Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 695 แมลงเม่าบินเข้ากองไฟกับวีรบุรุษช่วยสาวงาม
“กับดัก!”สีหน้าของอาปี้ซีดลงทันใด ค่ายกลขนาดใหญ่ปิดผนึกพื้นที่บริเวณนี้เอาไว้ ทั้งยังมีผู้แข็งแกร่งมหาเวทเก้าคนนั่งบัญชาการอยู่ในนั้น นอกจากนี้ยังมีกองกำลังชั้นยอดเผ่าพ่อมดเถื่อนเป็นร้อยเป็นพันกระจายกำลังควบคุมอยู่ นี่มัน…เท่ากับทางตันอย่างไม่ต้องสงสัย!อาศัยเพียงกำลังของพวกเขา เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิงที่จะพลิกสถานการณ์เมื่อคิดถึงจุดนี้ ภายในของอาปี้จมดิ่งสู่ก้นบึ้ง ไยถึงเป็นเช่นนี้ไปได้…“นี่ไม่ใช่กับดัก น่าจะเพราะที่นี่เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ชักนำผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนจำนวนมากให้มุ่งหน้ามา พวกเราก็แค่มาได้จังหวะพอดีเท่านั้น”หลินสวินกล่าวอย่างสบายๆ“อย่างนั้นหรือ…”อาปี้นิ่งงัน คราวนี้ถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่า แม้จะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์สิ้นหวังเช่นนี้ เจ้าหน้ามนที่อยู่ข้างกายก็ยังคงมีท่าทางสงบนิ่ง สุขุมเยือกเย็นอยู่เช่นเดิมความเยือกเย็นประเภทนี้ ไม่มีทางเสแสร้งแกล้งทำออกมาได้แม้แต่น้อย‘เขา… ไม่กังวลใจเลยหรือ’อาปี้รู้สึกไม่อยากเชื่ออยู่บ้างแต่ไม่รอให้เขาตอบสนอง ในลานพลันมีเสียงเย็นเยียบและน่าเกรงขามเสียงหนึ่งดังก้องขึ้น “แค่กองกำลังผู้ฝึกปราณอิสระของจักรวรรดิเผ่ามนุษย์ขบวนหนึ่งเท่านั้น ยังกล้าริอ่านแตะต้องหุบเขาพยัคฆ์ ช่างไม่รู้จักดีชั่วจริงๆ”ผู้ที่เอ่ยคำคือชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ทั่วสรรพางค์กายของเขาอาบชุ่มด้วยสายฟ้าสีเลือด บนเรือนผมมีประจุไฟฟ้าสีแดงฉานปานโลหิตไหลพัน นัยน์ตาเปล่งประกาย ราวกับดวงอาทิตย์เลือดคู่หนึ่งกลางฝ่ามือเขากำเคียวสีเลือดขนาดมหึมาด้ามหนึ่ง คมเคียวราวกับจันทร์เสี้ยว ทว่ากลับแดงสดดุจโลหิต งามประหลาดและน่าขยาดกลัว“ผู้แข็งแกร่งมหาเวทสายคนเถื่อนอสนี…เสอเจิ้น!”สีหน้าหลิ่วเหวินเปลี่ยนไปอย่างมาก ร้องอุทานเสียงหลงเสอเจิ้น บุคคลร้ายกาจที่มีชื่อเสียงด้านความเหี้ยมโหดในสมรภูมิกระหายเลือด มีฉายาว่า ‘เคียวโลหิตฟ้าคำราม’ มาจากสายคนเถื่อนอสนี ครอบครองพลังระดับแห่งมหาเวทหลายปีมานี้ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิที่ตายด้วยน้ำมือของเสอเจิ้น อย่างน้อยก็มีถึงหลายพันคน!ใน ‘กระดานรางวัลค่าหัวระดับมหาเวท’ ที่ออกโดยค่ายทหารของจักรวรรดิ ชื่อของเสอเจิ้นก็อยู่ในนั้นด้วย ทั้งยังสูงถึงอันดับที่เจ็ดสิบสอง!นี่ย่อมเป็นมหาพิบัติคนหนึ่งอย่างสิ้นเชิง แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ในลานไม่ได้มีแค่เสอเจิ้น ยังมีผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนอื่นอีกแปดคนลำพังแค่กระบวนทัพเช่นนี้ ก็ทำให้ผู้คนสิ้นหวังแล้วไม่เพียงหลิ่วเหวิน สมาชิกหยาดน้ำค้างดาราคนอื่นๆ ต่างก็มือไม้เย็นเฉียบ ต่อให้ประสบการณ์สู้รบของพวกเขามากมายเพียงใด ภายใต้สถานการณ์สิ้นหวังเช่นนี้ ก็ไม่สามารถนำพาความเปลี่ยนแปลงอะไรมาสู่พวกเขาได้“เฮอะๆ คิดไม่ถึงเลยว่าในกองกำลังกระจอกงอกง่อยเช่นนี้ยังมีคนรู้จักข้าด้วย”เสอเจิ้นแสร้งหัวเราะ ทั่วร่างเขามีสายฟ้าสีเลือดไหลพุ่ง กลิ่นอายน่าสะพรึงที่คาวเลือดกดข่มผู้คน น่าพรั่นพรึงถึงที่สุดแม้จะเป็นหูทง ภายในใจก็อดถอนหายใจไม่ได้ รู้ว่าครั้นนี้หากคิดจะพลิกสถานการณ์ ความหวังนั้นแสนริบหรี่เต็มที“เจ้าหมอนี่มีชื่อเสียงมากหรือ”ไกลออกไป หลินสวินถามด้วยความประหลาดใจอาปี้จนคำพูดไปชั่วขณะ ภายในใจของนางร้อนรนกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก ไหนเลยจะเคยคิด ว่าจนป่านนี้แล้วคุณชายหลินผู้นี้ยังให้ความสนใจกับเรื่องพรรค์อยู่อีกอาปี้กล่าวอย่างรวดเร็ว “หมอนี่คือพวกโหดเหี้ยมที่จัดอยู่ในร้อยอันดับแรกในกระดานรางวัลค่าหัวระดับมหาเวท แค่มีชื่อเสียงเสียที่ไหน เป็นคนโด่งดังที่ขึ้นชื่อด้านความชั่วร้ายเลยชัดๆ! เรื่องพวกนี้เจ้าไม่เข้าใจหรอก เจ้าคิดก่อนดีกว่าว่าจะรอดชีวิตอย่างไร!”“พูดแบบนี้ ถ้าฆ่าเขาก็จะได้รับรางวัลเป็นกอบเป็นกำเลยใช่หรือไม่” หลินสวินคล้ายขบคิด“ฆ่าเขา?”อาปี้แทบเป็นบ้า อดไม่ไหวอยากแงะกบาลเจ้าหน้ามนออกมาดูว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ นี่มันเวลาใดแล้ว เขายังพูดล้อเล่นพรรค์นี้อยู่ได้!ไม่รู้ย่อมไม่กลัว หมายถึงคนประเภทนี้กระมัง“ได้ ไหนๆ ก็ใกล้ตายอยู่รอมร่อแล้ว ข้าจะบอกเจ้าเอง รางวัลค่าหัวของเสอเจิ้นคนนั้นคือเหรียญกล้าหาญชั้นรองสิบเก้าอัน รวมถึงผลึกวิญญาณชั้นสูงแปดพันชิ้น อาวุธวิญญาณระดับสวรรค์หนึ่งชุด โอสถวิญญาณรักษาบาดแผลชนิดพิเศษสิบขวด!”อาปี้กัดฟัน เจือท่าทางประหนึ่งไม่สนอะไรอีกแล้ว กล่าวว่า “หลายปีมานี้ ไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งตั้งเท่าไรหมายจะฆ่าชายคนนี้ แต่ท้ายที่สุดก็ลงเอยด้วยความล้มเหลว รางวัลค่าหัวยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ใครยังจะกล้าฝันถึงอีก”หลินสวินร้องอ้อหนึ่งคราแล้วไม่เอ่ยวาจาอีกคำว่า ‘อ้อ’ คำเดียวดูขอไปทีอย่างเห็นได้ชัด ทำให้อาปี้มีความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ประการหนึ่ง เจ้าหมอนี่… ไม่หวาดกลัวเลยสักนิดจริงๆ หรือเพียงแต่ตอนที่นางกำลังจะพูด ในหุบเขาพยัคฆ์บริเวณที่ห่างออกไป ก็ได้ยินเสียงสนั่นหวั่นไหวดังกึกก้องปานฟ้าคำราม…“พูดพล่ามมากมายขนาดนั้นทำไมกัน ฆ่าพวกแมลงวันนี่ก่อนค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย!”นั่นคือผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนอัคคีผู้หนึ่ง ทั่วกายรายล้อมด้วยเปลวเพลิงที่พุ่งทะยานสู่ฟ้า หยาบโลนและหยิ่งผยอง ดุจดั่งมารปีศาจที่ถือกำเนิดจากเปลวเพลิงตนหนึ่งเขานามว่าเหยียนชื่อเหิง เป็นพวกร้ายกาจคนหนึ่งเช่นเดียวกัน“สู้กับพวกมัน!”หูทงคำราม รู้ทั้งรู้ว่าสถานการณ์สิ้นหวัง ก็ยังขอสู้จนตัวตาย!“เฮอะ ก็แค่ไม้ซีกงัดไม้ซุงเท่านั้น!”เหยียนชื่อเหิงแค่นเสียงเย็นชา เงาร่างกลายเป็นทะเลเพลิงผืนหนึ่งในบัดดล พุ่งปกคลุมไปทางหูทง“ฆ่า!”แม้ตกสู่สถานการณ์สิ้นหวัง สมาชิกหยาดน้ำค้างดาราเหล่านั้นก็ไม่ได้ขี้ขลาดตาขาว เวลานี้แต่ละคนต่างดุดัน หมายต่อสู้สุดแรงเกิด ยอมตายดีกว่าก้มหัวให้ตูม!การต่อสู้ปะทุขึ้นในเวลานี้ เหยียนชื่อเหิงและหูทงเข้าโรมรันเข่นฆ่ากันส่วนหลิ่วเหวิน หยางสยงและคนอื่นๆ ล้วนถูกเสอเจิ้นเพียงคนเดียวขวางเอาไว้!ใช่แล้ว เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ควงเคียวสีเลือดขนาดมหึมาเล่มหนึ่ง ความกดดันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ออกมา ก็สามารถกำราบพวกหลิ่วเหวินได้อย่างสมบูรณ์เพียงแต่เขากลับไม่ได้รีบร้อนลงมือ กล่าวอย่างสบายๆ ว่า “คุกเข่าแทบเท้าข้า ข้าจะเว้นโทษตายแก่พวกเจ้า มอบการปฏิบัติเยี่ยงเชลยศึกให้”บัดนั้นหลิ่วเหวิน หยางสยงและคนอื่นๆ โกรธจนหน้าแดงเถือก เส้นเลือดตรงหน้าผากปูดโปน ความอัปยศอดสูทว่าเรียบง่ายเช่นนี้ กลับมีประสิทธิภาพมากที่สุดเดิมทีหลินสวินยังคิดจะดูเสียหน่อยว่าเจ้าพวกนี้จะตอบสนองอย่างไรเขาหาใช่เลือดเย็น หากแต่ตลอดทางถูกคนพวกนี้เหยียดหยามและเสียดสีหลายต่อหลายครั้ง จึงอยากยืมโอกาสครั้งนี้มาดูเสียหน่อยว่า เมื่อประสบความอัปยศอดสู เจ้าพวกนี้จะมีท่าทีอย่างไรใครจะไปคิดว่าเวลานี้อาปี้กลับเป็นคนแรกที่ทนไม่ไหวนางกัดฟันกรอด ด่าทอออกไป “เศษสวะชาติหมา กดขี่ข่มเหงกันเกินไปแล้ว!” จากนั้นก็กระชับค้อนยักษ์ด้ามนั้น เงาร่างไหววูบ พุ่งไปทางเสอเจิ้นซึ่งอยู่ไกลออกไปทันที“ผู้หญิงคนนี้นี่ช่าง…”หลินสวินส่ายหน้าอย่างจนปัญญาเล็กน้อย“ฮ่าๆ นางหนูอย่างเจ้าเลือดร้อนดีนี่ แต่ว่า เจ้าคิดตายปุบปับคงไม่ได้ จะต้องคุกเข่าให้ข้าก่อน!”เสอเจิ้นเองก็ค่อนข้างประหลาดใจ จากนั้นจึงหัวเราะเบาๆ นัยน์ตาฉายแววเหยียดหยามมาดร้ายวูบหนึ่ง เขายกมือขึ้นแล้วซัดออกไปตูม!รอยฝ่ามือสีเลือดผุดขึ้นในบัดดล กดทับอากาศ ครอบคลุมลงมา“หลบเร็ว!”หยางสยงและคนอื่นๆ ตกตะลึง ร้องตะโกนเสียงหลงแต่ไม่ทันแล้ว ปฏิกิริยาของอาปี้เถรตรงเกินไป เหมือนอุปนิสัยของนาง ตรงไปตรงมาและเฉียบขาดปึง!ทันทีที่อาปี้เงื้อค้อนขึ้น ก็ถูกรอยฝ่ามือสีเลือดซัดสะเทือนจนเจ็บไปทั้งร่าง กระดูกคล้ายจะแตกกระจาย ค้อนยักษ์ที่ชำรุดอยู่ก่อนแล้วในมือพลันส่งเสียงระเบิดอันท่วมท้นเหลือทนออกมา ถูกทำลายลงสิ้นซากนางในเวลานี้ดั่งแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องตายโดยไร้ข้อกังขา ทว่าความบ้าระห่ำที่เผชิญหน้ากับความตายนั้น กลับทำให้ผู้คนไม่อาจไม่สะเทือนอารมณ์“ไม้ซีกงัดไม้ซุงก็คงไม่พ้นเป็นเช่นนี้ คุกเข่าลงไป!”น้ำเสียงเฉยเมยของเสอเจิ้นดังขึ้น รอยฝ่ามือสีเลือดนั้นเจียนจะปกคลุมตัวอาปี้ ทำให้นางไร้ทางหลีกลี้นี่ก็คือพลังของผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทของเผ่าพ่อมดเถื่อน ประหนึ่งมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติ ต่อหน้าบุคคลระดับนี้ อาปี้ซึ่งมีเพียงปราณระดับหยั่งสัจจะ เห็นชัดว่าเป็นขี้ผงและไร้ค่ามากเกินไปโดยไม่ต้องสงสัยดวงตาของอาปี้ก่ำเลือด ดวงหน้างดงามดุร้ายเปี่ยมด้วยความเด็ดเดี่ยวและเคียดแค้น ไม่มีการถอยร่นแม้แต่น้อยต่อให้ตาย นางก็ไม่ยอมจำนน!เพียงแต่…พอคิดถึงว่าความแค้นของพี่ชายยังไม่ทันชำระ ก็ต้องมาตายไปทั้งอย่างนี้ กลับทำให้อาปี้รู้สึกไม่ยินยอมอย่างบอกไม่ถูกนี่คือปมในใจของนางน่าเสียดาย… ดูเหมือนว่าจะไม่มีเวลาได้แก้ปมเสียแล้ว…อาปี้ถอนหายใจอยู่ในอกในตอนนี้ เวลาเสมือนว่าแสนยาวนาน ถึงขั้นที่นางสังเกตเห็นว่าผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนจำนวนมากที่อยู่ไกลออกไป ต่างผุดรอยยิ้มมาดร้ายและโหดเหี้ยมออกมามองเห็นหูทงที่ต่อสู้อย่างดุเดือดกับเหยียนชื่อเหิง กำลังมองมาทางตนด้วยความเดือดดาลและร้อนรนและมองเห็นใบหน้าโกรธแค้นแต่ทำอะไรไม่ได้ของพวกหยางสยง…แล้วก็หลิ่วเหวิน…เขา…เหตุใดเขาถึงเป็นเช่นนี้!?ชั่วแล่น หัวใจของอาปี้พลันเย็นเยียบไปทั้งดวง นางมองเห็นภาพที่ทำให้ตื่นตระหนกจนหนาวเยือกไปทั้งใจ…จากนั้น ทั้งหมดล้วนอันตรธานลับไป เหลือเพียงรอยฝ่ามือสีเลือดที่ปะทะเข้ามา ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในครรลองสายตาคิดจะให้ข้าคุกเข่าหรือฝันไปเถอะ!นัยน์ตาของอาปี้เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง คล้ายคิดจะทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้พรึ่บ!ทว่าในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ รอยฝ่ามือสีเลือดที่ขยายใหญ่ขึ้นไม่ว่างเว้นในครรลองสายตานาง กลับถูกโจมตีจนเกิดเป็นรูโบ๋ จากนั้นพลันแตกกระจายต่อหน้าต่อตาพร้อมกันนั้นอาปี้รู้สึกว่าร่างเบาหวิว พลันถูกวงแขนทรงพลังข้างหนึ่งโอบกอดไว้ และหายตัวไปจากจุดเดิมถูกช่วยแล้ว?อาปี้มึนงงอยู่บ้าง เพียงแต่เมื่อมองเห็นคนที่ช่วยชีวิตตัวเองได้เต็มตานั้น นางยิ่งเกือบคิดว่าตัวเองตาลายเข้าไปใหญ่“ทำไม… เป็นเจ้า?”คนผู้นั้นถึงกับเป็นเจ้าหน้ามนคนนั้น!ไม่เพียงอาปี้เท่านั้น เวลานี้ทั่วลานเกิดสียงฮือฮาดังขึ้นระลอกหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกหยาดน้ำค้างดาราเหล่านั้น หรือผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อน แต่ละคนล้วนเบิกตากว้าง มีสีหน้าตื่นตะลึงเกินบรรยายแทบไม่มีใครคาดคิด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถึงขั้นมีคนสามารถเอาชนะฝ่ามือของเสอเจิ้นผู้มีฉายาว่า ‘เคียวโลหิตฟ้าคำราม’ ได้อีกทั้งยังเป็นเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งด้วย!นี่เห็นได้ชัดว่าน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ทำให้บรรยากาศทั่วลานแข็งทื่อไปชั่วขณะโดยเฉพาะพวกหยางสยง หลิ่วเหวิน ลูกตาแทบปลิ้นออกมา ตีให้ตายก็ไม่กล้าเชื่อว่าคุณชายลูกผู้ดีที่ถูกพวกเขามองเป็นหนอนดูดเลือดแห่งจักรวรรดิ ไม่มีประโยชน์สักนิด เป็นตัวภาระที่พาให้ผู้คนชิงรังคนนี้ ถึงขั้นช่วยชีวิตอาปี้เอาไว้ในเวลานี้!นี่มันเหลวไหลเกินไปแล้ว!เป็นไปได้อย่างไรกัน“ตอนนี้ เปลี่ยนเป็นข้าคุ้มครองเจ้า”หลินสวินเมินเฉยต่อสิ่งเหล่านี้ เขาวางอาปี้ลงแล้วตบไหล่นางเบาๆสีหน้าของอาปี้ในตอนนี้คงต้องใช้คำว่า ‘สับสนงุนงง อึ้งค้างตะลึงงัน’ มาบรรยาย นางนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้นแม้แต่นางก็ยังคิดไม่ถึง คนที่ช่วยชีวิตตนเอาไว้ ไม่ใช่พวกพ้องเหล่านั้น แต่เป็นเจ้าหน้ามนที่ถูกนางปกป้องมาตลอดทางคนนี้…“ดูไม่ออกเลย ถึงขนาดให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งมาเล่นปาหี่เป็นวีรุบุรุษช่วยสาวงามต่อหน้าข้าเชียว เฮอะๆ แต่วันนี้ ไม่ว่าจะเป็นวีรุบุรุษหรือสาวงาม เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า ก็ได้แต่คุกเข่ารอข้ามอบความเป็นหรือตายให้เท่านั้น!”สีหน้าเสอเจิ้นราบเรียบ น้ำเสียงสบายอารมณ์เด็กหนุ่มคนหนึ่งสามารถทำลายการโจมตีแบบส่งๆ ของเขาได้ ถึงจะเหนือความคาดหมาย แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจด้วยซ้ำ“เศษสวะอย่างเจ้า ข้าฆ่ามาไม่ใช่แค่หนึ่งคน วันนี้เพิ่มอีกสองสามคนก็ไม่เห็นเป็นไร” หลินสวินทอดสายตามองไป นัยน์ตาดำสนิทลึกล้ำ“เจ้าพวกมดปลวก ถึงคราวตายแล้วยังคุยโวโอ้อวดอีก!”เสอเจิ้นเหมือนรู้สึกขันยิ่งนัก เขาสะบัดแขนเสื้อ สายฟ้าสีเลือดแถบหนึ่งทะยานออกมา ทลายอากาศ เผด็จการและน่ากลัว พุ่งกำราบไปทางหลินสวิน——
คอมเม้นต์