกลางคืน นครเตโชยังคึกคักคลาคล่ำเฉกเช่นที่ผ่านมาเพียงแต่ต่างจากในอดีต เด็กผู้หญิงมากมายบนท้องถนนต่างสวมหน้ากากสีเงินดุจหิมะ ท่าทางแลดูลึกลับขนาดผู้ชายบางคนก็ยังสวมใส่หน้ากากดังกล่าวและในทุกซอกมุมบนท้องถนนต่างมีพ่อค้าแม่ขายที่มาจากเผ่าอสูรมารบุปผาเขียวกำลังเร่ขาย ‘ดอกเขียวมายา’นี่คือดอกไม้ประหลาดชนิดหนึ่ง ขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ กลีบดอกหกกลีบ สีเขียวขจีหยาดเยิ้ม ขอเพียงนำมันทาบลงบนหน้า ก็สามารถแปลงเป็นหน้ากากไม่ซ้ำแบบได้สารพัดนึกวันนี้ในการประลองศึกสะท้านโลกนั้น ที่เด็กสาวชุดดำสวมก็คือหน้ากากซึ่งแปลงมาจากดอกเขียวมายานี้เพียงแต่อาจเพราะวันนี้นางแสดงออกอย่างสะดุดตาเกินไป แม้ว่าผู้คนไม่อาจล่วงรู้ตัวตนของนางได้ แต่กลับทำให้หน้ากากที่นางสวมใส่เป็นที่นิยมขึ้นมาในทันใดเด็กหนุ่มเด็กสาวบางคนที่เลื่อมใสเด็กสาวชุดดำ ถึงขั้นที่ต่างมองว่าการสวมใส่หน้ากากเช่นนี้เป็นเกียรติยศ จึงเกิดเป็นกระแสใหม่ขึ้นในนครเตโชนี่ก็คืออิทธิพลอันเกิดจากการเทิดทูนบูชาผู้แข็งแกร่ง และเผ่าอสูรมารบุปผาเขียวซึ่งอุดมไปด้วยดอกเขียวมายาก็กลายเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย ถือโอกาสนี้ทำเงินเป็นกอบเป็นกำดอกเขียวมายาหนึ่งดอกที่เมื่อก่อนใช้แกนวิญาณขั้นต่ำสามก้อนก็สามารถซื้อได้ ราคาพุ่งขึ้นภายในชั่วข้ามคืน โดยมีราคาที่แกนวิญญาณขั้นต่ำสามสิบก้อนต่อหนึ่งดอก!“พ่อค้าหน้าเลือด!” บนถนนหลินสวินพึมพำหนึ่งประโยค เวลานี้บนหน้าเขาก็สวมหน้ากากสีเงินแบบเดียวกัน“เฮอะ ถ้าท่านไม่เต็มใจก็ปลดมันลงมาให้ข้า” ซย่าเสี่ยวฉงกล่าว แล้วยื่นมือออกไปทางหน้าของหลินสวิน บนดวงหน้าเล็กผุดผ่องของนางก็สวมหน้ากากไว้เหมือนกัน เพียงแต่เป็นสีดำเกลี้ยงเกลา ตัดกับสีเงินยวงได้พอดี“อย่าจุ้น!” หลินสวินยื่นมือออกไปปัดมือซย่าเสี่ยวฉง จากนั้นก็กวาดตาไปรอบๆ คล้ายวัวสันหลังหวะ คราวนี้จึงกดเสียงเบากล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าอยากใส่นักรึ ยังไม่ใช่เพราะกลัวถูกคนจำได้หรอกหรือ”“ฮ่า ดูท่านทำท่าลับๆ ล่อๆ นั่นสิ!”ซย่าเสี่ยวฉงหัวเราะ รู้สึกสะใจ “หากไม่ใช่เพราะวันนี้ท่านไปตีบั้นท้ายคนอื่นเข้า ไหนเลยจะต้องทำตัวเหมือนวัวสันหลังหวะ กลัวถูกคนจำได้แบบนี้”สีหน้าของหลินสวินเคร่งขรึม “เสี่ยวฉง เรื่องนี้สำคัญถึงชีวิตและความปลอดภัยของพวกเรา เจ้าเคยรับปากข้าแล้วนี่ว่าจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด”“วางใจเถิด ไม่ทำแน่นอน ข้าซย่าเสี่ยวฉงรักษาวาจายิ่งชีพ” ซย่าเสี่ยวฉงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจทว่าหลินสวินก็ยังกังวลอยู่ดี จึงกล่าวเน้นย้ำกำชับกำชา “แล้วก็ กลับไปโรงเตี๊ยมและพบกับฟางหลินหานคนนั้น โรคบ้าผู้ชายอย่าได้กำเริบอีก เลี่ยงไม่ให้พลั้งปากพูดเรื่องนี้ออกไป”ซย่าเสี่ยวฉงอึ้งค้างไป แววตาพลันจมสู่ภวังค์ขึ้นมา คล้ายกับในสมองนึกถึงดวงหน้าร้ายกาจบ้าระห่ำของฟางหลินหานบนหน้าผากของหลินสวินมีเส้นเลือดดำนูนขึ้นมา พูดอย่างไหนเป็นอย่างนั้น เด็กสาวทึ่มทื่อคนนี้เป็นโรคบ้าผู้ชายถึงขั้นรักษาไม่ได้แล้วเขาลอบตัดสินใจ หากพรุ่งนี้อาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงยังไม่ปรากฏตัวอีก ตนก็จะจากไปทันทีตอนนี้เขาหยั่งถึงและควบคุมปริศนาเร้นลับของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์โดยสมบูรณณ์แล้ว ก็เหลือแต่มรดกวิชาสองร่างสุดท้ายของมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรแล้วและหากต้องการหยั่งถึงร่างที่แปด ‘นัยน์ตาเฉาเฟิง’ ก็ต้องเข้าสู่ทุ่งร้างเขาลึก ไปสังเกตแนวโน้มของภูผาธารา เพื่อนำมาอนุมานและหยั่งรู้ความเร้นลับแห่งวิชาอัศจรรย์ส่วนนี้ในส่วนร่างที่เก้า นั่นคงต้องรอหลังจากสันทัดในปริศนาแห่งร่างที่แปดนัยน์ตาเฉาเฟิงเสียก่อน จึงจะสามารถหยั่งรู้และฝึกฝนได้นอกจากนี้ยังมีระดับขอบเขตการแจ้งมรรคที่จำเป็นต้องจัดการ แต่หลินสวินไม่ได้กังวลใจในข้อนี้ เขาบรรลุขั้นสมบูรณ์ของท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุน้ำแล้ว ขาดแค่โอกาสเหมาะก็สามารถทำการพัฒนา เลื่อนจากท่วงทำนองมรรคธาตุน้ำ บรรลุสู่ระดับเจตจำนงมรรคธาตุน้ำได้แล้วพลังของมหามรรค มีเพียงสันทัดถึงระดับ ‘เจตจำนงมรรค’ เท่านั้นจึงจะสามารถเผยพลังที่แท้จริงของมันออกมามหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติชั้นนำบางคนเหตุใดจึงแข็งแกร่งเช่นนั้นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาเริ่มใช้เจตจำนงแท้จริงแห่งมหามรรคมาต่อสู้!แน่นอนว่ามหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติทั่วไปก็ไม่ต่างจากหลินสวินนัก ระดับขอบเขตแจ้งมรรคค้างอยู่ที่ระดับท่วงทำนองมรรค ไม่สามารถทะลวงด่านต่อไปได้เหตุผลนั้นง่ายดายนัก นั่นก็เป็นเพราะการหยั่งรู้และพรสวรรค์ติดตัว ถ้าพรสวรรค์ติดตัวและการหยั่งรู้ธรรมดาสามัญมาก อาจจะหยุดอยู่ที่ระดับนี้ไปตลอดชีวิต“น้องหลิน ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว ศึกวันนี้เจ้าได้ชมหรือไม่” เพิ่งกลับถึงโรงตี๊ยมก็เห็นฟางหลินหานรออยู่ตรงนั้นตั้งแต่ต้นแล้ว หลังจากเห็นหลินสวินก็พลันหยัดกายเอ่ยปากทันทีหลินสวินเหลือบมองซย่าเสี่ยวฉงที่อยู่ข้างๆ ปราดหนึ่งอย่างค่อนข้างกังวล กลัวแต่ว่าโรคบ้าผู้ชายของนางจะกำเริบแล้วพูดทุกอย่างออกมาโดยไม่ระวังใครเลยจะคิดว่าเวลานี้ซย่าเสี่ยวฉงกลับเบิกตากว้าง มองไปยังโต๊ะที่อยู่ด้านข้างของโรงเตี๊ยม ส่งเสียงร้องด้วยความแปลกใจระคนดีใจ “อาจารย์!”——
คอมเม้นต์