Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 702 ศรแห่งนภาคราม

อ่านนิยายจีนเรื่อง Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 702 ศรแห่งนภาคราม 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

มุ่งหน้าต่อไปไม่นานนัก ช่องว่างใต้ดินซึ่งกว้างใหญ่หาใดเปรียบแห่งหนึ่งปรากฏตรงเบื้องหน้า
ที่นี่ประดุจโลกใต้พิภพแห่งหนึ่ง มืดมนและว่างเปล่า
บริเวณที่ห่างจากหลินสวินไปราวร้อยจั้ง มีซากศพใหญ่มหึมาดั่งภูผาตระหง่านร่างหนึ่งนอนพาดขวาง แน่นิ่งไม่ไหวติง
นี่คือซากศพสัตว์ปีศาจที่ลึกลับและน่าหวาดกลัวตัวหนึ่ง ปกคลุมด้วยเกราะเกล็ดสีเงินเข้มดุดัน แค่เพียงแขนคู่หนึ่งที่ปรากฏก็ยาวหลายจั้ง ใหญ่โตราวสิ่งปลูกสร้างหิน
และหัวของก็มันราวกับเป็นบ้านหลังหนึ่ง ใหญ่โตจนน่าอัศจรรย์
นี่เป็นสัตว์ปีศาจที่แม้แต่หลินสวินยังไม่เคยพบเห็น ส่วนหัวมีลูกธนปักเอียงไว้ดอกหนึ่ง เทียบกันแล้วลูกศรไม่ได้เตะตา ยาวแค่สองฉื่อ หยาบยุ่งเหมือนลายมือเด็กทารก ดูเล็กบางกระจ้อยร่อยอย่างแท้จริงเมื่อเทียบกับซากศพของสัตว์ปีศาจ
แต่กลับเป็นลูกศรดอกนี้ที่แทงทะลุหัวมัน ปลิดชีพของมัน!
หลินสวินนัยน์ตาพลันหดรัด มาถึงตรงนี้ในที่สุดเขาจึงเข้าใจ ไอสังหารเสียดกระดูกที่สัมผัสได้ตลอดทางนั้น ที่แท้ออกมาจากซากศพสัตว์ปีศาจนั่น
ชวนขนพองสยองเกล้า!
ไอสังหารนี่น่ากลัวเกินไป เสมือนดั่งคงอยู่จริง ถึงแม้แน่ใจว่าสัตว์ปีศาจลี้ลับซึ่งใหญ่มหึมาหาใดเปรียบนั่นตายไปนานแล้ว แต่หลินสวินยังคงหวาดผวา สังเกตเห็นความอันตรายถึงขีดสุดประการหนึ่ง
‘หรือสมบัติปริศนาที่เผ่าพ่อมดเถื่อนค้นพบ ก็คือลูกศรแทรกที่ทะลุหัวสัตว์ปีศาจตัวนั้น’
‘หืม?’
ขณะกำลังใคร่ครวญ ในการรับรู้จิตวิญญาณของหลินสวินพลันค้นพบร่องรอยเสี้ยวหนึ่ง เขาเปล่งเสียงเย็นชาในบัดดล “ท่านทั้งสาม ข้ามาถึงแล้ว พวกเจ้ายังคิดซ่อนตัวต่อไปอีกรึ”
“หึ เจ้าเด็กสวะ คิดจริงๆ หรือว่าพวกข้าอับจนหนทาง ได้แต่รอเจ้ามาเชือดสังหาร” พร้อมๆ กับการแค่นเสียง เสอเจิ้น เหยียนชื่อสิง อินเป่ยกู้สามคนเดินออกมาจากด้านหลังซากสัตว์ปีศาจนั่น
พวกเขาคือผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนระดับมหาเวท รูปร่างเดิมทีก็สูงใหญ่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเผ่ามนุษย์อยู่แล้ว แต่เวลานี้เมื่อยืนอยู่ข้างซากสัตว์ปีศาจซึ่งประหนึ่งภูผาตระหง่านนั้น กลับเหมือนว่าตัวเล็กนิดเดียวยิ่งนัก
“ดูไปแล้ว พวกเจ้าคงไม่เกรงกลัวสิ่งใดสินะ” หลินสวินนัยน์ตาหรี่ลง
เขาสังเกตเห็นอย่างแจ่มแจ้ง ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสามคนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ก่อนแล้ว ยามนี้ไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย กลับเห็นได้ว่าสงบใจยิ่ง นี่ก็น่าสงสัยอยู่บ้างแล้ว
ขณะพูด หลินสวินก็น้าวธนูวิญญาณไร้แก่นสารในมือ
“เหอะๆ น่าขัน!”
เสอเจิ้นสีหน้าอึมครึม “เด็กสวะคนหนึ่งอย่างเจ้า หากไม่มีคันธนูในมือนั่น ไหนเลยจะมีสิทธิ์วางอำนาจบาตรใหญ่ต่อหน้าพวกเรา”
เหยียนชื่อสิงและอินเป่ยกู้เองก็มีใบหน้าชิงชัง พวกเขาคือคนใหญ่คนโตระดับมหาเวทผู้สง่าผ่าเผยแห่งเผ่าพ่อมดเถื่อน กลับถูกเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งบีบจนถึงขั้นนี้ นี่มันน่าอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง
“พูดมากความซะจริง!”
หลินสวินคิ้วขมวด ไอสังหารในใจวาบกะพริบ อีกฝ่ายสงบนิ่งเกินไปแล้ว นี่ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบมาพากลยิ่งกว่าเดิม หมายเร่งรบเร่งจบ
แต่พริบตาที่ในใจเขาเกิดไอสังหาร เหตุไม่คาดฝันพลันปรากฏ…
‘ฆ่า!’
ในโลกใต้ดินซึ่งโล่งโปร่งผืนนี้ เดิมทีก็อุดมไปด้วยไอสังหารที่คล้ายมีคล้ายไม่มีอยู่แล้ว บัดนี้เสมือนได้กลิ่นการนองเลือด เปลี่ยนเป็นอำมหิตหาใดเปรียบในชั่วขณะเดียว กลายเป็นประหนึ่งกระแสน้ำที่แท้จริง ถาโถมบีบทับเข้ามา
จิตวิญญาณของหลินสวินพลันได้รับการโจมตีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนทันที
ไอสังหารนั่นประดุจข้ามเขตกาลเวลาแต่โบราณ เคลือบแฝงพลานุภาพน่าหวาดกลัวร้ายกาจอันกว้างใหญ่ ทำให้สีหน้าเขาพลันซีดขาว
หลินสวินโคจร ‘เคล็ดเวทบริกรรม’ โดยไม่ลังเล พลังทั่วร่างส่งเสียงกึกก้อง ห้วงนิมิตปรากฏลักษณ์ประหลาดที่จันทร์เต็มดวงแขวนตัวอยู่บนท้องฟ้า หมู่ดาราห้อมล้อม
ไม่นานไอสังหารที่โจมตีมาก็ถูกหักล้าง จิตวิญญาณเปลี่ยนเป็นเสถียรขึ้นมาก หลายปีนี้หลินสวินฝึกเคล็ดเวทบริกรรมจนหยั่งถึงพลังอันเร้นลับที่เคล็ดวิชานี้มีมานานแล้ว ต่อให้จิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บ ก็จะถูกฟื้นคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว
ครืนครืน…
แต่ทว่าไอสังหารระหว่างฟ้าดินยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสมือนคลื่นคลั่งโหมกระหน่ำ ควบทะยานมาจากทั่วสารทิศ
‘ฆ่า!’
‘ฆ่า!’
‘ฆ่า!’
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ไอสังหารไร้สิ้นสุดนั่นถึงกับถาโถมออกมาจากศพสัตว์ปีศาจมหึมาซากนั้น บุกจู่โจมและบดอัดจิตวิญญาณและจิตใจของหลินสวิน
หลินสวินกดดันเพิ่มอีกเท่าตัว!
‘ซากสัตว์ปีศาจตัวหนึ่งที่ายไปไม่รู้นานเท่าไหร่ กลับทำให้ข้าไม่อาจไม่โคจรเคล็ดเวทบริกรรมและพลังทั่วร่างมาต่อต้าน หากมันยังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าพริบตาคงสังหารข้าอย่างง่ายดาย…’
หลินสวินพิศวงในใจ
ที่นี่ไอสังหารดั่งมหาสมุทร น่าประหวั่นไร้ขอบเขต!
แต่ทว่าพลังของเคล็ดเวทบริกรรมเวลานี้วิเศษอัศจรรย์อย่างชัดเจนถึงขีดสุด คงความมั่นคงของจิตวิญญาณของหลินสวินไว้อย่างแน่นหนา การโจมตีใดๆ ล้วนไม่อาจสั่นคลอนอีก
“ฮ่าๆๆ เจ้าเด็กสวะ รสชาตินี้เหลือทนยิ่งใช่หรือไม่ ไม่ว่าเจ้าจะโหดร้ายป่าเถื่อนแค่ไหน ณ ที่แห่งนี้ ทันทีที่ในใจมีจิตสังหาร ก็ต้องพบเจอหายนะแห่งการทำลายล้าง! นี่คงเป็นสิ่งเจ้าคิดไม่ถึงกระมัง” บริเวณที่ห่างออกไปแว่วเสียงหัวเราะเหี้ยมเกรียมของเสอเจิ้น เปี่ยมไปด้วยความรื่นรมย์
“ดูสิ หน้าเจ้าเด็กนี่ขาวไปหมดแล้ว สั่นสะท้านทั้งร่าง เห็นชัดว่าใกล้ยืนหยัดไม่อยู่” เหยียนชื่อสิงและอินเป่ยกู้เองก็หัวเราะร่า สีหน้าอาฆาตแค้นกระหยิ่มยิ้มย่อง
สาเหตุที่พวกเขาหลบซ่อนที่นี่ ก็เพื่อเหตุการณ์ตรงหน้านี้!
ตอนแรกที่พวกเขาผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนค้นพบสถานที่นี้ก็เกิดความฮือฮา เพราะเมื่อใดที่ผู้มาถึงที่แห่งนี้เผยจิตสังหารแม้เพียงเศษเสี้ยว ก็ต้องประสบกับการตอบโต้และกดดันอันน่ากลัว!
ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทยังยากจะแบกรับการโจมตีเช่นนี้
หากไม่ใช่เช่นนี้ พวกเขาคงนำซากสัตว์ปีศาจและลูกศรซึ่งเสียบเอียงอยู่บนศพนี้จากไปนานแล้ว!
“น่าชังนัก หากไม่ใช่ธนูยักษ์ในมือเจ้าเด็กสวะนั่น ข้าคงสับมันด้วยมือตนเองนานแล้ว ไหนเลยจะต้องมาเปลืองแรงขนาดนี้”
เสอเจิ้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แทบอยากจะพุ่งออกไปฆ่าหลินสวินด้วยมือตนเอง
ตูม!
บริเวณใกล้เคียง ไอสังหารน่าหวาดกลัวสายปรากฏ ทำเอาเสอเจิ้นตระหนกจนหน้าเปลี่ยนสี เมื่อครู่เขาเผลอเกิดจิตสังหารเสี้ยวหนึ่ง จึงดึงดูดการตอบโต้ของที่นี่
ยังดีที่เขาตอบสนองไว สลัดจิตสังหารภายในใจทิ้งทันที จึงคลี่คลายเคราะห์สังหารที่จวนมาเยือนได้อย่างไร้อันตราย
“ระวังหน่อย!” เหยียนชื่อสิงและอินเป่ยกู้ที่อยู่ด้านข้างสั่นระริกไปทั้งตัว ตกใจจนแทบกระโดดโหยง ต่างมองเสอเจิ้นด้วยความโกรธเคือง
เสอเจิ้นพลันเก้กังทันที
‘ที่แท้สาเหตุที่พวกเขาหนีมาที่นี่ เพราะหมายอาศัยไอสังหารของที่แห่งนี้มาจัดการข้า… ไม่แปลกที่ตอนนี้พวกเขาจะไม่เกรงกลัวสิ่งใดเช่นนี้…’
ห่างออกไป ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจ
ทันใดนั้นเขายกเท้าเดินเข้าไปใกล้ซากสัตว์ปีศาจซึ่งอยู่นอกระยะพันจั้งทีละก้าว
ภาพเหตุการณ์นี้น่าตระหนกจนพวกเสอเจิ้นนัยน์ตาหดรัด แทบไม่กล้าเชื่อ ไอสังหารนั่นดุดันน่ากลัวระดับใด แม้แต่พวกเขายังไม่กล้าปะทะซึ่งหน้า
แต่บัดนี้ เจ้าเด็กนี่กลับเข้าประชิดด้วยตัวเอง!
นี่เขารังเกียจที่ยังไม่ตายเร็วพอหรือ
หลินสวินหาได้ใส่ใจสิ่งเหล่านี้ นัยน์ตาดำทั้งคู่ของเขาจ้องลูกศรสีดำซึ่งเสียบเอียงบนหัวสัตว์ปีศาจนั่นเขม็ง ส่วนลึกของนัยน์ตาเจือแสงแปลกประหลาดเสี้ยวหนึ่ง
มีเพียงตัวเขาที่สัมผัสถึง ว่าธนูวิญญาณไร้แก่นสารในมือยามนี้คล้ายถูกกระตุ้นจนสั่นสะท้านเป็นระลอก มีกลิ่นอายเร้นลับหนึ่งกำลังตื่นขึ้น
ไม่นานในที่สุดหลินสวินก็เห็นอย่างชัดเจน
สัตว์ปีศาจซึ่งปกคลุมด้วยเกราะเกล็ดทั้งตัวนั้น รูปร่างคล้ายสิงห์พยัคฆ์ตัวหนึ่ง แต่กลับมีหัวเป็นมังกร เท้าทั้งสี่ดั่งเสาเหล็กสิบกว่าจั้ง คราบเลือดเกรอะกรังติดตัวเต็มไปหมด
ส่วนหัวของสัตว์ปีศาจ ลูกศรสีดำเรียบง่ายไม่หรูหราปักเอียง มีเพียงขนลูกศรที่ย้อมด้วยแสงสีแดงเป็นสายๆ
กลิ่นอายเร้นลับหนึ่งกำลังพวยพุ่งออกจากลูกศรสีดำนั่น เกิดการขานรับกับธนูวิญญาณไร้แก่นสารอย่างคล้ายมีคล้ายไม่มีเสี้ยวหนึ่ง
พริบตานี้ต่อให้ไม่โคจรเคล็ดเวทบริกรรม หลินสวินก็แน่ใจว่าไอสังหารที่มืดฟ้ามัวดินนั้น ไม่อาจนำมาซึ่งภยันตรายสักเศษเสี้ยวแก่ตน
“ทำไมเป็นเช่นนี้ หรือเขาทรงพลังถึงระดับนี้เชียวรึ” เสอเจิ้นที่อยู่ห่างไกลหน้าเปลี่ยนสี ส่งเสียงร้องแหลม
ตามการสันนิษฐานก่อนหน้านี้ของพวกเขา ถึงแม้เป็นราชันระดับสังสารวัฏมาเองก็ยังต้องระมัดระวังเต็มกำลัง อาจจะพอเข้าใกล้เบื้องหน้าสัตว์ปีศาจนั้นได้
แต่บัดนี้เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งกลับเข้าประชิดทีละก้าว! ซ้ำยังไม่มีความทุลักทุเลจากการรับแรงกดดันของไอสังหารอย่างตอนแรก กลับเห็นได้ว่านิ่งสงบยิ่งนัก
“เป็นไปไม่ได้…!”
เหยียนชื่อสิงและอินเป่ยกู้เองก็ตะโกนลั่น พวกเขาหวาดหวั่นอย่างสิ้นเชิงแล้ว ก่อนหน้านี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส บัดนี้ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขาคืออาศัยไอสังหาร ณ ที่แห่งนี้กำจัดอีกฝ่าย
เพียงแต่รูปการณ์แปรเปลี่ยนไป คลาดเคลื่อนไปจากการคาดคะเนของพวกเขาโดยสมบูรณ์!
“ศรจงมา!”
เมื่อเงาร่างหลินสวินห่างจากซากศพสัตว์ปีศาจตัวนั้นในระยะสิบจั้ง เขาพลันหยุดยืนนิ่ง ริมฝีปากเปล่งวาจาหนึ่งอย่างแผ่วเบา
พรึ่บ!
ภายใต้สายตาตระหนกที่จับจ้องของพวกเสอเจิ้น ลูกศรสีดำซึ่งปักเอียงบนหัวสัตว์ปีศาจนั่นถึงกับพลันพุ่งออก กลายเป็นแสงทมิฬสายหนึ่งร่วงหล่นลงในมือหลินสวิน
ลูกธนูเรียบง่ายไม่หรูหรา หนาราวแขนเด็ก ขนลูกศรย้อมสีแดงโลหิตเข้ม ปลายศรดำสนิทไหลวนด้วยแสงเย็นเยียบที่คล้ายมีคล้ายไม่มี
แค่เพียงอยู่ในมือหลินสวิน ก็มีความเกรงขามอันน่าสะพรึงแผ่ขยายออกจากตัวลูกธนู บีบอัดจนห้วงอากาศรอบทิศเกิดระลอกคลื่นปานจะระเบิดแหลก
ครืน!
ขณะเดียวกัน ซากสัตว์ปีศาจลึกลับราวสิงขรสูงชันนั่นถึงกับพังทลายสนั่นหวั่นไหว กลายเป็นเถ้าถ่านพลิ้วลอยล่องลงพื้น
“นี่…”
พวกเสอเจิ้นตะลึงราวรูปปั้นดิน นิ่งอึ้งอย่างสมบูรณ์ นี่เป็นไปได้อย่างไร
เดิมทีในการคาดคะเนของพวกเขา ลูกศรสีดำดอกนี้จะต้องเป็นสมบัติโบราณล้ำค่าทรงพลังอย่างไม่อาจจินตนาการชิ้นหนึ่งแน่ คิดจะเอามันไปยังต้องรอเวลาอีกหน่อย จนเมื่อไอดุร้ายของมันนิ่งสงบลงแล้วจึงจะสามารถกำราบได้
นี่ก็คือสาเหตุที่หลายวันนี้พวกเขาเรียกระดมพลยอดฝีมือมากขนาดนี้มารักษาการณ์ที่หุบเขาพยัคฆ์
แต่ใครเล่าจะคาดคิด การมาถึงของหลินสวินกลับทำลายแผนการของพวกเขาสิ้น ยกมือโบกกระหวัดก็ชิงลูกศรสีดำนั่นไปอย่างง่ายดาย!
“ไม่…!” พวกเสอเจิ้นแผดเสียงคำรามอย่างไม่พอใจและคับแค้น นี่ไม่ต่างอะไรกับเสียฮูหยินแล้วเสียขุนศึกซ้ำอีกอย่างแท้จริง
“นภาคราม…”
และในเวลานี้ หลินสวินกล่าวพึมพำ รับรู้ถึงคำจารึกพิเศษสองคำที่มีเพียงในสมัยบรรพกาลเท่านั้น ซึ่งประทับอยู่บนลูกศรสีดำนี้
ศรนี้ นามนภาคราม!
“เจ้าเด็กสวะ ทิ้งสมบัตินี่ลงเดี๋ยวนี้! ไม่เช่นนั้นไม่ว่าเจ้าหลบหนีไปที่ไหน จะต้องถูกผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนของข้าไล่ฆ่าจนตายแน่!”
พวกเสอเจิ้นคำรามดุดันเคืองแค้นเต็มประดา พวกเขารักษาการณ์อยู่ที่นี่หลายวันก็เพื่อสมบัตินี้ แต่บัดนี้กลับถูกหลินสวินชุบมือเปิบตัดหน้าเอาไปก่อน นี่จะให้พวกเขาอดกลั้นได้อย่างไร
“ทุกท่าน การละเล่นควรสิ้นสุดลงแล้ว”
หลินสวินเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาดำมองออกไป ลูกศรสีดำในมือมีคลื่นไอสังหารไร้รูปสายหนึ่งแผ่กระจายออกมา
พรูดๆๆ!
พริบตานั้น ไม่ว่าจะเป็นเสอเจิ้น เหยียนชื่อสิง หรืออินเป่ยกู้ ต่างไม่ทันได้ตอบสนอง ร่างกายระเบิดออกโดยพร้อมเพรียง ถูกไอสังหารเสียดกระดูกนั่นบดขยี้กลายเป็นหมอกโลหิตลอยล่อง แม้ซากกระดูกล้วนไม่เหลือทิ้งไว้
………………

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด