Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 720 นั่งสมาธิคืนเดียว ประหนึ่งนิพพาน
ในใจหลินสวินรู้สึกประหลาดยิ่ง ขนลุกเกรียวทั่วสรรพางค์กายเจ้าคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งอยู่เหนือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับนั้น กลับมาเชื้อเชิญ กล่าวว่ามีวาสนากับตน นี่ก็ดูเหลือเชื่อมากอยู่แล้ว“เฮ้อ เดือนปียาวนานเปล่าเปลี่ยวราวหิมะ มีวาสนาได้พบกันไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุใดต้องบอกว่าจะไปเล่า ข้าเพียงอยากคุยกับเจ้าเท่านั้นเอง”เสียงกังวานอ่อนโยนนั้นทอดถอนใจต่อจากนั้นหลินสวินก็ค้นพบอย่างหวาดหวั่นว่าพลังไร้รูปร่างสายหนึ่งปกคลุมตนเองไว้ เพียงชั่วอึดใจก็นำตนมาอยู่เหนือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นั้น!ดอกไม้น้ำแข็งดอกหนึ่งผลิบาน แสงเทพเทพนับหมื่นพันสายลู่ลงมาราวภาพนิมิต หลินสวินมองดูตัวเองนั่งอยู่บนกิ่งต้นไม้เปล่งประกายข้างดอกไม้น้ำแข็งดอกนี้ตาปริบๆ ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่อาจควบคุมและต่อต้านได้“สหาย เจ้า… นี่ออกจะบังคับฝืนใจผู้อื่นอยู่นะ อย่างนี้เรียกวาสนาได้ที่ไหน”หลินสวินกลืนน้ำลายอย่างคอ ขนหัวลุกอยู่บ้าง โชคดีเพียงอย่างเดียวก็คือ เวลานี้เขาไม่ได้รู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายกระทั่งว่าเมื่อนั่งอยู่บนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นนี้ ทั้งกายถูกชโลมด้วยแสงบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์แสงแล้วแสงเล่า ทำให้เขาสบายผ่อนคลายไปทั้งตัว“กฎแห่งวาสนานั้นว่างเปล่าราวภาพฝัน การปรารถนาตามใจต้องการนั้นดี แต่หากลุ่มหลงมัวเมาเข้าแล้ว กลับจะกลายเป็นของธรรมดา ขัดกับมรรคของข้า”เมื่อเสียงกังวานนุ่มนวลนี้ดังขึ้น หลินสวินถึงได้รู้ว่า ในดอกไม้หิมะที่บานอยู่ข้างๆ มีเบาะรองนั่งที่สร้างขึ้นจากหยกน้ำแข็งอันหนึ่ง จักจั่นทองตัวหนึ่งฟุบอยู่บนนั้น ท่วงท่าสงบนิ่งเยือกเย็นจักจั่นทองตัวนั้นมีขนาดเพียงฝ่ามือทารก ทั้งร่างเต็มไปด้วยแสงทองอ่อนโยน ดวงตากระจ่างใสสุกสกาว ดุจสามารถสะท้อนความลับในก้นบึ้งของจิตใจผู้อื่นได้มันผุดผ่องนัก แผ่แสงแห่งปัญญาออกมา จักจั่นตัวหนึ่งเท่านั้น กลับทำให้หลินสวินรับรู้ถึงกลิ่นอายน่าเคารพยำเกรง มีอิสระเสรีจากนั้นหลินสวินก็ตาเบิกกว้าง เขาคิดไม่ถึงอย่างยิ่งว่าบนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งนี้นอกจากจะมีจักจั่นขาวตัวหนึ่งแล้ว ยังมีจักจั่นทองอีกตัวหนึ่งด้วย!หรือว่า…นี่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตน่าหวาดหวั่นที่บรรลุอริยมรรคตัวหนึ่งเช่นกัน?หลินสวินจิตใจสั่นระรัว“อริยมรรคน่ากลัวหรือ ข้าว่าก็ไม่เท่าไร มันเป็นเพียงประตูสู่มรรคาบานหนึ่งเท่านั้น เจ้าอยู่นอกประตู มองความลี้ลับภายในไม่ออกจึงหวั่นใจ รอวันหนึ่งเมื่อเจ้าผลักประตูเข้ามาก็จะพบว่า มันก็เพียงเท่านี้”ฉับพลันจักจั่นทองก็พูดอีกครั้ง ราวมองทะลุความคิดของหลินสวิน น้ำเสียงมีพลังทำให้ผู้อื่นรู้สึกสงบ“ก็เพียงเท่านี้หรือ” หลินสวินรู้สึกเหลวไหลอย่างหนึ่ง อริยมรรคเชียวนะ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไรไม่มีวาสนาได้ก้าวย่างเข้าสู่เส้นทางนั้น ทำได้แต่หมายปองแต่ตอนนี้จักจั่นทองตัวนี้กลับพูดออกมาได้เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา“ใช่ ก็เพียงเท่านี้”จักจั่นทองกล่าว “ข้ามีภาพฝันภาพหนึ่งว่าสักวันสิ่งมีชีวิตทั้งมวลในโลกนี้จะกลายเป็นอริยะ หลีกเลี่ยงความทุกข์ยากแห่งเกิดแก่เจ็บตายได้โดยทั่วกัน”หลินสวินตื่นตระหนก เจ้าหมอนี่คุยโตนัก!สิ่งมีชีวิตทั้งมวลล้วนเป็นอริยะหรือตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ใครกล้าเอ่ยวาจาเพ้อฝันพรรค์นี้กัน“ทำให้เจ้าตกใจหรือไม่ ไม่เป็นไร จะเชื่อหรือไม่เชื่อลงท้ายก็เป็นเรื่องของข้า” จักจั่นทองดูอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัดในใจหลินสวินสงบลงเล็กน้อย กล่าวว่า “พูดคุยกันเท่านั้นจริงหรือ”“ใช่ พูดคุยกัน”จักจั่นทองเอ่ยต่อ “เจ้ารู้ไหมก่อนยุคบรรพกาล สิ่งมีชีวิตในโลกเริ่มมีปัญญาตื่นรู้ ยามรู้จักฟ้าดินนี้ครั้งแรก พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่“ทำอะไรหรือ” หลินสวินอดถามไม่ได้ เขายังไม่เคยคิดถึงคำถามทำนองนี้“พูดคุย”จักจั่นทองให้คำตอบที่ทำให้หลินสวินแทบพูดไม่ออกแต่ไม่นานนักจักจั่นทองก็อธิบาย “พูดคุย ที่พูดคุยก็ย่อมเป็นเรื่องบนสวรรค์ เวลานั้น เวลานั้น โลกนี้อยู่ในสภาวะแรกกำเนิดอันคลุมเครือ ทุกอย่างล้วนมีรูปลักษณ์ดั้งเดิมดึกดำบรรพ์ การดำรงอยู่ของสวรรค์ก็สูงส่งจนไม่อาจสัมผัสได้ ไกลจนเอื้อมไม่ถึง ประดุจการแปรสภาพแห่งมหามรรค คิดจะก้าวย่างสู่วิถีแห่งการฝึกปราณก็ต้องทำความเข้าใจและค้นหามัน”“สิ่งแรกที่ผู้ฝึกปราณในตอนนั้นจะทำเมื่อรวมตัวอยู่ด้วยกันก็คือการพูดคุย พูดคุยเรื่องการรับรู้และหยั่งรู้เกี่ยวกับสวรรค์ ต่างแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กัน ดังนั้นเมื่อนานเข้า วิถีฝึกปราณก็ถูกค้นพบทีละก้าว”“ที่แท้ก็เป็นการพูดคุยเช่นนี้”หลินสวินครุ่นคิด เมื่อได้ยินการอธิบายเรื่อง ‘การพูดคุย’ เช่นนี้ ถึงกับทำให้เขาได้รับรู้ในสิ่งใหม่ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง“ยามเจ้าบรรลุอริยมรรค ก็จะได้เรียนรู้การพูดคุย” จู่ๆ จักจั่นทองก็เอ่ยขึ้น “ทว่าในตอนนั้น ผู้ที่เจ้าสนทนาด้วยจะเป็นเหล่าสรรพชีวิต เผยแพร่ชี้แนะ หรืออาจจะอบรมบ่มเพาะ ล้วนข้องเกี่ยวกับวิถีแห่งอริยมรรคที่เจ้าตามหา…”“บรรลุอริยะยังมีรายละเอียดมากมายเช่นนี้หรือ” หลินสวินตื่นตะลึง ถูกดึงดูดโดยไม่รู้ตัวเสียแล้วอริยมรรค แม้แต่ราชันระดับสังสารวัฏก็ไม่อาจมองทะลุปริศนาภายในนั้นได้ เพราะระดับขอบเขตนี้สูงส่งเกินไป เป็นที่รู้กันว่ายืนนานเป็นนิรันดร์ เจิดจรัสชั่วทิวาราตรี เหลือเชื่อถึงที่สุดแต่ตอนนี้ ได้รู้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอริยมรรคจากปากของจักจั่นทองลึกลับตัวนี้ สำหรับหลินสวินแล้วเป็นโอกาสเรียนรู้ที่หาได้ยากยิ่งครั้งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย“บรรลุอริยะจะว่ายากก็ไม่ยาก จะว่าง่ายก็ไม่ง่าย ภายในนั้นมีความลึกลับยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ เจ้าเพียงต้องรู้ว่า ใต้หล้านี้มีอริยะที่ว่ามากมาย แต่เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น หนทางที่เดินไปยังเป็นเส้นทางเก่าที่มีมาแต่เดิม ผลสำเร็จย่อมมีจำกัด เต็มที่ก็เป็นได้เพียงอริยะปลอม”“อริยะที่แท้จริง ต้องเบิกมรรคาที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วยตัวเอง”คำพูดนี้ของจักจั่นทองทำให้หลินสวินประหวั่นพรั่นพรึง อริยมรรคถึงกับยังมีแบ่งแยกจริงปลอมด้วยหรือนี่“อริยะที่ไร้อริยะก็คืออริยะที่แท้จริง มรรคที่ไร้มรรคก็คือมหามรรค คิดไปก็กังวลเสียเปล่าๆ สู้ทั้งข้าทั้งเจ้าลืมไปให้สิ้นดีกว่า”จู่ๆ จักจั่นทองก็พึมพำขึ้นมา เหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่หลินสวินก็อึ้งไป สำหรับเขาอริยมรรคนั้นเป็นเรื่องไกลตัวเกินไป แม้ได้ยินความลับเกี่ยวกับอริยมรรค แต่ในความเป็นจริงก็ไม่ได้ทำให้เขาหวั่นไหวมากนักเวลานี้หลินสวินเพียงกำลังคิดว่า ‘การพูดคุย’ ในวันนี้พิเศษเสียจริง ถึงกับดูเพ้อเจ้อและผิดปกติหมอกเลือดคละคลุ้งป่าต้นหม่อนที่กว้างใหญ่ไพศาลและอันตราย เหนือเวิ้งฟ้า สิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่บรรลุอริยมรรคสองตัวกำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด สะท้านไปทั้งฟ้าดินส่วนบนผืนดิน เขากลับนั่งอยู่ยอดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็ง สนทนากับจักจั่นทองที่ฟุบอยู่บนเบาะรองนั่งในดอกไม้น้ำแข็งข้างๆ ตัวหนึ่งบรรยากาศเช่นนี้ดูชอบกลนักจริงด้วย ยังมีผลอริยะที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมผลนั้นอีก!ตอนนี้หลินสวินถึงเพิ่งนึกได้ว่า ผลอริยะที่เปล่งประกายราวดวงระวีหิมะน้ำแข็งผลนี้ก็อยู่ไม่ไกลจากศีรษะเขามันใหญ่เท่ากำปั้นเท่านั้น ดุจแกะสลักขึ้นจากหิมะน้ำแข็งขาวบริสุทธิ์ อบอวลไปด้วยรัศมีผุดผ่องช่วงโชติหาใดเทียบ แสงเทพราวมายานับหมื่นพันไหลเอ่อออกมากลิ่นหอมสดชื่นลอยตลบมาจากในนั้น เหมือนสามารถแทรกซึมเข้าไปในส่วนลึกของจิตวิญญาณ พาให้ผู้คนลอยละล่องกลายเป็นเซียนยังมีปรากฏการณ์ประหลาดลี้ลับภาพแล้วภาพเล่าไหววูบอยู่รอบผลนั้น ทั้งยังมีเสียงธรรมราวเสียงสวรรค์เสียงแล้วเสียงเล่าดังรางเลือนระหว่างที่หลินสวินเหม่อลอย เขารู้สึกได้ว่าถูกแสงมรรคอบอุ่นอาบไล้ทั่วกาย จิตวิญญาณว่างเปล่า ไม่คิดอะไรอีกต่อไปซ่า!เลือดลม พลังวิญญาณ สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณในกายเขาโคจรขึ้นเองอย่างกระปรี้กระเปร่าและสมบูรณ์ ถ้ำสวรรค์ในกายเขาส่งเสียงโครมคราม แสงเทพพวยพุ่งเวลานี้หลินสวินลืมสิ้นทุกสิ่งลืมการประลองไร้เทียมทานเหนือเวิ้งฟ้า ลืมว่าข้างกายตนยังมีจักจั่นทองลี้ลับตัวหนึ่งกำลังทอดถอนใจ ทั้งยังลืมระมัดะวังและป้องกันตัว…สภาพของเขาในตอนนี้อัศจรรย์นัก เหมือนกำลังหยั่งรู้หลอมรวมเข้าไปในมหามรรค และเหมือนอยู่ในภาวะเหม่อลอยไร้ความคิด ทั้งภายนอกและภายในจิตวิญญาณล้วนว่างเปล่า…….ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรการต่อสู้เหนือเวิ้งฟ้ายามราตรีปิดฉากลง คืนสู่ความสงบ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งที่จำศีลอยู่ตามที่ต่างๆ ในป่าต้นหม่อนยังคงหวาดผวาดังเดิมการประลองอริยมรรคครั้งนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ทำให้ราชันระดับสังสารวัฏเหล่านั้นล้วนใจฝ่อไม่ว่างเว้นใครแพ้ใครชนะหรือไม่มีผู้ใดล่วงรู้ทั้งอริยะสองท่านที่ห้ำหั่นกันนั้นคือใครกันก็ไม่มีผู้ใดเห็นอย่างชัดเจนเช่นกันและเพราะเป็นเช่นนี้ ด้วยศึกนี้ ทำให้ป่าต้นหม่อนที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ดูลี้ลับและอันตรายยิ่งขึ้นแล้ว“เหตุใดถึงไม่ฆ่าเขา”จักจั่นขาวปรากฏตัวบนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็ง เมื่อเห็นหลินสวินที่นั่งอาบรัศมีศักดิ์สิทธิ์อยู่ ดวงตาทั้งสองก็ฉายไอสังหารทันทีนัยน์ตากระจ่างของจักจั่นทองมองดูหลินสวิน แล้วเอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “ไม่ง่ายกว่าจะตื่นขึ้นครั้งหนึ่ง การได้พบเด็กหนุ่มที่น่าสนใจขนาดนี้ผู้หนึ่ง นี่ก็คือกฎแห่งวาสนา ใจข้าไร้ซึ่งความคิดสังหาร เหตุใดต้องช่วงชิงชีวิตเขามาด้วยเล่า”“น่าสนใจหรือ”จักจั่นขาวดูถูก “เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งเท่านั้น ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่เหยียบย่างมกุฎมรรคาไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว แม้เด็กนี่จะได้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารกับศรแห่งนภาครามไป สมบัติคู่นี้ก็เสียอานุภาพในตอนแรกไปนานแล้ว นี่เรียกว่าน่าสนใจหรือ”“เจ้าไม่เข้าใจ”จักจั่นทองส่ายหน้า “สิ่งที่เจ้าเห็นเหล่านี้เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น บนตัวเขายังมีจุดที่น่าสนใจขึ้นไปอีก”“อ้อ ไม่อย่างนั้นให้ข้าฆ่ามัน ทุบเปลือกนอกมันออกมาดูให้รู้ไปเลยเป็นอย่างไร” จักจั่นขาวแค่นหัวเราะเยาะเย้ยจักจั่นทองเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนว่า “ถ้าเจ้ากล้าทำเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะนำผลกำเนิดอริยะนี้ไปคืนสังขารให้เขา”“เจ้ากล้าหรือ!” เสียงจักจั่นขาวเปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันใด“เจ้าคิดว่าบนโลกนี้ยังมีเรื่องที่ข้าไม่กล้าทำหรือ อย่าลืมเสียล่ะ ตอนนั้นสาเหตุที่ข้าเลือกจะเงียบหายไปจากที่นี่ ก็เพียงแค่อยากรอโอกาสครั้งหนึ่งไปพิสูจน์ความคิดของตัวเองก็เท่านั้น ส่วนผลกำเนิดอริยะนี้ สำหรับข้าแล้วก็เป็นเพียงสิ่งของที่จะมีหรือไม่ก็ได้ชิ้นหนึ่ง มีเพียงเจ้าผู้เดียวที่ใส่ใจขนาดนี้”เสียงจักจั่นทองยังคงนุ่มนวลและสงบนิ่งดังเดิมแต่จักจั่นขาวกลับนิ่งเงียบลง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงกล่าวว่า “ตกลงเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”“ข้าอยากเห็นว่าอริยมรรคที่เด็กหนุ่มผู้นี้จะก้าวเดินไปจะมีสภาพอย่างไรกันแน่”จักจั่นทองตอบง่ายๆ “ก็เหมือนปลูกเมล็ดพันธุ์เมล็ดหนึ่ง ข้าเพียงอยากเห็นว่าจะออกดอกเช่นไร”“สุดท้าย เจ้ายังเชื่อความหวังที่ว่าล่ะสิ บอกให้นะ บนโลกนี้ไม่มีมรรคาที่เจ้าเพ้อฝันอยู่จริงหรอก” จักจั่นขาวหัวเราะร่า เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ถ้าไม่เชื่อก็รอดู!”“เช่นนั้นก็รอดู”จักจั่นทองยังคงสงบเยือกเย็นดังเดิม……เมื่อราตรีลับไป หลินสวินก็ตื่นขึ้น เขางงงวยเป็นอย่างแรก แล้วก็พลันตื่นตระหนก!ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งต้นนั้นหายไปแล้ว ตอนนี้เขานั่งอยู่บนหินก้อนหนึ่ง หมอกเลือดห้อมล้อมรอบทิศ ราวกับทุกอย่างที่ได้ประสบเมื่อวานเป็นแค่ฝันไป‘นี่…’หลินสวินผุดลุกขึ้น สายตากวาดไปโดยรอบ หายไปแล้วจริงๆ ขนาดจักจั่นทองตัวนั้นก็หายไป ประหนึ่งไม่เคยมีอยู่เลย“ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่ความฝัน!”ไม่นานเขาก็พบว่าทั้งร่างของตนราวกับเกิดใหม่ เนื้อหนังมังสาทุกกระเบียดนิ้วเต็มไปด้วยพลังชีวิตมหาศาล พลังวิญญาณภายในร่างเกรียงไกรราวมหาสมุทรพลุ่งพล่าน พลังอันเข้มข้นนั้นย้อมถ้ำสวรรค์ในกายด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอีกชั้นหนึ่งส่วนพลังปราณ ได้ไปถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงแล้ว!นั่งสมาธิคืนเดียว กลับประหนึ่งนิพพาน!__
คอมเม้นต์