Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 747
“นี่มาขวางประตูแล้วหรือ”หลินสวินอึ้งงัน เมื่อวานเขาเพิ่งจะปฏิเสธเทียบท้าดวลที่มาจากชิงเจ๋อ แต่นี่เพิ่งผ่านไปวันเดียวเท่านั้น อีกฝ่ายก็รุดหน้ามาเอง ทำให้หลินสวินรู้สึกเหนือความคาดหมายในบัดดล“ไม่ผิด คนผู้นี้ใจเย็นยิ่ง จัดเตรียมโต๊ะและเบาะรองนั่งมาเอง จิบชาร่ำสุรานั่งอยู่หน้าประตูภูเขาชำระจิตของเรา ดูจากสภาพการณ์แล้ว นายน้อยหากท่านไม่ปรากฏตัว เขาจะต้องรอแบบนี้ต่อไปเป็นแน่”หลินจงขมวดคิ้ว ท่าทางค่อนข้างเคร่งขรึมเมื่อครู่เขาได้เห็นชิงเจ๋อคนนั้นกับตาตัวเอง คนหนุ่มคนนั้นมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ท่วงท่าโดดเด่นเป็นสง่า ดวงหน้าสดใสเปล่งปลั่ง นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสบายๆ อิริยาบถโดดเด่น ทั้งสุขุมและเยือกเย็น เป็นผู้แข็งแกร่งที่น่ากลัวถึงที่สุดคนหนึ่งอย่างสิ้นเชิงและเมื่อนึกถึงในงานเลี้ยงราชวงศ์เมื่อหลายวันก่อน ชิงเจ๋อคนนี้เคยพิชิตบุคคลสำคัญแห่งจักรวรรดิคนแล้วคนเล่าอย่างง่ายดาย ในใจหลินจงก็ยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆด้วยพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นต้น กลับสามารถขับเคี่ยวมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติรุ่นอาวุโสของจักรวรรดิได้ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยมีใครรับสามกระบี่ของเขาได้เลย นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้วคนหนุ่มซึ่งประวัติความเป็นมา รากฐาน พลังปราณ พลังต่อสู้ต่างเรียกได้ว่าน่ากลัวเช่นนี้ ยืนกรานจะท้าดวลหลินสวินให้ได้ สำหรับหลินจงแล้ว สิ่งนี้ไม่ใช่ข่าวดีอย่างแน่นอน“ได้ยินว่าหลังจากมาถึงนครต้องห้าม ยังไม่เคยมีใครสกัดรับสามกระบี่ของคนผู้นี้ได้เลยสักคนหรือ”หลินสวินคล้ายขบคิด“เป็นเช่นนั้นจริงๆ”หลินจงพยักหน้า กล่าวอย่างเป็นกังวล “นายน้อย ผู้มามีเจตนาร้าย ในเมื่อคนผู้นี้ยืนกรานทำเช่นนี้ กลัวแต่ว่าเจตนาคงจะไม่เรียบง่ายนัก”“นี่มันแน่อยู่แล้ว เขาเป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติ กลับเป็นฝ่ายวิ่งโร่มาท้าดาลกับข้า คนตาบอดยังมองออกว่าเรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากล”หลินสวินกล่าวสบายๆ ว่า “ข้าถึงขั้นสงสัยว่าชิงเจ๋อผู้นี้ถูกอวิ๋นชิ่งไป๋ยุยงด้วยซ้ำ”อวิ๋นชิ่งไป๋!ครั้นเอ่ยถึงชื่อนี้ นัยน์ตาของหลินจงก็ฉายแววเกลียดชังเข้ากระดูกออกมา คนตระกูลหลินสายตรงเมื่อสิบกว่าปีก่อนล้วนถูกสังหารด้วยน้ำมือคนผู้นี้!“นายน้อย ท่านวางแผนจะรับมืออย่างไร”“ตราบใดที่เขายังไม่ก่อเรื่อง ก็ปล่อยเขานั่งจิบชาร่ำสุราอยู่ตรงนั้นตามสบาย ข้าไม่มีแก่ใจไปต่อสู้ตัดสินแลกเปลี่ยนอะไรกับคนเจตนาไม่ดีหรอก”หลินสวินตอบอย่างราบเรียบยิ่งนักเขากล่าวพลางล้วงเจดีย์ไร้อักษรออกมา ตั้งแต่กลับมาจากทะเลกลืนวิญญาณเจ้าคางคกก็เริ่มปิดด่าน ทำการทะลวงขั้น แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีวี่แววจะออกด่านเลยแม้แต่น้อยหลินสวินสัมผัสดูอย่างถี่ถ้วน พบว่ากลิ่นอายของเจ้าคางคกสมบูรณ์ไหลลื่น สำรวมสงบนิ่ง ถึงได้วางใจลงล นี่พิสูจน์ได้ว่าเจ้าคางคกไม่ได้เผชิญภัยร้ายแรงอะไรยามปิดด่านอยู่นั่นเอง‘ตามคำกล่าวของเจ้าคางคก อย่างน้อยหนึ่งปี อย่างมากสามปี เขาถึงจะสามารถทะลวงด่านครั้งนี้ได้โดยบริบูรณ์ เมื่อคำนวณเช่นนี้แล้ว ตอนนั้นน่ากลัวว่าข้าคงมุ่งหน้าไปดินแดนรกร้างโบราณแล้ว…’หลินสวินใคร่ครวญในที่สุดหลินจงที่อยู่ข้างๆ ก็มั่นใจว่าที่นายน้อยพูดเมื่อครู่นั้นหาได้ล้อเล่นไม่ ไม่คิดจะดวลศึกตัดสินกับชิงเจ๋อซึ่งมาเยือนถึงที่คนนั้นจริงๆ‘อย่างนี้ก็ดี อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่านายน้อยจะมีอันตรายใด…’หลินจงรับคำสั่งและจากไป……ด้านนอกประตูภูเขาชำระจิตบนทางเดินที่แต่เดิมราบเรียบกว้างขวาง มีเงาร่างสายหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ถึงแม้เขาจะนั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่ง เรือนกายกลับยังคงเหยียดตรงมากอย่างเห็นได้ชัดเขามีผมยาวสีเงินเหมือนแสงเงินแวววาว นัยน์ตาสีเขียวกระจ่าง มีประกายวาววับน่ากลัวไหลวนออกมาบนโต๊ะเตี้ยเบื้องหน้าเขามีเหล้าหนึ่งกา ชาหนึ่งหม้อ เวลานี้เขากำลังดื่มด่ำตามลำพังอย่างอภิรมย์ ดุจดั่งอยู่ในลานบ้านของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น เห็นได้ชัดว่าแสนอภิรมย์และทำตัวตามสบายคนผู้นี้ก็คือชิงเจ๋อ ศิษย์สืบทอดสายในสำนักกระบี่เทียมฟ้า!เขายังหนุ่มมาก อยู่ในวัยยี่สิบกว่าปี หน้าผากเอิบอิ่ม ผิวพรรณดั่งหินหยกแวววาว อบอวลด้วยแสงเจิดจ้าเป็นประกาย ท่วงท่าประณีตโดดเด่นยิ่งนักด้านข้างชิงเจ๋อ ข้ารับใช้เฉินเฟิงยืนอยู่ตรงนั้น แม้ว่าเขามีฐานะเป็นข้ารับใช้ ทว่าหน้าตาหล่อเหลา กิริยาท่าทางก็โดดเด่นมากเช่นเดียวกัน ท่วงท่าสง่างามเกินกว่าผู้ฝึกปราณทั่วไปหนึ่งนายหนึ่งบ่าวเฝ้ารออยู่ตรงนั้น เห็นได้ชัดว่าไร้กังวล มั่นใจเต็มเปี่ยมการมาของชิงเจ๋อ ทำให้ด้านนอกประตูภูเขาชะชำระจิตแห่งนี้กลายเป็นที่จับตาของขุมอำนาจทุกฝ่ายในนครต้องห้ามอย่างที่สุดเวลานี้ในบริเวณใกล้เคียง ทุกหย่อมหญ้าล้วนเป็นเงาร่างของผู้ฝึกปราณเบียดเสียดกัน ต่างกำลังเฝ้าชม ให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด“ชิงเจ๋อคนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ตรงดิ่งมาเยือนถึงที่ ขวางอยู่หน้าประตูภูเขาตระกูลหลินอย่างผ่าเผยขนาดนี้ นี่กำลังบังคับกันชัดๆ!”ผู้ฝึกปราณบางคนลอบตกใจ“แค่คิดก็รู้แล้ว ถ้าหลินสวินไม่รับคำท้า ชิงเจ๋อผู้นี้ต้องไม่ยอมเลิกราเป็นแน่!”“ไม่ ถ้าหลินสวินไม่รับคำท้าละก็ ผลกระทบไม่เพียงแค่เท่านี้แน่ นี่อาจทำให้ทุกคนต่างคิดว่าหลินสวินกลัว หัวหดไม่ยอมออกมา นี่ย่อมเป็นการทำลายชื่อเสียงของหลินสวินอย่างร้ายแรงแน่นอน!”ผู้ฝึกปราณจำนวนมากทำการวิเคราะห์ ท้ายที่สุดก็ได้ข้อสรุปที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถ้าหากปล่อยให้ชิงเจ๋อขวางอยู่หน้าประตูใหญ่ภูเขาชำระจิตเช่นนี้ เวลายิ่งนานไปก็ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อเกียรติภูมิของหลินสวินทุกวันนี้หลินสวินมีฉายาว่า ‘อำนาจทั่วนครหลวง’ เป็นประหนึ่งผู้นำ ผู้กล้าไร้เทียมทานในหมู่คนรุ่นใหม่ของจักรวรรดิหากแม้แต่เขายังไม่กล้ารับคำท้าของชิงเจ๋อ นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้ฝึกปราณรุ่นใหม่แห่งจักรวรรดิล้วนถูกชิงเจ๋อเหยียบย่ำไว้ใต้เท้ากันหมดหรอกหรือผลกระทบนี้ดูจะร้ายแรงไปหน่อยแล้ว!“รังแกกันเกินไปแล้ว เขาเป็นผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นต้น แต่หมายต่อสู้ดวลกับหลินสวินที่เป็นผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะ นี่มันกลั่นแกล้งกันชัดๆ!”และมีผู้ฝึกปราณบางคนฉุนจัด“เฮ้อ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ในงานเลี้ยงราชวงศ์หลายวันก่อน บุคคลสำคัญที่เป็นผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่าชิงเจ๋อ ก็ไม่ใช่ว่าลงมือกันแล้วหรือ แต่ท้ายที่สุดผลลัพธ์… พวกเจ้าก็รู้กันหมดแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าหลินสวินตอบรับการท้าดวลครั้งนี้ แต่โอกาสที่จะชนะก็ช่างน้อยนิดริบหรี่นัก!”มีบางคนถอนหายใจการดวลครั้งนี้ ยังไม่ทันได้เริ่มต้นก็ก่อให้เกิดคลื่นลมลูกใหญ่ในนครต้องห้าม ดึงดูดความสนใจทั่วทั้งนครแล้วผู้ฝึกปราณจำนวนมากต่างอดรนทนไม่ไหวอยากให้หลินสวินลงมือ สั่งสอนชิงเจ๋อที่มาจากดินแดนรกร้างโบราณคนนี้อย่างเต็มที่เสียหน่อย โค่นความผยองของเขา แล้วเสริมสร้างความรุ่งเรื่องแก่จักรวรรดิทว่าขณะเดียวกันก็มีผู้ฝึกปราณจำนวนมากที่มองในแง่ร้ายยิ่งนัก คิดว่าหลินสวินแทบไม่มีความหวังในการกำชัย อย่างไรเสียพลังต่อสู้ของชิงเจ๋อคนนั้นก็เย้ยฟ้าจริงๆ แม้แต่มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ยังรับสามกระบี่ของเขาไม่ได้ นับประสาอะไรกับหลินสวินที่เพิ่งจะมีปราณระดับหยั่งสัจจะ‘ที่ควรมาในที่สุดก็มาจนได้…’ไกลออกไป จ้าวไท่ไหลก็มาที่นี่ด้วยตัวเอง เพียงแต่เมื่อเทียบกับการมองโลกในแง่ร้ายของผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ท่าทีของเขาในตอนนี้กลับดูค่อนข้างต่างออกไป‘หากชิงเจ๋อคนนี้รู้ถึงดุดันยามอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดของเจ้าเด็กหลินสวินนี่ ไม่รู้ว่าเขายังกล้า ‘ขวางประตู’ อย่างผ่าเผยแบบนี้อยู่อีกหรือไม่…’สภาพจิตใจของจ้าวไท่ไหลในเวลานี้แปลกพิกลจริงๆ เจืออาการมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นเสี้ยวหนึ่งบุคคลสำคัญบางส่วนที่มาจากกองทัพจักรวรรดิต่างก็มีท่าทีแปลกๆ เช่นกัน นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา ตั้งท่าข่มกลั้นอารมณ์รอชมเรื่องสนุกคนอื่นไม่รู้ แต่พวกเขาต่างรู้ดี ว่าในช่วงครึ่งปีนี้ที่หลินสวินอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือด ได้ก่อวีรกรรมยิ่งใหญ่ออกมามากแค่ไหนลำพังราชันกึ่งระดับที่ตายด้วยน้ำมือเขา ก็ปาไปสี่ห้าคนแล้ว!ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ชิงเจ๋อคนนั้นกลับเป็นฝ่ายหมายท้าดวลหลินสวินเอง เขาคิดจริงๆ หรือว่าเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะอย่างหลินสวินเป็นพวกที่รังแกกันได้ง่ายๆแน่นอน พวกเขาจะไม่ส่งเสียงเตือนชิงเจ๋อ ต่างข่มกลั้นอารมณ์รอชมเรื่องสนุกของชิงเจ๋ออยู่ทั้งสิ้นเพียงแต่สิ่งที่เกินความคาดหมายของทุกคนคือ ไม่นานนัก ฝั่งตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตก็มีข้ารับใช้คนหนึ่งเดินออกมากล่าวว่า “ตอนนี้ผู้นำตระกูลของเรามีธุระสำคัญ ไม่ว่างใส่ใจเรื่องพวกนี้ หากคุณชายชิงเจ๋อพอใจ ก็สามารถร่ำสุราดื่มชาอยู่ที่นี่ได้เลย”กล่าวเสร็จก็จากไปอย่างผ่าเผยทุกคนต่างตะลึงงันเห็นได้ชัดว่าหลินสวินปฏิเสธการท้าดวลตรงๆ ทั้งยังทิ้งชิงเจ๋ออยู่ที่ตรงนี้ ไม่คิดจะสนใจเขาเลยสักนิด“ทำอย่างนี้ได้อย่างไร… นี่ไม่ใช่ว่า… ไม่ใช่ว่าหดหัวเลี่ยงศึกหรอกหรือ เมื่อก่อนหลินสวินไม่เคยกริ่งเกรงเรื่องพวกนี้นี่นา”ผู้ฝึกปราณจำนวนมากรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง คิดว่าการกระทำเช่นนี้ของหลินสวินเป็นการช่วยเสริมความหยิ่งยโสของชิงเจ๋อผู้นั้น และทำลายศักดิ์ศรีของตัวเองโดยไม่ต้องสงสัย“เฮอะ เขาชิงเจ๋อนับเป็นอะไรได้ เขาอยากท้าดวลก็ต้องรับคำท้าเขาหรือ น่าขัน! ข้ากลับคิดว่าคุณชายหลินสวินทำเช่นนี้ฉลาดยิ่งนัก น่าพึงพอใจยิ่ง!”และมีผู้ฝึกปราณจำนวนมากสนับสนุนการกระทำของหลินสวิน“คนผู้นี้ถึงขั้นกล้าไร้มารยาทเช่นนี้! ไม่กล้ารับคำท้าก็แค่บอกกันสักคำ แต่ดันอ้างเหตุผลตั้งมากมายขนาดนี้ น่าขยะแขยง”ไกลออกไปเฉินเฟิงขมวดคิ้ว เหยียดหยามการตัดสินใจของหลินสวินยิ่งนัก คิดว่าเขาขี้ขลาดหวาดหวั่น ไม่กล้ารับคำท้าชิงเจ๋อกลับใจเย็นสงบนิ่งถึงที่สุด ยกถ้วยชาขึ้นจิบแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ “ไม่เป็นไร พวกเราก็รอต่อไป ที่ข้ามีคือความอดทน ช้าเร็วก็ต้องทำให้เขาไม่อาจไม่ออกมาสู้อยู่ดี”“นายท่าน ด้วยฐานะและพลังปราณในปัจจุบันของท่าน ไยต้องทำเช่นนี้”เฉินเฟิงรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง เขาคิดว่าแค่คนอย่างหลินสวินเช่นนี้ ไม่มีคุณสมบัติพอจะสู้กับชิงเจ๋อเลยสักนิด แต่ชิงเจ๋อกลับยืนกรานจะทำเช่นนี้ให้ได้“ตามข่าวที่ข้าได้มา คนผู้นี้น่าจะเหยียบย่างบนมกุฎมรรคาแข็งแกร่งที่สุดในตำนานแล้ว ข้าใคร่รู้ยิ่งนัก ในโลกชั้นล่างที่มหามรรคบกพร่อง แต่คนผู้นี้กลับสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ เจ้าไม่รู้สึกว่าน่าสนใจมากหรอกหรือ”ชิงเจ๋อเอื้อนเอ่ยอย่างแช่มช้า เล่นถ้วยชาหยกมันแพะสีเขียวสดในมือไปพลางเพียงแต่เขายังมีถ้อยคำบางอย่างที่ไม่ได้พูดออกมา นั่นก็คือตามความเข้าใจของเขา เด็กหนุ่มที่ชื่อหลินสวินคนนั้น เดิมทีก็น่าจะตายไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว แต่กลับมีชีวิตรอดได้ราวปาฏิหาริย์ ในเรื่องนี้มีจุดที่ควรค่าให้ความสนใจอย่างมากแน่นอน!“มกุฎมรรคาที่แข็งแกร่งที่สุด…”นัยน์ตาของเฉินเฟิงหดเกร็งเล็กน้อย หัวใจสั่นไหว เขาค่อนข้างตกใจจริงๆ ควรรู้ว่าในดินแดนรกร้างโบราณ อัจฉริยะที่สามารถเหยียบย่างบนมรรคาระดับนี้ได้ก็มีให้เห็นไม่มากนัก!แต่ในโลกชั้นล่างอันแร้นแค้นเช่นนี้ ดันมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งทำได้ถึงขั้นนี้ นี่เห็นได้ชัดว่าน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อยแล้ว!……ชิงเจ๋อซึ่งถูกหลินสวินทิ้งอยู่ตรงนั้นเลือกที่จะรอ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยแสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาเลยสักเสี้ยว ตั้งท่าเหมือนจะรอจนกว่าหลินสวินจะรับคำท้าสิ่งนี้ทำให้บรรดาผู้ฝึกปราณที่จับจ้องห่างๆ อยู่ต่างลอบตกใจ ยิ่งตระหนักได้เรื่อยๆ ว่าการท้าดวลหลินสวินในครั้งนี้ของชิงเจ๋อ จุดประสงค์และเจตนาจะต้องไม่เรียบง่ายเป็นแน่ในขณะเดียวกันหลินสวินเองก็ได้รู้ถึงท่าทีของชิงเจ๋อแล้ว และอดเลิกคิ้วไม่ได้ กล่าวว่า “เจ้าหมอนี่ไม่ยอมเลิกราถึงที่สุดเลยสินะ…”“เจ้าหนู เจ้าคิดอย่างไรกันแน่ ถูกคนขวางอยู่หน้าประตูบ้าน เจ้าไม่รู้สึกอัปยศหรอกหรือ เรื่องในวันนี้ได้รับความสนใจไปทั่วนครต้องห้ามเชียวนะ ถ้าหากเจ้าปล่อยให้ชิงเจ๋อขวางอยู่ตรงนั้นแบบนี้ ต่อไปตระกูลหลินของเจ้ายังมีหน้าให้ยืนอยู่ในนครต้องห้ามอีกหรือ”ไม่นานนักจ้าวไท่ไหลก็เป็นฝ่ายมาหาเอง ทันทีที่พบหน้าก็ซักถามหลินสวินโดยตรงว่าคิดจัดการเรื่องนี้อย่างไรหลินสวินกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ผู้อาวุโส ฟังจากน้ำเสียงของท่าน แทบอดรนทนไม่ไหวอยากให้ข้าไปสู้กับชิงเจ๋อสักคราไม่ใช่หรือ”กลับเห็นจ้าวไท่ไหลกล่าวกลั้วหัวเราะน้อยๆ “หากเจ้ามั่นใจก็ไปสู้ ถ้าหากไม่มั่นใจ เช่นนั้นซ่อนตัวอยู่ก็ไม่เห็นเป็นไร แต่จะว่าไปแล้ว เจ้าไม่อยากรู้เชียวหรือว่าชิงเจ๋อผู้นี้มาด้วยจุดประสงค์อะไรกันแน่”หลินสวินหลุดขำ “พูดไปพูดมา ก็ยังอยากให้ข้าออกไปวิวาทกับเจ้าหมอนั่นสักตั้งอยู่ดี”จ้าวไท่ไหลกล่าวอย่างเคร่งขรึม “นี่ข้ากำลังกังวลแทนเจ้าอยู่นะ ผู้ฝึกปราณทั่วนครต้องห้ามล้วนตั้งตารอให้เจ้าปรากฏตัว กำราบความหยิ่งยโสของเจ้าหนุ่มคนนี้ให้หนัก เลี่ยงมิให้เขายกตนข่มท่าน เห็นว่าจักรวรรดิของเรารกร้างไร้ผู้คน!”“มีประโยชน์อะไรเล่า” หลินสวินถามพลางยิ้มจ้าวไท่ไหลถลึงตาใส่ “ข้ามาเพื่อแก้ปัญหาให้เจ้าหนูอย่างเจ้า เจ้ากลับถือโอกาสนี้มาดัดหลังข้า? บอกเจ้าให้นะ หากเจ้าไม่ยินดีรับคำท้า เช่นนั้นข้าก็ไม่บังคับเจ้า แต่หากจิ่งเซวียนหลานสาวคนนั้นของข้ารู้เข้าว่ายามที่ต้องทำประโยชน์ให้จักรวรรดิอย่างแท้จริง ชายหนุ่มที่นางต้องตากลับหลบซ่อนตัวเหมือนเต่าหัวหดตัวหนึ่งละก็ เจ้าทายสิ… นางจะผิดหวังและเสียใจแค่ไหน”หลินสวินพลันปสดหัวขึ้นมา จิ้งจอกเฒ่าคนนี้ช่างไร้ยางอายเหลือเกิน เพื่อให้ตนรับคำท้า ถึงกับยกจ้าวจิ่งเซวียนขึ้นมาแอบอ้าง!………………..
คอมเม้นต์