Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 673 ตระกูลหลินในปัจจุบัน
เมื่อพวกหลินสวินกลับมาก็ได้รับการต้อนรับจากทุกคนบนภูเขาชำระจิต ความยิ่งใหญ่เช่นนี้ในอดีตไม่เคยมีมาก่อนมองไปยังใบหน้าแต่ละหน้าที่บ้างเคารพเทิดทูน บ้างรื่นเริง บ้างฮึกเหิม บ้างตื่นเต้น มองไปยังทุกเงาร่างที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้าในใจหลินสวินก็มีความรู้สึกที่ยากบรรยาย สามปีผ่านไป ศึกภายในของตระกูลหลินก็คลี่คลายลงได้ในที่สุดส่วนศัตรูภายนอกเหล่านั้น ต่อแต่นี้ไปก็จะไม่กล้ามาล่วงเกินอย่างง่ายดายอีกเมื่อนึกถึงประสบการณ์สามปีมานี้ หลินสวินก็ประกาศขึ้นตรงนั้นว่า อีกสามวันจะจัดการประชุมตระกูลครั้งแรกหลังจากตระกูลหลินรวมเป็นหนึ่ง!ตั้งแต่กลับนครต้องห้ามมาเมื่อวานมาถึงวันนี้ ในคืนเดียวเกิดเรื่องขึ้นมากมายนัก หลินสวินเองก็ต้องการเวลามาจัดการเสียหน่อยเพิ่งรวมตระกูลหลินให้เป็นหนึ่งได้ จำเป็นต้องใช้เวลาปรับให้เข้ากัน รวมถึงกำหนดระเบียบและการจัดการเสียใหม่……เวลาสามวันชั่วพริบตาเดียวก็หายไปเช้าตรู่ ณ ภูเขาชำระจิต ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เสี่ยวเหยียนก็แต่งตัวเรียบร้อยอยู่ก่อนแล้ว ผลักประตูออกมา“คารวะผู้ดูแล”“ผู้ดูแลเสี่ยวเหยียน ต่อไปเจ้าต้องดูแลพวกเราพี่น้องในอดีตมากๆ นะ”“เสี่ยวเหยียน คืนนี้มาดื่มเหล้าด้วยกัน ข้าสั่งอาหารชั้นเลิศโต๊ะหนึ่งจากร้านหอทรงสมบัติ คืนนี้จะรอเจ้าให้เกียรติมาเยี่ยมเยียน”ตลอดทาง ข้ารับใช้บางคนได้พบเสี่ยวเหยียน ทุกคนต่างทักทายเขาอย่างแข็งขัน มีสีหน้าประจบสอพลอไม่มากก็น้อยเสี่ยวเหยียนเพียงแต่ร้องอืมตอบรับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้สนใจมากนักแล้วเดินห่างออกมาแท้จริงแล้วในใจเขาทั้งตื่นเต้นและดีใจอยู่บ้าง ไม่กี่เดือนก่อนเขายังเป็นข้ารับใช้ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ทำแต่งานจิปาถะอย่างรินชาเทน้ำ รดน้ำต้นไม่ถอนหญ้าแต่เมื่อวานนี้เขาถูกเจ้านายท่านหนึ่งเลือกออกมา แล้วยกให้เป็นผู้ดูแลคนหนึ่ง รับผิดชอบดูแลข้ารับใช้ชายหญิงสามสิบคนสำหรับเสี่ยวเหยียนแล้ว นี่ก็เท่ากับหนึ่งก้าวทะยานฟ้าอย่างไม่ต้องสงสัย‘จะตื่นเต้นไม่ได้ ต้องหนักแน่นเข้าไว้ ตอนนี้จะผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด…’ เสี่ยวเหยียนเตือนตัวเองในใจ“ถุย! เด็กน้อยที่ขนยังขึ้นไม่หมดคนหนึ่ง เพียงแค่ตอนทำงานเมื่อวานถูกใจผู้ดูแลใหญ่หม่าหย่งเท่านั้น ถึงได้ทำให้เขาก้าวกระโดดไปอยู่ระดับผู้ดูแลแล้ว โชคดีเสียจริงโว้ย”เมื่อเสี่ยวเหยียนจากไป ข้ารับใช้บางส่วนก็บ่นอย่างไม่พอใจ สีหน้าอิจฉาริษยาไม่อาจปกปิดได้ทั้งยังมีข้ารับใช้ที่แต่ก่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเสี่ยวเหยียนกำลังครุ่นคิดว่า ภายหลังจะต้องปฏิบัติกับเสี่ยวเหยียนอย่างดี ไม่แนว่าอาจจะอาศัยโอกาสนี้ลืมตาอ้าปาก!ทั้งหมดนี้เสี่ยวเหยียนไม่ล่วงรู้เลย เวลานี้เขามาถึงหน้าห้องของผู้ดูแลใหญ่หม่าหย่งเขาจัดเสื้อผ้าอย่างถี่ถ้วน จากนั้นสูดหายใจลึก โค้งคำนับอยู่หน้าประตู รอคอยอย่างเงียบเชียบไม่นานนักประตูห้องที่ปิดสนิทก็เปิดออก เผยให้เห็นร่างผอมบางของผู้ดูแลใหญ่หม่าหย่ง“เสี่ยวเหยียน เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”หม่าหย่งประหลาดใจ เขาสังเกตได้อย่างฉับไวว่าบนปลายผมเสี่ยวเหยียนเปื้อนน้ำค้างอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่ารออยู่นานแล้ว“เมื่อวานข้าดีใจที่ได้รับความกรุณาจากผู้ดูแล ใจข้าน้อยเคารพและเกรงกลัวยิ่ง ไม่รู้ว่าจะขอบคุณและทดแทน…”ไม่ทันพูดจบหม่าหย่งก็ร้องอ้อ แล้วตัดบทว่า “เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้ ข้าเลื่อนขั้นเจ้า ก็เพราะเจ้าเป็นคนฉลาดคล่องแคล่ว มีศักยภาพมาก แข็งแรงกว่าผู้อื่นไม่น้อย”เสี่ยวเหยียนรีบนำถุงเก็บของที่เตรียมไว้นานแล้วถุงหนึ่งออกมา ใช้สองมือส่งให้อย่างเคารพ “ผู้ดูแล นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อยจากเสี่ยวเหยียน ขอท่านรับไว้ด้วย”ภายในถุงนี้ใส่เงินไว้หนึ่งพันเหรียญทอง เป็นเงินที่เขาสะสมเหรียญแล้วเหรียญเล่าอย่างลำบากยากเย็นในช่วงหลายปีนี้ ตอนนี้ยามนำทรัพย์สินเหล่านี้ออกมา ใจเขาก็เจ็บปวดอยู่รางๆแต่เขาไม่สนใจแล้ว เพื่อฐานะที่ดียิ่งขึ้นในภูเขาชำระจิตในภายภาคหน้า สิ่งที่จ่ายออกไปนี้ก็เป็นเรื่องเล็กน้อยแต่กลับเห็นว่าหม่าหย่งสีหน้าถมึงทึง ฝ่ามือข้างหนึ่งตบถุงเก็บของตกไปที่พื้น ตวาดเสียงแข็งว่า “เจ้าหนู นี่เจ้ากำลังทำร้ายข้า!”เสี่ยวเหยียนจิตใจสั่นระรัว สีหน้าซีดเผือด ทำตัวไม่ถูก เขาจะคิดได้ที่ไหนว่า มอบของขวัญให้กับผู้ดูแลใหญ่ครั้งแรกก็พบกับเรื่องแบบนี้หม่าหย่งสูดหายใจลึก ตักเตือนอย่างเย็นชาว่า “จำไว้! ที่นี่คือตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต ข้าถูกใจศักยภาพของเจ้า ไม่ได้ทำเพื่อให้เจ้ามามอบของเล่นพรรค์นี้! หากเจ้าซาบซึ้งข้าจริง ก็ใช้ความสามารถทั้งหมดของเจ้าทำงานเพื่อตระกูลหลินของพวกเราอย่างเต็มกำลัง หากกล้าทำตัวเจ้าเล่ห์เช่นนี้อีก ข้าจะไล่เจ้าออกจากภูเขาชำระจิตทันที!”เสี่ยวเหยียนตกใจจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว ยิ่งกระสับกระส่ายและหวาดผวาแล้ว รีบร้อนร้องออกมาว่า “เสี่ยวเหยียนไม่กล้าแล้วขอรับ ขอผู้ดูแลละเว้นข้าสักครั้ง!”หม่าหย่งสีหน้าอ่อนลง ตบไหล่เสี่ยวเหยียนแล้วพูดว่า “เจ้าหนู เจ้าก็รู้ว่านครต้องห้ามในตอนนี้ มีคนอยากจะเข้ามาเป็นข้ารับใช้ในตระกูลหลินของพวกเรามายมายเท่าไร มากเสียจนนับไม่ถ้วน! ทุกวันมีคนต่อแถวไกลไปสิบลี้!”“เพราะตระกูลหลินของพวกเราไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว มีผู้นำตระกูลอยู่ ขนาดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงยังไม่กล้าล่วงเกินพวกเรา นี่แข็งแกร่งขนาดไหน พูดอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิดว่า ต่อไปตระกูลหลินของพวกเราก็มีแต่จะดียิ่งขึ้นไป จะกลับไปอยู่ระดับตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงวันไหนก็ไม่รู้ได้! ตอนนี้ หากข้ารับเงินน้อยนิดที่เจ้ามอบให้ เช่นนั้นจะต่างอะไรกับตัดหนทางข้างหน้าของตัวเองเล่า”ตอนนี้เสี่ยวเหยียนถึงมั่นใจในที่สุดว่า สาเหตุที่ผู้ดูแลหม่าหย่งไม่รับเงิน ที่แท้ก็คิดเหมือนกับตน คือเพื่อให้ยืนอยู่ในตระกูลหลินในอนาคตได้อย่างสูงและมั่นคงยิ่งขึ้น!“ไปเถอะ วันนี้เป็นวันที่ผู้นำตระกูลเรียกประชุมตระกูล ในเวลาเช่นนี้ พวกเราเหล่าคนชั้นล่างและข้ารับใช้จะเกิดข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวไม่ได้เด็ดขาด หากวันนี้เจ้าแสดงความสามารถจนทำให้ข้าพอใจได้ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ข้าก็จะปล่อยให้แล้วกันไป”ยามหม่าหย่งเอ่ยก็เดินไปข้างหน้าอย่างรีบเร่งเสี่ยวเหยียนรีบร้อนตามไป“อ๊ะ หัวหน้าพ่อบ้านหลินจง ท่านมาก่อนแล้วหรือ”ไม่นานนักเสี่ยวเหยียนก็อึ้งไป ก็เห็นว่าผู้ดูแลหม่าหย่งที่ตนนับถือที่สุด เวลานี้กลับวิ่งเหยาะๆ ไปตลอดทาง ใบหน้าระบายรอยยิ้มกระตือรือร้นและถ่อมตัว โค้งกายคารวะชายชราผู้หนึ่ง เคารพยำเกรงอย่างบอกไม่ถูก‘ผู้ดูแลเขา..’ เสี่ยวเหยียนงงงวยแล้วในใจเขา หม่าหย่งก็เหมือนเทพเจ้าในหมู่ข้ารับใช้ อำนาจยิ่งใหญ่ ฐานะสูงส่งเสี่ยวเหยียนลอบปลุกปลอบใจตนเสอมมาว่า ชีวิตนี้หากได้ขึ้นถึงตำแหน่งนั้นของผู้ดูแลหม่าหย่ง ถึงตายก็ไม่เสียดายแล้วแต่ตอนนี้เมื่อเห็นท่าทางอ่อนน้อมเช่นนี้ของหม่าหย่ง กลับนำความหวั่นไหวและกระทบกระเทือนอย่างบอกไม่ถูกมาสู่จิตใจของเสี่ยวเหยียน“ยังมัวอึ้งอะไรอยู่ รีบมาคารวะหัวหน้าพ่อบ้านหลินจงสิ!” หม่าหย่งหันหน้ามาตวาดใส่เสี่ยวเหยียนเสี่ยวเหยียนรีบร้อนมาคารวะ ในใจกลับเหมือนมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ ในที่สุดก็นึกออกว่าหัวหน้าพ่อบ้านหลินจงเป็นใครแล้วคนผู้นี้เป็นถึงบุคคลยิ่งใหญ่ที่ปรนนิบัติข้างกายผู้นำตระกูล! ลือกันว่าหัวหน้าพ่อบ้านหลินจงยังเคยรับใช้ผู้นำตระกูลรุ่นก่อน สถานะในภูเขาชำระจิตสูงส่งจนน่าตกใจ!ในใจของข้ารับใช้ในภูเขาชำระจิตเหล่านั้น หลินจงช่างเหมือนบุคคลบนฟ้า!หลินจงชำเลืองมองหม่าหย่งกับเสี่ยวเหยียนปราดหนึ่ง ก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “วันนี้ต้องกระฉับกระเฉง ทำงานดีๆ นะ”พูดจบก็หันกายจากไปหม่าหย่งรีบค้อมกายส่ง กระทั่งหลินจงเดินไปไกล เวลานี้หม่าหย่งถึงได้ยืดตัวขึ้นมา พูดอย่างทอดถอนใจว่า “เสี่ยวเหยียน เห็นหรือยัง หัวหน้าพ่อบ้านหลินจงจึงจะเป็นเป้าหมายที่ข้าต่อสู้ดิ้นรน หากชีวิตนี้สามารถเก่งได้สักสามส่วนของเขา ข้าตายไปก็ไม่เสียดายแล้ว”เสี่ยวเหยียนตกตะลึง ในใจปั่นป่วน เขาไม่ได้บอกหม่าหย่งว่าตั้งแต่นี้ไป เขาก็มองหลินจงเป็นจุดสูงสุดที่เขาปรารถนาจะไปถึงในชีวิตนี้แล้ว!เมื่อหม่าหย่งพาเสี่ยวเหยียนมาถึงยอดเขาชำระจิต แม้ว่าฟ้าเพิ่งสว่าง แต่บนที่ราบเหนือภูเขากว้างใหญ่หาใดเทียบนั้นมีเงาร่างยืนเต็มไปหมดอยู่ก่อนแล้วคนในตระกูลหลินสายรองสี่สาย แสงอุดร ธารประจิม คานเมฆา และยอดวายุล้วนรออยู่ที่นั่นอย่างเป็นระเบียบนานแล้วทุกคนสีหน้าเคร่งขรึม ไม่กล้าพูดจาเหิมเกริม รออยู่เงียบๆ มีเพียงเสียงหวีดหวิวของลมภูเขายามเช้าตรู่ดังก้องนอกจากนี้เหล่าชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋น รวมถึงผู้เฒ่าเตียว หยางหลิง และชื่อเซวี่ยก็ล้วนมาถึงยอดเขา เงาร่างแน่นขนัด กลับไม่มีเสียงอึกทึกหรือความวุ่นวาย บรรยากาศดูน่าเกรงขามยิ่งเสี่ยวเหยียนจิตใจกระตุกวูบ เขามีฐานะเป็นข้ารับใช้มาตลอด จึงเพิ่งเคยเห็นคนใหญ่คนโตมากมายขนาดนี้ครั้งแรก ทำให้เขาตื่นเต้นจนหายใจไม่สะดวกเขากับหม่าหย่งยืนอยู่บริเวณสุดชายขอบของฝูงชน ขณะเดียวกันในบริเวณนี้ยังมีสาวใช้ ผู้ดูแลและข้ารับใช้บางส่วนรวมตัวอยู่ที่ทำให้เสี่ยวเหยียนดวงตาแข็งทื่อก็คือ เวลานี้ด้านหน้าสุดของที่นั้น ขนาดเหล่าบุคคลชั้นสูงของภูเขาชำระจิตอย่างพวกหัวหน้าพ่อบ้านหลินจง หลินไหวหย่วนแห่งแสงอุดร และเสี่ยวเคอก็มาก่อนแล้ว ไม่สายเลยสักคน ทั้งไม่มีใครกล้ากระซิบกระซาบส่วนหม่าหย่งที่อยู่ข้างเสี่ยวเหยียนก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน เพราะเขาได้เห็นผู้อาวุโสแห่งแสงอุดรหลินเป่ยกวง ผู้อาวุโสแห่งธารประจิมหลินซีซี รวมถึงผู้อาวุโสแห่งคานเมฆาหลินอวิ๋นเหิง คนใหญ่คนโตรุ่นอาวุโสเหล่านี้ก็ปรากฏตัวแล้ว!ด้วยฐานะของพวกเขาล้วนสามารถเข้าโถงมาอย่างผ่าเผย และนั่งร่วมประชุมตระกูลครั้งนี้ได้ แต่เวลานี้พวกเขากลับยืนรออยู่ตรงนั้นเหมือนคนอื่น!‘อำนาจของผู้นำตระกูล แค่ดูจากสิ่งนี้ก็รู้แล้ว!’หม่าหย่งลอบทอดถอนใจ ในสมองอดนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ประหนึ่งตำนานของผู้นำตระกูลของตนไม่ได้ ในใจมีความเคารพเทิดทูนท่วมท้นขึ้นมาแกร๊ง!เมื่อแสงอุษายามเช้าตรู่ปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า สาดส่องใต้หล้า เสียงระฆังทรงพลังเสียงหนึ่งก็ดังเนิบนาบขึ้นบนยอดเขาชำระจิตทุกคนในที่นั้นจิตใจสั่นสะท้าน สีหน้ายิ่งเคร่งขรึม แต่สายตาของพวกเขากลับพากันมองไปยังบันไดตรงตำหนักชำระจิตนั้นบรรยากาศในเวลานี้ถึงกับมีความรู้สึกหนักแน่นศักดิ์สิทธิ์น่ายำเกรงเงาร่างสูงโปร่งอาบแสงยามเช้า เดินออกมาจากตำหนักภายใต้สายตาของฝูงชนเขาแต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาวพระจันทร์ทั้งตัว ผมดำปลิวไสว คิ้วตรงแน่วดั่งกระบี่ ใบหน้าหล่อเหลาหนักแน่นเรียบเฉยและสงบนิ่ง เงาร่างสันโดษเหนือโลกา บังเกิดเป็นภาพราวนิมิตใต้แสงอุษาระวห่างที่กำลังเหม่อลอย ทำให้คนนึกว่าเขาเป็นเทพจุติองค์หนึ่ง เดินออกมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ มีความน่าเกรงขามไร้รูปร่างที่สามารถสั่นสะท้านจิตวิญญาณ“คารวะผู้นำตระกูล!”เวลานี้ทุกคนในที่นั้นล้วนพากันคารวะโดยไม่ได้นัดหมาย เสียงซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้นราวกลองใหญ่ที่สั่นสะเทือนฟ้าดินหลินสวินในตอนนี้กกวาดสายไปทั่วทั้งที่นั้น ในใจกลับกำลังคิดว่าหากบิดาและมารดาที่ตนไม่เคยพบหน้ามาก่อนได้เห็นภาพนี้ จะรู้สึกยินดีหรือไม่โดยไม่ได้ตั้งใจ หลินสวินสังเกตเห็นว่าที่หางตาของลุงจงมีหยดน้ำตาที่ไม่อาจสังเกตได้ง่าย สีหน้าเขาเหม่อลอยทั้งหวั่นไหว อาจจะเป็นเหมือนตน กำลังนึกถึงบิดามารดาของตนอยู่กระมังนิ่งเงียบครู่ใหญ่ เวลานี้หลินสวินถึงได้สูดหายใจลึก ดวงตาหันไปทางตะวันยามเช้าตรู่ กวาดมองไปทั่วทั้งที่นั้นแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ตอนนี้ตระกูลหลิน… ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว!”ในเสียงนั้นมีทั้งความยินดีและความภาคภูมิที่เห็นได้ยาก ราวอสนีบาตเก้าชั้นฟ้าดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน ไหวกระเพื่อมภายในจิตใจของทุกคน__
คอมเม้นต์