Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 599 วาสนาอื่นอีก
จ้าวจิ่งเซวียนก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าเจ้าคางคกพยายามตั้งหลายหนล้วนไม่ได้ผลอะไรเลย ตรงกันข้าม ทันทีที่ตนเพิ่งจะลงมือ ก็จับ ‘สมบัติ’ ได้หนึ่งชิ้น!เพียงแต่ไม่นานนางก็ขมวดคิ้ว ไม่รู้จักสมบัติชนิดนี้ด้วยซ้ำมันลักษณะคล้ายก้อนกรวด เป็นสีดำทั้งก้อน หนักมือ ไม่มีแสงแวววาวแม้แต่น้อย เหมือนกับหินด้านก้อนหนึ่ง ต่อให้โยนทิ้งลงพื้นเดาว่าคงจะไม่มีใครสนใจทว่าในไม่ช้าจ้าวจิ่งเซวียนก็ไม่ผิดหวังอีกต่อไป เผยแววประหลาดใจ เนื่องจากไม่ว่าจะออกแรงอย่างไร ก็ยากจะทำลายของชิ้นนี้ได้โดยสิ้นเชิง!“คงไม่ใช่วัตถุดิบเทพอย่างหนึ่งกระมัง” นางพึมพำของชิ้นนี้เหมือนเหล็กก็ไม่ใช่ คล้ายหินก็ไม่เชิง แข็งแกร่งไม่แตกหัก ดูราวกับธรรมดาไร้ความแปลกประหลาด แต่กลับให้ความรู้สึกโบราณเก่าแก่อย่างหนึ่ง“ให้ข้าดูหน่อย!”เจ้าคางคกน้ำลายหกหาใดเปรียบตั้งแต่ต้น หมับเดียวก็แย่งเอาไป จากนั้นก็ทำพฤติกรรมน่าตกใจอย่างหนึ่ง เขาถึงกับใช้ปากกัดหินสีดำก้อนนั้น!เพียงแต่ครู่ต่อมาเขาก็ร้องโหยหวน ของสิ่งนี้แข็งเกินไป เกือบจะทำให้ฟันของเขาหัก“นี่ไม่ใช่วัตถุดิบเทพ”เจ้าคางคกกัดฟันกรอด นัยน์ตาสีทองเปล่งประกาย จดจ้องไปที่หินสีดำก้อนนี้เนิ่นนาน และได้รับคำตอบหนึ่งที่ทำให้หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนต่างประหลาดใจ“ถ้าข้าเดาไม่ผิด สิ่งนี้น่าจะเป็นเมล็ดพันธุ์เมล็ดหนึ่ง”ท่าทางของเจ้าคางคกเจือความแปลกประหลาด “พูดอีกอย่างก็คือ นี่เป็นไข่ใบหนึ่ง หรือไม่ก็ตัวอ่อนประเภทหินอย่างหนึ่ง เพราะภายในมีพลังด้านในนั้นมีพลังหล่อเลี้ยงต้นกำเนิดอยู่ หากเป็นเมล็ดพันธุ์ ก็จะสามารถงอกงามเป็นโอสถสมบัติได้หนึ่งต้น ถ้าเป็นไข่ก็จะฟักเป็นลูกสัตว์ ถ้าหากเป็นตัวอ่อนประเภทหิน ไม่แน่ว่า…”“ไม่แน่ว่าอะไร”หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยถามอย่างพร้อมเพรียงกัน“ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดเป็นครรภ์วิญญาณที่ตั้งครรภ์ด้วยฟ้าดิน!”เมื่อเจ้าคางคกเอ่ยวาจานี้ออกมา ทำให้หลินสวินตระหนักได้โดยพลัน ครั้งนี้เท่ากับว่าจ้าวจิ่งเซวียนเก็บสมบัติได้จริงๆ แล้ว!ของชิ้นนี้มาอยู่ในตำหนักใหญ่อันลึกลับแห่งนี้ได้ เดิมทีก็ไม่ธรรมดามากอย่างเห็นได้ชัดอยู่แล้ว ถ้าหากยังสามารถให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตอันแสนอัศจรรย์บางอย่างได้อีก เช่นนั้นย่อมหาใช่สิ่งเล็กๆ ไม่“ในยุคบรรพกาล สมบัติประเภทนี้ถูกเรียกว่า ‘ศิลาแหล่งวิญญาณ’ นัยว่าตั้งครรภ์สิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจหยั่งถึงได้บางประการ”แววตาเจ้าคางคกชั่วช้า เพ่งเล็งหินสีดำในมือจ้าวจิ่งเซวียนไม่ขาด “แต่น่าเสียดาย หากเป็นเมล็ดพันธุ์ก็จำเป็นต้องใช้วิธีลับเฉพาะในการเพาะปลูก หากเป็นไข่ก็จำต้องมีวิธีลับบางประการเพื่อฟัก หากเป็นตัวอ่อน ก็ต้องรอโอกาสเหมาะสำหรับการถือกำเนิด”“เจ้าคางคก เจ้าอยากพูดอะไรกันแน่” จ้าวจิ่งเซวียนมุ่นคิ้ว“อะแฮ่ม ข้าก็แค่อยากบอกว่า สมบัตินี้ตกไปอยู่ในมือเจ้าก็ยากจะทำให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ไม่สู้มอบให้ข้าดีกว่าหรือ”เจ้าคางคกสีหน้ามีความหวัง “รอข้าปลูกโอสถสมบัติไร้เทียมทานบางอย่างออกมา ไม่ก็สัตว์เทพบรรพกาลร่างวิญญาณฟ้าดินเทือกนั้น แล้วค่อยส่งคืนให้เจ้าเป็นอย่างไร”“อย่าหวัง!”จ้าวจิ่งเซวียนปฏิเสธโดยพลัน ยามที่เอ่ยคำนางก็เก็บศิลาแหล่งวิญญาณสีดำลึกลับก้อนนั้นลงไปด้วยเจ้าคางคกสลดทันควัน เขาจ้องแท่นมรรคสามฉื่อที่อยู่ไม่ไกลออกไปพลางกัดฟันด้วยความโกรธ บนนั้นมีแสงสมบัติว่ายเวียน เรียงรายพราวตา“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะคว้าของดีไม่ได้สักเสี้ยว!”เจ้าคางคกร้องตะโกน ก่อนเริ่มปฏิบัติการอีกครั้ง เพียงแต่พยายามติดต่อกันซ้ำแล้วซ้ำอีก สมบัติเหล่านั้นต่างกลายเป็นฟองสบู่หายวับเป็นเงาลวง“ไม่ยุติธรรม! โคตรไม่ยุติธรรมเลย ข้าเป็นถึงคางคกทองสามขาโดยกำเนิด บุญวาสนาล้อมกาย เหตุใดกลับไม่ได้รับสมบัติเลยแม้แต่ชิ้นเดียว”เจ้าคางคกโกรธจนแทบคลั่ง ดวงตาแดงก่ำหลินสวินมองเจ้าคนโลภทรัพย์หาที่เปรียบไม่ได้คนนี้อย่างเวทนาปราดหนึ่ง จากนั้นจึงก้าวไปข้างหน้าพลางกล่าว “ให้ข้าลองหน่อย”ว่าพลางโบกแขนเสื้อ กลับไม่ได้ไปหยิบสมบัติบนแท่นมรรค หากแต่คิดจะรวบเอาแท่นมรรคสามฉื่อทั้งแท่นนั้นไป!ดวงตาเจ้าคางคกแทบหลุดออกมา กระโดดเหยงร้องว่า “แม่เจ้าโว้ย แบบนี้ก็ได้หรือ เหตุใดข้าคิดไม่ถึง”จ้าวจิ่งเซวียนก็อึ้งงันเล็กน้อย คำว่าขุดลึกสามฉื่อไม่เหลือหญ้าสักต้นหมายความว่าอย่างไร การกระทำหนนี้ของหลินสวินอธิบายความหมายนี้ได้อย่างสมบูรณ์แล้วเขาถึงขั้นคิดจะรวบเอาแท่นมรรคนั่นออกไป ใครจะกล้าจินตนาการ?ตูม!ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายได้เกิดขึ้นแล้ว การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของหลินสวินไม่เพียงแต่จะรวบเอาแท่นมรรคออกไปไม่ได้ ยังทำให้แท่นมรรคนั้นส่งเสียงคำรามสนั่น ระเบิดแสงมรรคเจิดจ้าออกมาทันใดสวบ!ทันทีที่แสงมรรคกวาดออกมา พวกหลินสวินรู้สึกเพียงว่าสั่นไหวไปทั่วร่าง เบื้องหน้าดาวเคลื่อนดาราคล้อย เหมือนถูกโยนเข้าไปในห้อวงอวกาศผืนหนึ่ง อันตรธานหายไปจากตำหนักใหญ่……เมฆหมอกพวยพุ่ง ภูเขาใหญ่เก้าลูกตั้งตระหง่านสูงสง่ามหึมา กว้างขวางยิ่งใหญ่นี่คือพื้นที่ลึกลับผืนหนึ่งกลางอากาศหวนคำราม พวกหลินสวินเงาร่างซวนเซ ถูกพลังลึกลับเคลื่อนย้ายมายังสถานที่แห่งนี้“ไม่! สมบัติของข้า วาสนาของข้า! ข้ายังไม่อยากจากไป…”จ้าวคางคกยังคงคำรามอย่างไม่เต็มใจหลังจากจ้าวจิ่งเซวียนอึ้งงันเล็กน้อยก็อดกลอกตามองหลินสวินปราดหนึ่งไม่ได้ คล้ายจะประณามเขาว่าเมื่อครู่บุ่มบ่ามมากเกินไป ไปแตะต้องผนึกต้องห้ามของแท่นมรรคเข้า ก็ทำให้พวกเขาถูกเตะ ‘ตูม’ ออกมาอย่างไม่รู้ตัวต่อให้หลินสวินหน้าหนาแค่ไหน คราวนี้ก็รู้สึกอักอ่วนเล็กน้อย กล่าวว่า “ขออภัย เมื่อครู่เป็นเพียงอุบัติเหตุ อุบัติเหตุเท่านั้น”“อุบัติเหตุกับผี! วาสนาใหญ่ที่ข้าหาพบด้วยความลำบากตรากตรำ กลับถูกเจ้าหนูอย่างเจ้าทำลายพินาศทั้งอย่างนี้!”เจ้าคางคกโกรธจนแยกเขี้ยว อดไม่ไหวอยากจะพุ่งเข้าไปกัดหลินสวินให้ตายเขาอดโมโหไม่ได้จริงๆ หากบอกว่าวาสนาในตำหนักใหญ่แห่งนั้นหายไปแล้วก็ไม่เป็นไร ทว่าในทางระเบียงเส้นนั้นยังมีซากศพอริยะอยู่กองหนึ่ง แต่ละศพไม่ว่าจะน้อยจะมากต่างมีสมบัติอริยมรรคหลงเหลืออยู่ทั้งสิ้น!เช่นชุดนักพรตที่หลอมจากเส้นใยเงินเทพวิญญาณม่วง คทาหยกสมปรารถนาที่เปี่ยมด้วยกลิ่นอายอริยมรรค… และอื่นๆๆๆ อีก นั่นล้วนเป็นวาสนาทั้งหมดเชียว!ทว่าตอนนี้…ล้วนไม่เหลือแล้ว!ครั้นเจ้าคางคกคิดถึงจุดนี้ หัวใจก็คล้ายจะกระอักเลือด เจ็บปวดไม่สิ้นสุดอันที่จริงหลินสวินพอใจเสียเมื่อไร แต่เรื่องก็เกิดขึ้นไปแล้ว คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์“น่าชังนัก พวกเจ้าคนหนึ่งได้รับศิลาแหล่งวิญญาณที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ อีกคนยิ่งฮุบมรรคคาถาแสนลึกลับบทหนึ่งเข้าสู่เจดีย์สมบัติไร้อักษร มีแต่ข้าเท่านั้นที่ไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง!”เจ้าคางคกหน้าตาขุ่นเคืองหลินสวินไม่สามารถทนต่อท่าทางขุ่นเคืองยิ่งยวดเช่นนี้ของเจ้าคางคกได้จริงๆ จึงพลันกล่าวว่า “เจ้าคางคก เจ้าดูสถานที่แห่งนี้ มีภูเขาศักดิ์สิทธิ์เก้าลูกตั้งตระหง่านอยู่ ที่นี่จะเป็นสถานที่แห่งวาสนาแท้จริงหรือไม่”เจ้าคางคกนิ่งงัน สายตามองสำรวจรอบบริเวณ คราวนี้จึงค้นพบว่าพวกเขามายังพื้นที่ลึกลับแห่งหนึ่ง ไกลออกไปมีภูเขาใหญ่เก้าลูกเรียงราย เปี่ยมด้วยกลิ่นอายสดชื่นงดงาม ยิ่งใหญ่ทั้งยังศักดิ์สิทธิ์เมื่อมองอย่างถี่ถ้วน บนยอดภูเขาใหญ่เก้าลูกนั้น แต่ละลูกล้วนมีตำหนักหนึ่งแห่งตั้งอยู่ท่ามกลางหมอกเมฆเลือนราง ดูลึกลับถึงขีดสุด“ที่นี่คือ?”เจ้าคางคกถูกเบนความสนใจดังคาด สีหน้าตื่นเต้น เริ่มมองสำรวจอย่างละเอียดสิ่งนี้ทำให้หลินสวินลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เจ้าคางคกคนนี้อะไรล้วนดี มีก็แต่โลภทรัพย์มากเกินไป อาการขุ่นเคืองยามที่เขาไม่ได้รับสมบัตินั้น สามารถใช้คำว่าสยดสยองมาอธิบายได้เลยทีเดียว“เจ้าดูทางนั้น มีแท่นบูชาสี่สิบเก้าแท่นกระจายอยู่ คล้ายกับที่เราเคยเห็นบนยอดภูเขาเทพหมอกม่วงทุกประการ”จ้าวจิ่งเซวียนชี้ไปที่จุดไกลๆ ใบหน้าฉายแววตื่นตะลึง“ข้าเข้าใจแล้ว ที่นี่ยังคงอยู่ในโลกที่วิวัฒน์มาจากบัวดอกนั้น!”เจ้าคางคกตบเข้าที่ต้นขาหนึ่งฉาด กล่าวอย่างเหิมฮึก “แท่นบูชาสี่สิบเก้าแท่นนี้ น่าจะตอบสนองซึ่งกันและกันกับแท่นบูชาสี่สิบเก้าแท่นบนยอดภูเขาเทพหมอกม่วง ครั้นผู้ฝึกปราณย่างกรายเข้าสู่แท่นบูชาจากโลกภายนอก ก็จะถูกเคลื่อนย้ายมายังที่แห่งนี้นั่นเอง”หลินสวินอึ้งงัน “นี่คงไม่ใช่หมายความว่า ที่นี่ก็เป็นสถานที่แห่งวาสนาที่หนึ่งเช่นเดียวกันหรือ”“เป็นเช่นนั้นแหละ!”เจ้าคางคกยิ่งเบิกบานใจเข้าไปใหญ่ “ยังจำเสียงนั้นได้หรือไม่ หนึ่งเม็ดทรายแฝงไว้ซึ่งพันแดน หนึ่งกายใจร่วมหมื่นวิถี หมื่นชาติภพวัฏจักรชั่วแล่น ศุภโชคมอบแด่ผู้มีวาสนา! นี่คือธรรมคาถาบทหนึ่ง ประกาศชัดแต่ต้นแล้วว่าที่นี่จึงจะเป็นสถานที่ซึ่งซุกซ่อนวาสนาอย่างแท้จริง!”“แล้วตำหนักใหญ่ที่พวกเราเข้าไปเมื่อครู่นั่นมันอะไรกันเล่า”หลินสวินมึนงงอยู่บ้าง “หรือว่าในภูเขาเทพหมอกม่วงนี้ ไม่ได้มีสถานที่แห่งวาสนาแค่ที่เดียว แต่เป็นสองแห่ง”“ที่เจ้าว่ามาก็ไม่ผิด แต่ข้ามั่นใจได้ว่าวาสนาของที่นี่ จะต้องเป็นสิ่งที่คนผู้หนึ่งเหลือทิ้งไว้เป็นแน่”เจ้าคางคกดูคล้ายตระหนักอะไรได้ สายตาลุกโชน แสงสีทองเปล่งประกาย “คนผู้นี้ไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญวิชาลับธรรมวิถีเท่านั้น ยังมีมรดกแห่งมรรคด้วย ฝีมือดีมีศักยภาพ ครอบครองพลังอันยิ่งใหญ่! และมีเพียงบุคคลเช่นนี้เท่านั้น จึงจะสามารถจัดวางสิ่งก่อสร้างน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ในภูเขาเทพหมอกม่วงได้”“พวกเจ้าลองคิดดู ตอนที่พวกเรามาถึงภูเขาเทพหมอกม่วง สิ่งที่เห็นระหว่างทางล้วนดูเหมือนมีความเกี่ยวข้องกับผู้บำเพ็ญธรรมในยุคบรรพกาล อย่างบัวดอกนั้น ธรรมคาถาบทนั้น รวมถึงอักษรปริศนามหายานบำเพ็ญธรรมที่หลงเหลืออยู่บนแท่นบูชา ทั้งหมดคล้ายกับกำลังบอกว่า วาสนาของภูเขาเทพหมอกม่วงแห่งนี้ เป็นสิ่งที่อริยมรรคผู้บำเพ็ญธรรมคนหนึ่งหลงเหลือไว้อย่างแน่นอน”“แต่ตอนที่พวกเราเข้าสู่ตำหนักใหญ่ลึกลับแห่งนั้น ทุกอย่างก็แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง ตำหนักใหญ่แห่งนั้นแบ่งออกเป็นสามสิบสามชั้น แต่ละชั้นเชื่อมโยงกันด้วยบันไดเก้าขั้น ปลายสุดเป็นเบาะรองนั่งใบหนึ่ง ท้ายที่สุดเบาะรองนั่งก็กลายร่างเป็นแท่นมรรคสามฉื่อแท่นหนึ่ง…”เจ้าคางคกน้ำลายกระเซ็น เริ่มทำการอนุมานและอธิบาย “ทุกสิ่งนี้ล้วนวิธีการแห่งมรรคาบรรพกาล!”กล่าวถึงตรงนี้ สายตาของเขาก็มองไปทางหลินสวิน พูดว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือมรรคคาถาบทนั้นที่เจ้าได้ไป! แตกต่างจากธรรมคาถาโดยสิ้นเชิง มันเป็นส่วนหนึ่งของภาษาลับอย่างหนึ่งของมรรคา!”หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนรับฟังอย่างถี่ถ้วน ในใจก็ค่อนข้างกระสับกระส่าย นึกถึงสิ่งที่พบสิ่งที่รู้สึกมาตลอดทาง ทุกสิ่งเหมือนกับที่เจ้าคางคกอนุมานเอาไว้จริงๆ“เมื่อรวมทั้งหมดนี้ พวกเราก็สามารถสรุปได้คร่าวๆ ว่าภูเขาเทพหมอกม่วงแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังแห่งผู้บำเพ็ญธรรม เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตา ทุกคนต่างสามารถมองทะลุได้ ส่วนด้านในนั้นมีวาสนาแห่งมรรคาซุกซ่อนอยู่อีก เป็นสิ่งที่พบเจอได้แต่ไม่อาจร้องขอ มีเพียงพวกเราที่สืบเสาะจนเจอความจริงนี้”สีหน้าเจ้าคางคกเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง “ใช้ธรรมสำแดง มรรคแฝงอยู่ภายใน มรรคธรรมขับเคลื่อนเป็นหนึ่งเดียว ดั่งใจปรารถนา มือขยับเคลื่อนตามอำเภอใจ บุคคลระดับนี้ แม้ว่าจะอยู่ในยุคบรรพกาลก็ยังเรียกได้ว่าเป็นปีศาจเทียมฟ้า!”“เหนือคาดเกินไปจริงๆ ไม่กล้าจินตนาการเลยว่ามหาบุคคลผู้ที่สร้างทุกสิ่งนี้ขึ้นมา จะศักดิ์สิทธิ์กร้าวแกร่งเพียงใดในยุคบรรพกาลกันแน่”หลินสวินสะท้านใจ ผุดความยำเกรงขึ้นมาเสี้ยวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว นี่คือความเทิดทูน เป็นความใฝ่หาและมุ่งหวังจะไปให้ถึงอย่างหนึ่ง“พูดเช่นนี้ สถานที่ที่พวกเราอยู่ในตอนนี้ก็ซ่อนวาสนาเอาไว้เช่นเดียวกัน?”ดวงตาสุกใสของจ้าวจิ่งเซวียนทอดมองไปยังภูเขาใหญ่เก้าลูกที่อยู่ไกลออกไป สีหน้าเองก็มีความสั่นสะท้านกริ่งเกรงที่ยากจะปกปิดอยู่ด้วยสถานที่แห่งวาสนาแห่งหนึ่ง กลับซุกซ่อนสิ่งมหัศจรรย์มากมายเช่นนี้เอาไว้ วิธีการระดับนี้พาให้ผู้คนได้แต่แหงนมองเท่านั้น“ไม่เลว!”ดวงตาสองข้างของเจ้าคางคกทอแสง ถูไม้ถูมือ “นี่แหละที่เรียกว่าโอกาสมาโดยไม่คาดฝัน ในเงามืดย่อมมีแสงสว่าง ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้รับของดีเลยแม้แต่น้อย ครั้งนี้ต้องทำการใหญ่สักตั้งแล้ว!”——
คอมเม้นต์