Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 624 พบอุปสรรคเมื่อเข้าเยี่ยม
หวูดๆๆ!เสียงแตรสัญญาณคลุมเครือดังขึ้นเหนือผิวน้ำ กองทัพยิ่งใหญ่เกรียงไกรกองหนึ่งเคลื่อนมาแต่ไกลนั่นคือตะพาบเขียวมหึมาหาใดเทียบตัวหนึ่ง ยาวราวพันจั้ง แล่นไปในทะเลเหมือนแผ่นดินที่ล่องลอยอยู่ผืนหนึ่งบนหลังตะพาบเขียวแบกตำหนักสูงเก้าชั้นตำหนักหนึ่งไว้อยู่ ทั้งตำหนักประหนึ่งสร้างขึ้นจากหยกขาว อวลไปด้วยรัศมีเจิดจ้าไพศาลใต้แสงอุษาเสียงแตรสัญญาณระลอกแล้วระลอกเล่าก็ดังมาจากตำหนักหยกขาวนั้นเมื่อพินิจดู ที่สองข้างของตะพาบเขียวมหึมานั้นยังมีทหารอารักขาพร้อมออกศึกสองแถว ชุดเกราะสะท้อนแสงวาววับส่องประกาย พวกเขาเดินเหยียบย่างบนคลื่น ธงศึกปลิวไสวตามลม มีกลิ่นอายน่าเกรงขามบนผิวน้ำสีฟ้าครามที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตนี้ กองทัพเช่นนี้กองหนึ่งปรากฏขึ้นกะทันหัน ย่อมดึงดูดสายตาเป็นพิเศษ“หอหยกขาวนพนภา! หรือว่า… หรือว่าผู้อาวุโสก็มาด้วยตัวเองแล้ว”อูยั่งตัวสั่นเทา ในดวงตาปรากฏแววตื่นตระหนก“ผู้อาวุโสหรือ”ดวงตาสีดำของหลินสวินฉายประกายเจิดจ้า “หรือจะเป็นคนใหญ่คนโตที่กลับสู่เผ่าตะพาบเขียวของพวกเจ้าเมื่อหลายปีก่อนผู้นั้น”“เหตุใดเจ้าถึงรู้”อูยั่งประหลาดใจหลินสวินยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร ในใจกลับลอบทอดถอนใจ บังเอิญเสียจริง“อูยั่ง เจ้าไม่ได้ตามหาที่อยู่ของนางอสูรมารผู้นั้นหรือ เหตุใดถึงอยู่ที่นี่เวลานี้ แล้วเจ้าสองคนนั่นเป็นใครอีก”ไม่นานนักกองทัพใหญ่โตนั้นก็เข้าประชิด ชายวัยกลางคนมากความสามารถยืนอยู่บนหลังตะพาบเขียว เอ่ยซักถาม“คารวะผู้ดูแลใหญ่!”อูยั่งรีบร้อนคารวะ แล้วพูดอย่างเคารพว่า “คุณชายสองท่านนี้มาขอเข้าพบบุตรเทพของรับ”“เข้าพบบุตรเทพหรือ”ดวงตาราวสายฟ้าของผู้ดูแลใหญ่กวาดมองหลินสวินกับเจ้าคางคกปราดหนึ่ง นิ่วหน้าแล้วเอ่ยว่า “ช่างเถอะ พวกเจ้าขึ้นมาแล้วค่อยว่ากัน”ทันใดนั้นหลินสวินเก็บเรือลำน้อย เหยียบย่างขึ้นไปบนตะพาบเขียวตัวนั้นกับเจ้าคางคกจากนั้นกองทัพนี้ก็มุ่งหน้าไปในทะเลต่อ ไม่ได้ชักช้า“ไม่ทราบว่าคุณชายทั้งสองท่านนามว่ากระไร และมาขอเข้าพบบุตรเทพเผ่าเราด้วยเรื่องใด”ผู้ดูแลใหญ่เอ่ยถาม“ขออภัย เดิมข้าคิดจะเข้าพบบุตรเทพเผ่าท่าน แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว ต้องการเข้าพบผู้อาวุโสเผ่าท่านเสียหน่อย”หลินสวินกุมมือคารวะพลางพูดใครจะคิดว่าผู้ดูแลใหญ่สีหน้าตะลึงงัน เหมือนไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง เอ่ยว่า “พวกเจ้า… ต้องการพบผู้อาวุโสหรือ ทั้งสองคงไม่ได้ล้อเล่นกระมัง”เด็กหนุ่มแปลกหน้าสองคนมาเยือน และต้องการจะพบผู้อาวุโวเผ่าตะพาบเขียวโดยกะทันหัน นี่ช่างดูน่าขันไปแล้ว“พวกเจ้า… พวกเจ้า… เหตุใดถึงได้เปลี่ยนใจล่ะ”อูยั่งก็อึ้งไป สั่นเทาไปทั้งตัว คนระดับผู้อาวุโสใครก็พบได้ส่งเดชหรือ เจ้าสองคนนี้จะบ้าบิ่นไปแล้วกระมังหลินสวินเอ่ย “ยังขอให้ผู้ดูแลใหญ่ไปเรียนให้ทราบ บอกว่าเพื่อนเก่ามาหา เชื่อว่าผู้อาวุโสเผ่าท่าน…”“บังอาจ!”ไม่ทันพูดจบผู้ดูแลใหญ่ก็สีหน้าถมึงทึง “ข้าว่าพวกเจ้ามาหาเรื่องเสียกระมัง เห็นเผ่าตะพาบเขียวเป็นอะไรกัน อย่างพวกเจ้าก็กล้าละเมอเพ้อพกเรียกผู้อาวุโสเผ่าข้าว่าเพื่อนเก่าหรือ ใครให้ความกล้ากับพวกเจ้ากัน!”เขาหงุดหงิดเต็มทีแล้ว ผู้อาวุโสของพวกเขามีฐานะขั้นไหน จะมาเป็นเพื่อนกับเด็กหนุ่มที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าสองคนนี้ได้อย่างไรช่างน่าขัน!สีหน้าของทหารอารักขาเผ่าตะพาบเขียวที่อยู่ใกล้กันบางคนเปลี่ยนเป็นไม่เป็นมิตร“เจ้ากำลังสงสัยพวกเราหรือ” เจ้าคางคกสีหน้าเคร่งขรึม“เฮอะ! คนเสียสติเช่นพวกเจ้า หลายปีมานี้ข้าเห็นมาไม่รู้เท่าไรแล้ว ขอเตือนให้พวกเจ้ารีบออกไปเสีย หาไม่แล้วอย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจ!”ผู้ดูแลใหญ่ตวาด ยิ่งไม่เกรงใจแล้วหลินสวินพลันจนใจอยู่บ้าง พูดอย่างจริงจังว่า “ไม่ว่าจริงหรือเท็จ ข้าเพียงหวังว่าสหายยุทธ์จะช่วยไปเรียนเสียหน่อย…”ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกตัดบทอีกครั้ง ผู้ดูแลใหญ่สีหน้าเย็นชา เอ่ยเสียงดุดันว่า “ทหาร ไล่พวกมันออกไป หากกล้าต่อต้านก็ฆ่าซะ!”“ขอรับ!”กลุ่มทหารอารักขาที่อยู่ใกล้กันแทบอดรนทนไม่ไหวอยู่ก่อนแล้ว เมื่อได้ยินก็พลันรับคำสั่ง สายตามองไปยังหลินสวินและเจ้าคางคกด้วยจิตสังหารพลุ่งพล่านหลินสวินอดนิ่วหน้าไม่ได้ และในตอนนี้เอง เสียงต่ำลึกเสียงหนึ่งดังออกมาจากในหอหยกขาวนพนภา “ใครเอะอะกัน ไม่รู้หรือว่าผู้อาวุโสกำลังทำสมาธิ”“ขอบุตรเทพคลายโทสะ มีคนสองคนก่อเรื่อง ประเดี๋ยวจะคลี่คลายแล้วขอรับ”ผู้ดูแลใหญ่รีบร้อนแจกแจง“มีคนก่อเรื่องหรือ”เสียงสวบดังขึ้น ก็เห็นว่าเงาร่างสูงใหญ่เคลื่อนมาจากตำหนัก สายตาราวอัสนีมองไปยังที่เกิดเหตุคนคนนี้สวมอาภรณ์หรูหราสีเขียวเข้ม คิ้วตรงแน่วราวกระบี่ ดวงตาราวดารา ท่วงท่าเหนือธรรมดา มีสง่าราศีโดดเด่น ดวงตาเจิดจ้าทั้งสองราวสายฟ้า“คารวะบุตรเทพ!”ทุกคนในที่นั้นล้วนคารวะ สีหน้าเคารพยกย่องเห็นได้ชัดว่าเขาก็คือชิงอวิ๋นหยางบุตรเทพเผ่าตะพาบเขียว!“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”ชิงอวิ๋นหยางนิ่วหน้า ดวงตาจดจ้องไปที่ร่างของหลินสวินกับเจ้าคางคก พบว่าทั้งสองคนไม่หวาดกลัวเลยสักนิด กลับดูสงบนิ่งมั่นคง นี่ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบมาพากลอยู่บ้างผู้ดูแลใหญ่ร้อนรนก้าวมาข้างหน้า แจกแจงเสียงเบา“ต้องการเข้าพบผู้อาวุโสหรือ”ชิงอวิ๋นหยางก็ประหลาดใจ ดวงตาฉายแววเย็นเยียบ ยามมองไปยังพวกหลินสวินอีกครั้ง ท่าทีก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา“อูยั่ง สองคนนี้เป็นเจ้าพากลับมา เจ้าพูดซิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”ชิงอวิ๋นหยางเอ่ยถามเมื่อถูกสายตาของเขาจับจ้อง อูยั่งเหงื่อกาฬผุดพรายไปทั้งตัว ตกใจจนหน้าซีดขาว ขวัญหนีดีฝ่อ คุกเข่าเสียงดังตุ้บลงไปกับพื้นหลินสวินหรี่ตา ลอบร้องว่าแย่แล้ว อูยั่งผู้นี้เป็นคนขี้ขลาดโดยแท้ ไม่มีความกล้าอะไรที่พอจะพูดได้เลย หากเขาเล่าเรื่องทุกอย่างจนหมดเปลือก เช่นนั้นย่อมก่อให้เกิดความเข้าใจผิดใหญ่หลวง!แต่เวลานี้หลินสวินขัดขวางไม่ทันแล้วก็เห็นว่าอูยั่งร้องไห้ฟูมฟายแล้วร้องว่า “ท่านบุตรเทพ นี่ไม่เกี่ยวกับข้าน้อยเลย ทั้งหมดเป็นเพราะถูกพวกเขาบังคับขอรับ!”เขาเล่าเรื่องที่พบพวกหลินสวินได้อย่างไร ทั้งถูกขู่บังคับได้อย่างไรด้วยน้ำหูน้ำตานองหน้านี่ทำให้หลินสวินกับเจ้าคางคกล้วนหมดคำพูด ลอบปวดหัวส่วนสีหน้าของชิงอวิ๋นหยางก็แปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมหาใดเทียบ โมโหจนกลายเป็นยิ้ม “ช่างเป็นโจรชั่วที่ใจกล้าคับฟ้าคู่หนึ่ง! ไม่พูดถึงเรื่องขู่เข็ญผู้ติดตามข้า ยังกล้ามากำเริบเสิบสาน ช่างรนหาที่ตายนัก!”“ขอบุตรเทพคลายความโกรธ ให้บริวารจัดการเจ้าคนเลวสองคนนี้เถิดขอรับ!”ผู้ดูแลใหญ่ไอสังหารพลุ่งพล่าน“เสร็จกันๆ แย่แล้วตอนนี้”เจ้าคางคกสีหน้ากล่าวโทษ “ก็บอกเจ้าแล้วว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล แต่เจ้าก็ยังอยากจะลอง ตอนนี้ดีเสียจริง ข้าไม่ได้อยากซวยไปกับเจ้านะ”หลินสวินเงียบเชียบไม่พูดจา เขารู้สึกว่าตนมีมารยาทมากแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่ฟังเลย ถึงกับมองว่าพวกเขาเป็นโจรชั่ว ไม่มีทางพูดด้วยแล้วจริงๆ“ยังนิ่งอึ้งหาอะไร ไปจับพวกมันสิ!” ผู้ดูแลใหญ่คำรามทันใดนั้นทหารอารักขากลุ่มหนึ่งที่อยู่ใกล้กันล้วนเคลื่อนไหว เข้าไปล้อมหลินสวินกับเจ้าคางคกไว้อย่างดุดัน“ช้าก่อน!”หลินสวินส่งเสียงราวอัสนีบาตร เต็มไปด้วนพลังที่น่าหวาดหวั่นไปถึงขั้วหัวใจเพียงประโยคเดียวเท่านั้นก็สะเทือนจนทหารอารักขาเหล่านั้นมีเสียงวิ้งในหัว พลังทั่วร่างแทบปั่นป่วน ร่างซวนเซ ร้องเสียงตระหนก“หือ”ดวงตาชิงอวิ๋นหยางมีแววเยียบเย็นพุ่งออกมา เหมือนสังเกตได้ถึงความไม่ธรรมดาของหลินสวิน ประหลาดใจอยู่บ้างทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เคร่งขรึม ยิ้มเหี้ยมพลางพูดว่า “ที่แท้ก็มีของ แต่อย่างพวกเจ้าสองคนกล้ามาก่อเรื่องครึกโครม ต้องพูดว่าพวกเจ้าใจกล้านัก”“ข้าบอกแล้วว่าข้ามาเยี่ยมเพื่อนเก่าผู้หนึ่ง พวกเจ้าเพียงรายงานไปก็รู้แล้วว่าจริงหรือเท็จ”หลินสวินสูดหายใจลึก อธิบายอย่างเก็บกลั้นความรู้สึก“เพื่อนเก่าหรือ”ชิงอวิ๋นหยางโมโหเต็มทีแล้ว มาถึงตอนนี้ เจ้าหมอนี่ถึงกับมองผู้อาวุโสเผ่าตะพาบเขียวของพวกเขาเป็นเพื่อนเก่า ช่างอวดดีถึงที่สุดผู้อาวุโสมีฐานะระดับไหน จะมีเพื่อนเก่าเช่นนี้ได้อย่างไร“ไม่รับรู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง จนตายก็ไม่เปลี่ยน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้พวกเจ้าก็อย่าคิดจะจากไปทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่เลย!”ดวงตาชิงอวิ๋นหยางระเบิดจิตสังหาร หยิบดาบศึกแดงเพลิงเล่มหนึ่งออกมาเสียงดังชิ้ง เงาร่ายหายวับ ถึงกับพุ่งโจมตีหลินสวินด้วยตัวเอง!‘เพียงแค่แจ้งเรื่องไปมันยากขนาดนี้เลยหรือ’ หลินสวินลอบถอนใจโครม!บริเวณนี้ถูกไอสังหารน่าหวาดหวั่นปกคลุม ปรากฏพลังต่อสู้น่าสะพรึงของชิงอวิ๋นหยางนี่ทำให้ผู้ดูแลใหญ่กับทหารอารักขาเหล่านั้นล้วนฮึกเหิม“บุตรเทพถึงกับลงมือด้วยตัวเองแล้ว คราวนี้คงมีละครฉากเด็ดให้ดูกันล่ะ!”“เจ้าชั่วสองคนนี้หากตายด้วยน้ำมือของบุตรเทพก็ถือเป็นโชคดี คนธรรมดาไม่มีคุณสมบัติให้บุตรเทพลงมือเองหรอก”ชั่วขณะเดียวชิงอวิ๋นหยางก็กลายเป็นจุดสนใจของทุกสายตา ณ ที่นั้น ทหารอารักขายิ่งแสดงสีหน้าเคารพเลื่อมใสต่อให้เป็นพวกเขา ก็น้อยนักที่จะเห็นชิงอวิ๋นหยางลงมือ นี่เป็นโอกาสสังเกตการณ์ที่หายากสุดจะเทียบ!เร็วอย่างเหลือเชื่อ ชิงอวิ๋นหยางออกโจมตี ดาบศึกแดงเพลิงโชติช่วงซัดทะเลเพลิงแถบหนึ่งออกไป พุ่งเข้าปกคลุมหลินสวินเปรี้ยง!ห้วงอากาศล้วนเผาไหม้ย่อยยับ ภาพการณ์น่าหวาดหวั่น‘เหตุใดต้อง…’หลินสวินอดไม่ได้ลอบถอนใจอีก เขายืนตระหง่านตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ทำเพียงโบกแขนเสื้อก็เห็นว่าทะเลเพลิงแสงดาบเต็มฟ้านั้นถูกกระแทกให้แหลกสลาย แปรสภาพเป็นละอองแสงหายไปอย่างไร้ร่องรอยราวถูกลมกรรโชกกวาดพัด“นี่…”ผู้แข็งแกร่งทั้งที่นั้นล้วนตาเบิกกว้าง ความเร้าใจและตื่นเต้นที่อยู่บนใบหน้าแข็งทื่อไป เพียงโบกแขนเสื้อเท่านั้นก็ทำลายการโจมตีแข็งกร้าวของบุตรเทพได้หรือต่อให้เป็นชิงอวิ๋นหยาง เวลานี้ในใจก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง เขายิ่งสีหน้าเย็นชา “ดูท่า พวกเจ้าเตรียมพร้อมมาสินะ”ตู้ม!ยามพูดจาเขาก็ฟันดาบออกไป ก็เห็นว่าแสงดาบยิงพุ่งออกมา งดงามไร้เทียมทานราวละอองแสงเปลวเพลิง เต็มไปด้วยท่วงทำนองแห่งมรรคน่าหวั่นกลัวหลายคนหน้าเปลี่ยนสี รับรู้ได้ว่าชิงอวิ๋นหยางสำแดงท่าไม้ตายแต่หลินสวินกลับเริ่มหมดความอดทนแล้ว ที่เขาลงมือเมื่อครู่ เป็นการบอกฝ่ายตรงข้ามว่าเมื่อถึงเวลาก็ควรหยุดมือ ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะถึงกับได้คืบเอาศอกเสียได้เขาไม่ลังเลอีก ยื่นมือตบออกไปพลังฝ่ามือสีเขียวอ่อนห้อมล้อมด้วยท่วงทำนองแห่งมรรคกลมเกลี้ยงสดใส เคลื่อนออกมาอย่างแผ่วเบา แต่ชั่วพริบตากลับมีเสียงตูมดังขึ้นนั่นเป็นเสียงห้วงอากาศถล่มทลาย เหมือนไม่มีทางรับพลังฝ่ามือนี้ได้เลย!ตูม!ท่ามกลางสายตาจับจ้องตื่นตะลึง ดาบนี้ของชิงอวิ๋นหยางช่างอ่อนแอไม่อาจต้านทานราวเศษกระดาษ ถล่มทลายกระจัดกระจายครั่นครืนส่วนพลังฝ่ามือนั้นก็ไม่ลดลงเลย บดขยี้ไปยังชิงอวิ๋นหยางด้วยท่าทีโจมตีให้ราบคาบ ราวปกคลุมไปทั่วทิศ ทำให้ฝ่ายหลังไม่อาจหลบหนีได้!ชิงอวิ๋นหยางหน้าเปลี่ยนสีโดยสิ้นเชิงแล้ว รับรู้ได้ถึงอันตรายที่ไม่เคยเจอมาก่อน นี่ทำให้เขาโมโหระคนตกใจและหดหู่เขาเป็นถึงบุคคลระดับบุตรเทพ ในระดับเดียวกันมีน้อยคนที่จะเป็นคู่ต่อสู้ได้ ถูกมองว่าเป็นอันดับหนึ่งของคนรุ่นเยาว์เผ่าตะพาบเขียว โดดเด่นเกินใครแต่ตอนนี้การต่อสู้เพิ่งเริ่มเท่านั้น กลับทำให้เขารู้สึกกดดันจนหายใจไม่ออกอย่างไม่อาจบรรยายได้ ขนลุกเกรียวไปทั้งตัวนี่…เป็นไปได้อย่างไรกัน!?——
คอมเม้นต์