Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 786 ให้ท่านทั้งสองรอนานแล้ว
ณ โรงเตี๊ยมภายในห้องเสียงโครมหนึ่งดังขึ้น แกนวิญญาณแวววาวราวมายางามตระการกองหนึ่งถูกเทออกมา ส่องประกายเต็มห้อง เย้ายวนใจหาใดเปรียบนี่คือรางวัลที่หลินสวินได้จากลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินวันนี้ภายในนั้นมาจากการชนะติดกันก่อนหน้าสามสิบเก้าสนาม ได้รับเจ็ดพันยี่สิบแกนวิญญาณขั้นต่ำการประลองสนามที่สี่สิบเอาชนะเฉิงลี่เสวี่ย ได้รับรางวัลสิบเท่าและหนึ่งร้อยแกนวิญญาณขั้นกลางต่างหาก สองรายการรวมเข้าด้วยกัน ก็คือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเก้าแกนวิญญาณขั้นกลางและยี่สิบแกนวิญญาณขั้นต่ำ!นี่เป็นทรัพย์อันอุดมสมบูรณ์ยิ่งยวดก้อนหนึ่ง ทว่าเมื่อหลินสวินนำแกนวิญญาณเหล่านี้แลกเปลี่ยนเป็นหยกควบรวมจิตระดับกลางกลับดีใจไม่ออกอย่างมากที่สุดสามารถซื้อหยกควบรวมจิตระดับกลางได้สิบเจ็ดก้อนเท่านั้นหลินสวินสงสัยนัก ด้วยความอยากอาหารของหนอนกินเทพเก้าตัว หยกควบรวมจิตแค่นี้คงอยู่ได้ไม่กี่วัน…แกรกๆซย่าเสี่ยวฉงนั่งอยู่หน้าโต๊ะ กำลังแทะเมล็ดทานตะวันกินอย่างเบิกบานยิ่งเมล็ดทานตะวันชนิดนี้มีสีขาววับวาวอวบอิ่มดุจเม็ดหยก เป็นผลของ ‘ทานตะวันวิญญาณ’ ซึ่งนักปลูกพืชวิญญาณเพาะปลูก หลังผัดรวมกับเครื่องปรุงรสบางส่วนจะกรอบอร่อยถูกปาก แก่นเมล็ดบรรจุกลิ่นหอมกรุ่นและพลังวิญญาณราวไหมทักถอ เป็นของทานเล่นซึ่งเป็นที่นิยมของผู้ฝึกปราณดินแดนรกร้างโบราณยิ่งอย่างหนึ่ง“พี่หลินสวิน พรุ่งนี้ท่านจะไปอีกไหม”ปากน้อยๆ ของซย่าเสี่ยวฉงกินเมล็ดขมุบขมิบ กะพริบตาโตใสสะอาดปริบๆ ท่าทางไร้วิตกกังวลนัก ไม่ช้าบนโต๊ะก็พะเนินด้วยเปลือกเมล็ดหลินสวินกล่าวง่ายๆ “พรุ่งนี้เปลี่ยนสถานที่ ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินไปไม่ได้แล้ว”นครเตโชเจริญรุ่งเรืองงามวิจิตร แค่ในเมืองก็มีลานประลองยุทธ์กว่าร้อยแห่ง กระจายทั่วบริเวณหนึ่งในนั้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดไม่ต้องสงสัยว่าคือ ‘ลานประลองยุทธ์นครเตโช’เป็นกิจการซึ่ง ‘สี่สำนักสามตระกูล’ ร่วมมือกันก่อตั้ง แน่นอนว่าคือลานประลองยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งแคว้นวิญญาณอัคนีสมชื่อ มาตรฐานและอิทธิพลเป็นสิ่งที่ลานประลองยุทธ์อื่นไม่อาจเทียบอยู่โขเฉกเช่นฟางหลินหานผู้สืบทอดอาศรมดาบแปดวิทูร หนึ่งเดือนมานี้ท้าทายวีรบุรุษแต่ละคนของแคว้นวิญญาณอัคนีบนลานประลองยุทธ์นครเตโชมาโดยตลอดผลการต่อสู้ของเขาเจิดจรัส กระทั่งตอนนี้ไม่เคยพ่ายสักครา เรียกได้ว่าเป็นบุคคลทรงอิทธิพลคนหนึ่งซึ่งถูกจับตามองมากที่สุดในนครเตโช ณ ปัจจุบันเปรียบเทียบกันแล้ว ความอึกทึกครึกโครมที่หลินสวินก่อ ณ ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน ไม่อาจเทียบฟางหลินหานได้ไม่ได้หมายความว่าหลินสวินสู้ฟางหลินหานไม่ได้ แต่เพราะอิทธิพลของลานประลองยุทธ์นครเตโชยิ่งใหญ่เกินไป การประลองซึ่งเกิดขึ้น ณ ที่นั่นได้รับความสนใจจากทั้งแคว้นวิญญาณอัคนีโดยปริยายลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินกลับเห็นชัดว่าด้อยกว่ามาก ชื่อเสียงแม้จะมีแต่กลับจำกัดแค่ภายในนครเตโชเท่านั้นและลานประลองยุทธ์ขนาดเช่นลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน ในนครเตโชอย่างต่ำที่สุดสามารถหาได้มากถึงหลายสิบแห่ง!เพราะเรื่องการรับรางวัล หลินสวินได้ผูกพยาบาทกับลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินแล้ว แน่นอนว่าไม่อาจขึ้นเวทีต่อสู้ของลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินอีกดังนั้นหากหลินสวินหมายเคี่ยวกรำวิถียุทธ์และหาแกนวิญญาณต่อไป คงได้แค่เลือกลานประลองยุทธ์อื่นแทนซย่าเสี่ยวฉงเป็นคนไม่คิดอะไรมากนัก ไม่ได้สนใจเค้ามูลอะไร โห่ร้องยินดีว่า “ดีเหลือเกิน ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินไม่มีพวกต่อยตีเป็นสักคน ข้าไม่อยากไปนานแล้ว”เห็นชัดว่านางยังหวังให้มีคนสามารถเอาชนะหลินสวิน โจมตีความหยิ่งทะนงอวดดีของหลินสวินสักหน่อย!“เหอะๆ”หลินสวินได้แต่หัวเราะ เห็นได้ว่านิ่งสงบนัก โดนซย่าเสี่ยวฉงจู่โจมเช่นนี้หลายครั้ง ทำเขามีภูมิต้านทานอันมั่นคงขึ้นแล้ว…เวลาพลบค่ำ เงาร่างผึ่งผายสูงใหญ่ของฟางหลินหานอาบไล้แสงอาทิตย์อัสดงหวนคืนโรงเตี๊ยมอีกครา จากนั้นจึงเคาะเปิดประตูห้องหลินสวิน“เจ้าได้ยินหรือยัง ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินมีเด็กหนุ่มปริศนาผู้หนึ่ง ชนะประลองติดกันสี่สิบสนาม ซ้ำยังทำเฉิงลี่เสวี่ยยอมแพ้ระหว่างต่อสู้ด้วยตนเอง”ฟางหลินหานสองแขนกอดอก ร่างเอียงพิงประตูด้านหนึ่งแต่ไม่ได้เข้ามา ให้อารมณ์เฉื่อยเนือยอย่างหนึ่ง คล้ายเพื่อนบ้านมาเยี่ยมเยียนคุยเล่นกับหลินสวิน“อืม” หลินสวินพยักหน้าสำหรับซย่าเสี่ยวฉง หลังพบว่าฟางหลินหานปรากฏตัว แม้แต่แทะเมล็ดนางล้วนลืมสิ้น สองมือเท้าใบหน้าน้อย ดวงตาใสสะอาดจ้องมองตาค้างอย่างลุ่มหลงอีกทั้งการแสดงออกของนางล้วนไม่ขัดเขินแสร้งทำแม้แต่น้อย มองอย่างกำเริบเสิบสาน ตรงไปตรงมายิ่งยวดไม่ปกปิดอะไรสิ้นเชิงหลินสวินคร้านจะใส่ใจเจ้าเด็กบ้าผู้ชายนี่ เขากำลังใคร่ครวญว่าทำไมฟางหลินหานถึงวิ่งมาคุยเรื่องนี้กับตนกะทันหัน“ช่วงนี้ข้ายากพบคู่ต่อสู้ที่น่าพึงใจ พรุ่งนี้ข้าจะไปลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินสักหน่อย ดูว่าเด็กหนุ่มปริศนานั่นจะร้ายกาจเหมือนข่าวลือหรือไม่”ฟางหลินหานกล่าว “เจ้าจะไปด้วยกันไหม”“ไป!”ซย่าเสี่ยวฉงพลันร้องตะโกน ทำหลินสวินตกใจสะดุ้งโหยง จากนั้นสีหน้าพลันมืดทะมึน เจ้าเด็กบ้าผู้ชายนี่ลืมคำที่ข้าพูดเมื่อกี้แล้วรึไงพรุ่งนี้น่ะต้องเปลี่ยนสถานที่!ทว่าซย่าเสี่ยวฉงมองข้ามการดำรงอยู่ของหลินสวินนานแล้ว ใบหน้าน้อยไร้เดียงสาของนางเต็มไปด้วยความหลงใหลในสายตานาง เงาร่างกำยำของฟางหลินหานที่เอนพิงประตู เห็นได้ว่าอิสระเฉื่อยเนือยโดดเด่นเหนือผู้อื่น ใบหน้าซึ่งเจือเสน่ห์ร้ายกาจบ้าระห่ำ ถูกแสงอาทิตย์อัสดงที่ลอดผ่านหน้าต่างเคลือบทับชั้นหนึ่ง ดูราวกับภาพมายา สะท้อนระยับพร่าเลือน หล่อเหลาถึงขั้นชวนใจสลาย…แต่หลินสวินกลับมองเห็นอย่างชัดแจ้ง ว่ามุมปากนุ่มนวลอวบอิ่มของซย่าเสี่ยวฉงมีน้ำลายเป็นประกายสายหนึ่งไหลออกมา…“ท่านนี้คือ?” ฟางหลินหานชะงักไป“เจ้าคนที่โรคบ้าผู้ชายกำเริบคนหนึ่ง เวลาล่วงมามากแล้ว มีเวลาค่อยคุยกัน” หลินสวินตอบอย่างไม่สบอารมณ์หนึ่งประโยคก็ปิดประตูดังปึง ขังฟางหลินหานไว้นอกประตูจากนั้นก็จ้องซย่าเสี่ยวฉงเขม็ง กัดฟันกล่าว “เจ้าควบคุมตัวเองหน่อยไม่เป็นรึไง มีแม่นางน้อยที่ไหนจ้องผู้ชายพลางน้ำลายไหลเยี่ยงเจ้าเช่นนี้ ช่างไม่มียางอาย ในใจยังมียางอายอยู่ไหมเนี่ย”“หา? ข้าแค่ดูเฉยๆ มีความคิดอื่นหรือก็ไม่ อย่างนี้ผิดด้วยรึ” ซย่าเสี่ยวฉงยกมือเช็ดน้ำลาย สีหน้าไม่ใส่ใจหลินสวินขมับบวมปูด นางหนูนี่ช่าง… ช่างไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว!“สหาย พรุ่งนี้เจ้าไปไหม” นอกประตู เสียงฟางหลินหานดังขึ้น“ไม่ไป ไม่ว่าง!” หลินสวินปฏิเสธโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย“อ้อ อันที่จริงหากเจ้ายอมต่อสู้กับข้าสักตั้ง ไปลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินหรือไม่ก็ช่างปะไร” ฟางหลินหานพูดอยู่นอกประตู“ข้าไม่ว่างจริงๆ” หลินสวินปวดหัวอยู่บ้าง ซย่าเสี่ยวฉงพิกลก็ช่างเถอะ สุดท้ายก็แค่พวกบ้าผู้ชายไม่คิดอะไรมาก แต่ทำไมฟางหลินหานถึงดึงดันเช่นนี้ เพื่อสู้กันสักครั้ง ก็มาพัวพันกับตนโดยตลอด?กลับยินเสียงหัวเราะลั่นอย่างเบิกบานของฟางหลินหานดังขึ้นนอกประตู “งั้นก็ดี ข้าจะรอเจ้ามีเวลาว่างค่อยมาอีก”หลินสวินพลันหมดคำพูด ยังไม่จบไม่สิ้นอีกหรือแต่ซย่าเสี่ยวฉงกลับกล่าวพึมพำหน้ามืดตามัว “แค่ฟังเสียงหัวเราะ ข้าล้วนจินตนาการถึงรอยยิ้มของเขาออกว่ามีเสน่ห์มากเพียงใด…”ท้ายที่สุดมุมปากหลินสวินกระตุกขึ้นอีกคราอย่างอดไม่อยู่…กลางดึก นครเตโชคึกคักยิ่งกว่าเดิม แสงโคมดุจมังกรสวยงามดั่งภาพฝัน ทุกหนแห่งม้าเกวียนสวนกันขวักไขว่ เสียงหัวเราะเริงร่ายินดีซย่าเสี่ยวฉงหลับแล้ว ท่าทางดูไม่งามนัก เสมือนปลาหมึกยักษ์พาดอยู่บนเตียง ใบหน้าน้อยงดงามไร้เดียงสาเปลี่ยนเป็นเงียบสงบอย่างยากพบเห็นหลินสวินตื่นจากการนั่งสมาธิก็เห็นฉากนี้ แอบกล่าวอยู่ในใจ นางเด็กนี่หากทุกวันสงบเช่นนี้คงดีมาก…เขาลุกขึ้นช่วยซย่าเสี่ยวฉงเหน็บผ้าห่ม ครั้นแล้วจึงนั่งอยู่หน้าโต๊ะเงียบๆ คนเดียว ตาเพ่งจมูกจมูกเพ่งจิต เสมือนภิกษุชราเข้าฌานนอกหน้าต่าง รัตติกาลดุจวารี บนท้องถนนอันเจริญรุ่งเรืองเสียงผู้คนดังก้องอลหม่านภายในห้องกลับเงียบสงัดและขมุกขมัว มีเพียงแสงสลัวจากตะเกียงสำริดดวงหนึ่งส่ายไหว ส่องเงาร่างหลินสวินที่นั่งนิ่งจนส่ายโอนไม่หยุดเวลาพ้นผ่านเป็นกลางดึกโดยไม่รู้ตัวเสียงอึกทึกนอกหน้าต่างแทบมิได้ยิน เปลี่ยนเป็นอ้างว้างและเดียวดาย โคมตะเกียงบนถนนลาลับ มีเพียงจันทร์เดือนเสี้ยวแขวนประดับกลางนภาประพรมแสงขาวหิมะดุจเงินทว่าไม่ช้าเมฆทมิฬเคลื่อนคล้อย บดบังจันทร์เดือนเสี้ยว ปกคลุมทั้งนครเตโชให้ตกอยู่ท่ามรัตติกาลและเวลานี้เอง หลินสวินซึ่งเสมือนเข้าฌานลืมตา แววเยียบเย็นสายหนึ่งพลันปรากฏจากส่วนลึกในนัยน์ตา ราวสายฟ้าเยียบเย็นผ่าแหวกความมืดมิดสวบ!เวลาต่อมา เงาร่างหลินสวินพลันหายไปจากห้อง…นอกโรงเตี๊ยม ความมืดมิดดุจผืนม่านปกคลุมท้องฟ้า แผ่กว้างและอึมครึม นั่นคือเมฆทะมึนหนาแน่นคล้ายจวนจะฝนตกภายใต้ชายคาเตี้ยต่ำแห่งหนึ่งไม่ไกลนักมีเงามืดสองร่างยืนอยู่ เก็บงำพลังทั่วร่าง หากไม่มองโดยละเอียดคงไม่อาจสังเกตเห็นการมีอยู่แต่แรกพวกเขากำลังพูดคุยผ่านจิตรับรู้“จะเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อไหร่”“รอต่ออีกหน่อย”“กับแค่สังหารเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง เหตุใดต้องระมัดระวังเช่นนี้ ต่อให้เขาเป็นผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติก็ต้านการลอบสังหารเราไม่ได้ด้วยซ้ำ!”“ในโรงเตี๊ยมนี้ไม่ได้มีแค่เจ้าหนุ่มนั่น ยังมีฟางหลินหานแห่งอาศรมดาบแปดวิทูรอีกคน หากทำเจ้านี่ตกใจตื่น เกรงว่าจะนำมาซึ่งความเข้าใจผิดโดยไม่จำเป็น”“ฟางหลินหาน? หึ เจ้าหนุ่มที่มาจากแคว้นวารีทมิฬคนหนึ่ง ช่วงนี้กลับสร้างคลื่นลมในนครเตโช ดูแคลนผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์แห่งแคว้นวิญญาณอัคนี โอหังและหลงระเริงเหลือเกิน ไม่สู้อาศัยโอกาสนี้สังหารมันพร้อมกันซะเลย”“ครั้งนี้คือมาสังหารเด็กหนุ่มนั่น ส่วนกับฟางหลินหานไม่ต้องทำการมากเกิน เจ้าเด็กฟางหลินหานนี่แม้บ้าระห่ำ แต่ตอนนี้มีชื่อเสียงมากเกินไป ทันทีที่เขาตายไปอย่างแปลกประหลาด จะต้องก่อให้เกิดความสนใจมากเกินไป แต่สำหรับเด็กหนุ่มปริศนานั่น… แค่คนต่างถิ่นคนหนึ่ง ไร้สำนักไร้พรรค ไร้ที่พึ่งพิง ตายไปก็ไม่ก่อเกิดคลื่นลมอะไร”ทั้งสองต่างสวมชุดคลุมดำบดบังกาย อาศัยจิตรับรู้เจรจา ประดุจพรายวิญญาณจากขุมทมิฬ ท่ามกลางรัตติกาลมืดสนิทเห็นได้ว่าชวนขนพองสยองเกล้านักแต่พวกเขาไม่สังเกตเห็นสักนิด ยังมีเงาร่างที่แปลกประหลาดกว่าพวกเขาอยู่อีกร่าง เดินมาจากถนนสายหลักฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง“ให้ท่านทั้งสองรอนานแล้ว”เสียงหลินสวินดังขึ้นกลางความเงียบกะทันหัน คนชุดดำทั้งสองทั่วร่างพลันขึงตึงตกใจจนแทบสะดุ้งโหยงเวลานี้พวกเขาถึงได้พบว่าเป้าหมายการลอบสังหารครานี้ ถึงกับยืนห่างจากพวกเขาไม่ถึงสามจั้งโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว!ราวปรากฏตัวกลางอากาศ ทำเอาทั้งสองตกใจจนขนพองสยองเกล้า ล้วนไม่กล้าเชื่อสายตาอยู่บ้าง“เจ้า… มาตั้งแต่เมื่อไหร่”คนชุดดำหนึ่งในนั้นขนลุก ลนลานไม่หยุด เป้าหมายปรากฏตัวแล้ว แต่พวกเขากลับไม่สังเกตเห็นสักนิด นี่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก“อ้อ ข้าเพิ่งมา”หลินสวินกล่าวสบายๆ นัยน์ตาดำลุ่มลึกดุจหุบเหววาบประกาย พินิจพิเคราะห์คนชุดดำทั้งสองตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ “จริงสิ บนตัวพวกเจ้าคงมีแกนวิญญาณสินะ”นี่คือคำถามที่แปลกประหลาดนัก ทำเอาคนชุดดำทั้งสองตะลึงงันไม่สบายไปทั้งตัว รู้สึกว่าตนเหมือนเป็นเหยื่อที่ถูกจับตามองสถานการณ์ไม่เข้าที!คนชุดดำทั้งสองในใจสั่นสะท้าน เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะนี่ปรากฏตัวอย่างแปลกประหลาดเกินไป ทำให้พวกเขาได้กลิ่นอันตราย…………..
คอมเม้นต์