Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 762 ขอโทษและแก้แค้น
“ศิษย์พี่โม่เฟิง เด็กหนุ่มคนนั้นดูผิดปกติ”ระหว่างทางศิษย์หญิงสำนักมุกวิญญาณคนหนึ่งเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าจริงจังอยู่บ้าง นางชื่อเหวินเฟยหรัน หน้าตางดงามโดดเด่น สติปัญญาเลิศล้ำ“ทำไมหรือ” โม่เฟิงมุ่นคิ้ว“เด็กหนุ่มคนนั้นดูเหมือนไม่มีอันตราย แต่บนร่างกลับมีกลิ่นอายที่พาให้น่าหวาดหวั่น และสามารถมั่นใจได้ว่า เขาเองก็มีพลังปราณระดับหยั่งสัจจะ”ดวงตาคู่ใสของเหวินเฟยหรันเต็มไปด้วยแววครุ่นคิด “การทดสอบในครั้งนี้ ข้าจำไม่ได้ว่าในขุมอำนาจอื่นมีบุคคลเช่นนี้”โม่เฟิงขมวดคิ้วไม่เห็นด้วย “เจ้าคิดว่าคนชั้นยอดที่แท้จริงคนหนึ่งจะไปเกลือกกลั้วกับยัยโง่อย่างซย่าเสี่ยวฉงหรือ”เหวินเฟยหรันเตือน “อาจจะมีความลับอื่นซ่อนอยู่”โม่เฟิงเริ่มหมดความอดทนแล้ว กล่าวว่า “ศิษย์น้องเหวิน ข้าถามเจ้าหน่อย หากเขามีความสามารถที่แข็งแกร่งจริง เมื่อครู่นี้เหตุใดต้องยอมถอย ถึงขั้นที่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับพวกเราด้วยซ้ำ”เหวินเฟยหรันกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง กลับเห็นโม่เฟิงโบกมือตัดบท “ไม่ต้องพูดแล้ว การเคลื่อนไหวเร่งด่วนกว่า ในการทดสอบครั้งนี้ คู่ต่อสู้เดียวที่พวกเราต้องหวาดหวั่นคือเยวี่ยเจี้ยนหมิงแห่งสำนักยุทธ์พันเวทเท่านั้น เจ้าหมอนั่นถูกเรียกว่าผู้กล้าอันดับหนึ่งในแคว้นวิญญาณอัคนี ศักยภาพแข็งแกร่งยิ่ง ครั้งนี้เขาเป็นผู้นำขบวนศิษย์สำนักยุทธ์พันเวท จะต้องมุ่งเป้าที่อันดับหนึ่งของการทดสอบอย่างแน่นอน”พูดถึงตอนท้ายหว่างคิ้วของเขาก็อึมครึมแล้ว“เยวี่ยเจี้ยนหมิง…”เหวินเฟยหรันถอนหายใจในใจ ตอนที่พูดถึงชื่อนี้ก็ทำให้นางมีความรู้สึกกดดันที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้เช่นกันนี่เป็นอัจฉริยะที่ความสามารถน่าทึ่งคนหนึ่ง พรสวรรค์เกินมนุษย์ ฝึกปราณตั้งแต่อายุสามปี ทะลวงระดับกำลังภายในและก้าวสู่ระดับจิตผสานวิญญาณตอนอายุห้าปี!และตอนอายุเก้าปี เยวี่ยเจี้ยนหมิงได้กลายเป็นบุคคลระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์แล้ว ตอนนั้นด้วยเหตุผลนี้ทำให้ชื่อของเยวี่ยเจี้ยนหมิงสร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งแคว้นวิญญาณอัคนี!แต่เยวี่ยเจี้ยนหมิงในตอนนี้พลังปราณยิ่งลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ว่ากันว่ามีรากฐานและหน่วยก้านที่สามารถก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติได้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่เขากลับกดระดับพลังของตน สิ่งที่หวังก็คือการช่วงชิงมกุฎมรรคาอันสัมบูรณ์ในพิบัติมหามรรคที่กำลังจะมาเยือน!เผชิญกับคู่แข่งที่สะดุดตาไร้ที่เปรียบเช่นนี้ ใครจะไม่รู้สึกกดดัน“ว่ากันว่า ไม่นานมานี้อริยะคนหนึ่งใน ‘เรือนกระบี่เร้นปุจฉา’ ขุมอำนาจอันดับหนึ่งของแดนฐิติประจิมเคยกล่าวว่า สัญญาณของการเปลี่ยนแปลงแห่งมหามรรคได้เริ่มมาเยือนดินแดนรกร้างโบราณแล้ว!”โม่เฟิงสายตาวูบไหว “ตอนนี้ ในทุกๆ พื้นที่ทั่วหล้า ล้วนเกิดปรากฏการณ์ประหลาดและการเปลี่ยนแปลงอันเหลือเชื่อขึ้นไม่มากก็น้อย ทั้งหมดล้วนเป็นสัญญาณว่า ม่านแห่งมหาสงครามจะเปิดออกในอีกไม่นานแล้ว”เขาหยุดไปครู่ค่อยพูดต่อว่า “ก่อนที่เหตุการณ์นี้มาเยือน พวกเราต้องเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ คว้าทุกโอกาสพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่ง จึงจะสามารถมีที่ยืนในมหาสงครามที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีตและจะไม่มีอีกในอนาคตครั้งนี้!”เหวินเฟยหรันฟังเงียบๆ ในใจกลับรู้ว่า พูดง่าย แต่ความเป็นจริงกลับยากลำบากยิ่งใต้หล้านี้มีผู้กล้ามากมายนับไม่ถ้วน เจิดจ้าจรัสแสง เมื่อมหาสงครามมาเยือน กลัวก็แต่ว่าพวกเขาจะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมด้วยซ้ำ!ถึงอย่างไรแคว้นวิญญาณอัคนีก็เป็นเพียงแคว้นหนึ่งในบรรดาแคว้นมากมายของแดนฐิติประจิมเท่านั้น และสำนักมุกวิญญาณของพวกเขาก็เป็นเพียงขุมอำนาจหนึ่งในแคว้นวิญญาณอัคนีแต่ในดินแดนรกร้างโบราณ มีถึงสี่แดนวิภูและแคว้นอีกนับไม่ถ้วน!ยิ่งมีโลกเล็กๆ และแดนเร้นอริยะที่ลึกลับไม่อาจรู้อีกมากมายจากคาดการณ์เช่นนี้ พวกเขาในฐานะศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักมุกวิญญาณแห่งแคว้นวิญญาณอัคนี เมื่อเทียบกับอัจฉริยะนับไม่ถ้วนใต้หล้าแล้วก็สู้อะไรไม่ได้เลยนี่ไม่ใช่เพราะเหวินเฟยหรันมองโลกในแง่ร้าย แต่นางรู้ดีว่านี่คือความจริง หากแม้แต่ความเป็นจริงยังอ่านไม่ขาด ก็อย่าคิดว่าจะเข้าร่วมในมหาสงครามเลย นั่นย่อมเป็นเรื่องเพ้อฝันอย่างไม่ต้องสงสัยน่าเสียดาย เหวินเฟยหรันรู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นโม่เฟิงหรือผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณคนอื่นๆ ต่างไม่ฟังเรื่องพวกนี้จู่ๆ เหวินเฟยหรันก็ชะงัก เมื่อครู่นี้พูดถึงเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่มิใช่หรือ กลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร…จากนั้นนางก็อดลอบยิ้มขื่นไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าโม่เฟิงไม่ฟังสิ่งที่ตนเตือน หวังเพียงว่า… ตนคงคิดมากไปเอง……“พวกเขาน่ารังเกียจเกินไปแล้ว!”ในภูเขาอันกว้างใหญ่ไพศาล ดวงหน้าเล็กใสซื่อของซย่าเสี่ยวฉงเต็มไปด้วยความเคียดแค้น แม้จะโกรธ แต่ท่าทางของนางก็ยังดูน่ารักมาก ทำให้หลินสวินยิ้มโดยไม่รู้ตัว“จริงสิ ท่านเองก็โกรธใช่หรือไม่” ซย่าเสี่ยวฉงถามหลินสวินขานรับว่าอืมใบหน้าของซย่าเสี่ยวฉงเผยความรู้สึกผิดเต็มประดา มือเล็กกำชายเสื้อพูด “ขอโทษนะ เป็นเพราะข้าคนเดียวจึงทำให้ท่านถูกพวกเขารังแก ไม่งั้น ท่านไม่ต้องไปกับข้าแล้วก็ได้”ป๊อก!หลินสวินอดยกมือขึ้นเขกหัวซย่าเสี่ยวฉงไม่ได้ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่นี้หากข้าไม่อยู่ เจ้าต้องประสบเคราะห์ไปแล้ว”“เอ้อ…” ซย่าเสี่ยวฉงสีหน้างงงวย “เหมือนจะเป็นเช่นนี้จริง งั้นข้าควรจะโกรธมากกว่านี้ใช่หรือไม่”นี่ยังต้องถามอีกหรือหลินสวินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันที ยัยหนูคนนี้ใสซื่อเกินไปแล้ว“เช่นนั้นทำอย่างไรดี หรือเราจะกลับไปคิดบัญชีกับพวกเขา”ซย่าเสี่ยวฉงพูดพร้อมใบหน้าทุกข์ใจ “แต่เราสู้พวกเขาไม่ได้ ถ้าถูกรังแกขึ้นมาจะทำอย่างไร ยุ่งยากจริง ถ้าอาจารย์อยู่จะต้องมีวิธีแน่…”ฟังเสียงนางบ่นพึมพำ ดวงหน้าเล็กทุกข์ระทมยู่ย่น หลินสวินก็อดถอนหายใจอีกครั้งไม่ได้เอาเถอะ หวังให้เจ้าหนอนเลอะเลือนนี่ให้คำตอบที่แน่ชัด เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว เขาจะเป็นคนดีให้ถึงที่สุดแล้วกัน!“เอามุกควบรวมจิตของเจ้ามาให้ข้า”หลินสวินพูดตรงๆ“หา เจ้าจะทำอะไร”ซย่าเสี่ยวฉงแปลกใจ“ฟังคำข้า”หลินสวินดูเผด็จการมากซย่าเสี่ยวฉงขานรับว่าอ้อคำหนึ่งแล้วหยิบออกมาโดยดี“แล้วก็ ระหว่างทางหลังจากนี้เจ้าเพียงดูอยู่เฉยๆ ก็พอแล้ว รู้ไหม”ซย่าเสี่ยวฉงอดถามอีกไม่ได้ “เพราะอะไร”หลินสวินพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่มีเพราะอะไร!”ซย่าเสี่ยวฉงพยักหน้าอย่างน่าสงสาร “อือ”“ตามข้ามา”หลินสวินสะบัดแขนเสื้อ พาซย่าเสี่ยวฉงกลับไปทางเดิม เงาร่างวูบไหวด้วยความเร็วผิดปกติที่ไม่มีใครเทียบ……“ศิษย์พี่โม่เฟิง พบฝูงวานรเนตรเพลิงในป่าลึกข้างหน้า”ในผืนป่า ศิษย์คนหนึ่งของสำนักมุกวิญญาณกลับมาอย่างเร่งรีบ รายงานข่าวดีอย่างตื่นเต้นทันใดนั้นพวกของโม่เฟิงก็ชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีการทดสอบในภูเขาโคม่วงครั้งนี้ ศิษย์ของเจ็ดขุมอำนาจต่างทุ่มสุดตัวเพื่ออันดับในตอนท้ายและตัวกำหนดอันดับสูงต่ำก็คือจำนวนของจิตวิญญาณสัตว์ปีศาจที่ล่ามาได้!ที่น่าเสียดายคือ รอบนอกภูเขาโคม่วงแม้สัตว์ปีศาจที่เหมาะจะล่ามีมาก แต่ก็สู้จำนวนศิษย์ของเจ็ดขุมอำนาจไม่ได้ จึงเกิดสถานการณ์ที่ ‘ผู้ล่ามากกว่าเหยื่อ’โดยเฉพาะเมื่อการทดสอบดำเนินถึงช่วงท้าย เหลือเวลาอีกเพียงสิบวัน สัตว์ปีศาจที่เจอระหว่างยิ่งน้อยลงเรื่อยๆนี่ทำให้พวกโม่เฟิงแอบร้อนรน ดังนั้นตอนนี้ได้เจอฝูงวานรเนตรเพลิง ย่อมเป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัย!“ไป!”โม่เฟิงโบกมือ นำทุกคนลงมือพร้อมกันไม่นานพวกเขาก็มาถึงป่าลึกส่วนหนึ่ง พลันเห็นก้อนหินแปลกประหลาดมากมายทับซ้อนกัน แห้งแล้งไม่มีพืชพรรณแม้แต่ต้นเดียว พื้นดินดูมืดสลัวแปลกๆและปลายทางของป่าลึกมีถ้ำยักษ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตอนนี้มีวานรเนตรเพลิงสี่ห้าตัวกำลังลาดตระเวนอยู่รอบๆวานรเนตรเพลิงเป็นสัตว์ปีศาจที่โหดเหี้ยมมากชนิดหนึ่ง ร่างกายสูงจั้งเศษ กระดูกเหล็กหนังทองแดง ปากกว้างเขี้ยวคม ขนหนาแน่นราวกับเข็มเหล็ก“ดียิ่งนัก นี่อาจจะเป็นรังเก่าของวานรเนตรเพลิง! หากจับจังหวะได้ดี ไม่แน่ว่าอาจสามารถต้มพวกมันได้ในหม้อเดียว!”โม่เฟิงที่เป็นหัวหน้าดีใจยกใหญ่ผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณคนอื่นๆ เองใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม พลังของวานรเนตรเพลิงอย่างมากก็แค่ระดับมหาสมุทรวิญญาณ ถูกปากพวกเขาพอดี“โฮก!”วานรเนตรเพลิงไม่กี่ตัวหน้าถ้ำห่างออกไปสังเกตเห็นอันตราย พลันส่งเสียงคำรามราวกับฟ้าร้อง โหยหวนราวกับเสียงผีสางร่ำไห้ เสียดหูไม่ชวนฟัง“ฆ่า!”โม่เฟิงตะโกน ความฮึมเหิมพลุ่งพล่าน มุ่งมั่นเต็มเปี่ยม เขาเรียกดาบศึกสีทองอร่ามด้ามหนึ่งออกมา เตรียมนำทุกคนพุ่งไปเพียงแต่เขาเพิ่งจะยกเท้าขึ้นเท่านั้น ก็เห็นว่าหน้าถ้ำที่อยู่ห่างไปนั่น จู่ๆ ร่างของวานรเนตรเพลิงสี่ห้าตัวนั้นก็แข็งค้างโดยพร้อมเพรียง จากนั้นล้มระเนระนาดลงพื้น ตรงลำคอมีเลือดไหลออกมาปานสายน้ำ ย้อมพื้นดินเป็นสีแดง“นี่…”พวกของโม่เฟิงต่างหรี่ตา ถูกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันซัดสะเทือนจนทำอะไรไม่ถูก อึ้งค้างอยู่กับที่ไม่นานก็มีเงาร่างสง่างามเดินออกจากถ้ำนั้นอย่างเชื่องช้า“เจ้า!”โม่เฟิงร้องอย่างตกใจ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณคนอื่นๆ เองก็จำได้ นี่คือไอ้ขี้ขลาดที่เมื่อครู่นี้ถูกพวกเขาข่มขวัญจน ‘วิ่งหนี’ มิใช่หรือ ทำไมจู่ๆ เขาถึงโผล่มาอยู่ที่นี่ได้ส่วนเหวินเฟยหรันหัวใจกระตุกวูบทันที พลันตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีแน่นอนว่าคนผู้นั้นคือหลินสวิน หลังจากเขาปรากฏตัว ก็หยิบมุกควบรวมจิตออกมากวาดเบาๆ หนึ่งครั้ง บนศพของวานรเนตรเพลิงที่ตายไปแล้วมีจิตวิญญาณมากมายถูกสูบขึ้นมา ม้วนตัวเข้าไปในมุกควบรวมจิตจากนั้นเขาก็ไม่แม้แต่จะมองพวกโม่เฟิง หันตัวเดินออกไปทันที“หยุดนะ!”โม่เฟิงตะโกนอย่างดุดัน สีหน้าอึมครึม กว่าพวกเขาจะเจอถ้ำวานรเนตรเพลิงนั้นไม่ง่ายเลย กลับถูกหลินสวินชิงไปก่อน จะให้พวกเขาทนได้อย่างไรโดยเฉพาะเมื่อครู่นี้หลินสวินยังถูกพวกเขาข่มจนวิ่งหนี ถูกพวกเขามองว่าเป็นคนขี้ขลาดไร้ประโยชน์แต่คนขี้ขลาดคนนี้กลับแย่งเหยื่อที่พวกเขาหมายปองไว้คาตา จะให้พวกเขาทนได้อย่างไร“ไอ้หนู เจ้ากล้าแย่งเหยื่อของพวกเรา อยากตายหรือไง”“รีบไสหัวมานี่ ทิ้งมุกควบรวมจิตเอาไว้!”“วันนี้หากเจ้ากล้าไป เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะหักขาเจ้า”ผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณคนอื่นๆ เองก็คาดโทษ ท่าทางไม่เป็นมิตร คำพูดยิ่งไร้มารยาทและยโสโอหังอย่างที่สุดพวกเขาหัวเสียมากจริงๆ เหยื่อที่หมายปองไว้ในตอนแรก สุดท้ายกลับเหลือเพียงความว่างเปล่า นี่ทำให้พวกเขาเดือดดาลสวบ!กลับเห็นเงาร่างหลินสวินวูบไหว เคลื่อนไหวราวกับไม่ได้ยิน ยังคงเคลื่อนตัวออกไปอย่างว่องไวและหายไปในชั่วพริบตาตอนที่โม่เฟิงไล่ตามไป เงาร่างของหลินสวินก็หายไปนานแล้ว“แม่งเอ๊ย! เจ้าหมอนี่วิ่งไวกว่ากระต่ายเสียอีก!” โม่เฟิงโกรธจนใบหน้ามืดทะมึน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เดือดดาลถึงขีดสุด“รอคราวหน้าจับเขาได้ ข้าจะถลกหนังเขาออกมาให้ได้!”ผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณคนอื่นๆ เองก็อัดอั้นโกรธเกรี้ยว ต่างส่งเสียงด่าคำโต แค่คนขี้ขลาดคนหนึ่งกลับกล้าแย่งเหยื่อของพวกเขา นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการท้าทายมีเพียงเหวินเฟยหรันเท่านั้นที่มุ่นคิ้วแน่น นางตระหนักได้อย่างมีไหวพริบว่า สถานการณ์ยิ่งผิดปกติแล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นเหมือนจงใจแก้แค้นพวกเขา!…………………….
คอมเม้นต์