Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 594 ทางระเบียงศพอริยะ มีวาสนา สิ้นวาสนา
นี่คือทางระเบียงเส้นหนึ่ง ผนังศิลาสองฟากแขวนตะเกียงนิรันดร์มากมาย ประพรมรัศมีแสงอันนุ่มนวลเงาตะเกียงระริกไหว ประดุจกาลเวลาไร้สิ้นสุดนิจนิรันดร์ สาดส่องหนทาง ไม่ดับสูญนิรันดร มีกลิ่นอายสงบเงียบอย่างหนึ่ง“นี่ก็คือสถานที่แห่งวาสนาที่ดอกบัวนั่นวิวัฒน์ขึ้น?”ทันทีที่มาถึง เจ้าคางคกอดประหลาดใจไม่ได้ เทียวสืบเสาะถึงขั้นหมายจะจับตะเกียงนิรันดร์ดวงหนึ่งออกมาตรวจสอบโดยละเอียดเพียงแต่เหมือนหวาดกลัวและรอบคอบ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ไม่ได้ทำจริงๆ แค่ใช้ดวงตาจับจ้องตะเกียงนิรันดร์เหล่านั้นอย่างถี่ถ้วนเนิ่นนานจึงกล่าวอย่างผิดหวัง “ที่แท้แค่ตะเกียงเจ้าพายุธรรมดาทั่วไป มิน่าจึงสามารถลุกโหมตั้งแต่สมัยบรรพกาลถึงปัจจุบัน”“ระวังหน่อย สถานที่นี้เงียบสงัดเกินไปอยู่บ้าง”หลินสวินกวาดสายตามองโดยรอบ ภายในใจตึงเครียดชอบกลอยู่เสี้ยวหนึ่ง ราวกับส่วนลึกของทางระเบียงนั่นแอบซ่อนความอันตรายอะไรไว้เขาถือดาบหักไว้ในมือจ้าวจิ่งเซวียนเองก็เรียกกระถางสมบัติเก้ามังกรออกมา แสงมงคลลอยล่อง ห่อหุ้มป้องกันทั่วสรรพางค์กายพวกเขามุ่งไปตามทางระเบียงบรรยากาศเงียบสงัดไม่มีเสียงใดๆ แม้แต่น้อย ทางระเบียงลึก ตะเกียงนิรันดร์แต่ละดวงเอ่อส่องแสงสว่างนุ่มนวล แม้ไม่มืดมน แต่บรรยากาศราวป่าช้าเช่นนี้กลับทำให้ผู้คนกลัวจนตัวสั่นงันงกไม่นานนักทางระเบียงซึ่งห่างออกไปปรากฏแสงพร่ามัวดุจไอหมอกแถบหนึ่ง ประหนึ่งเป็นฝนแสงโบยบิน ผิดแปลกสะดุดตาอย่างชันเจน“นี่คือ?”พวกหลินสวินในใจตระหนก มองเห็นชัดเจนอย่างน่าประหลาด จุดที่หมอกแสงนั้นลอยล่อง ถึงกับเป็นเงาร่างหนึ่งที่นั่งขัดสมาธิ แก่ชราหาใดเปรียบ สวมชุดนักพรต ผมขาวดุจหิมะทั้งศีรษะสยายลงบนผืนดินฝนแสงพร่ามัวดั่งไอหมอกแถบนั้น อบอวลออกมาจากเงาร่างนี้ขณะนี้เงาร่างนั้นประจันหน้ากับพวกหลินสวิน นัยน์ตาเป็นสีเงิน ประหนึ่งตะวันร้อนแรงสีเงิน แผ่กลิ่นอายน่าหวาดกลัวพวกหลินสวินแข็งทื่อไปทั้งร่าง เหงื่อกาฬเย็นเยียบ ใจเต้นระรัวไม่เป็นส่ำ จิตวิญญาณยิ่งแตกตื่นไม่อาจสงบ แทบจะพังทลาย“แย่แล้ว!”เจ้าคางคกพลันร้องเสียงประหลาด ในมือมีด้ามดาบเพิ่มขึ้นมาอันหนึ่ง ปลดปล่อยแสงสีดำออกมา เกลี้ยงกลมโปร่งแสงขวางกั้นอยู่เบื้องหน้า ต้านทานกลิ่นอายของเงาร่างนั่นแค่ชั่วพริบตา สภาพแปลกประหลาดทั้งมวลพลันถดถอยลง ทำให้หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนต่างหวาดผวา ตื่นตระหนกไม่หยุดเพราะเมื่อครู่นี้ กลิ่นอายของเงาร่างนั้นเกือบจะสยบสังหารพวกเขา!“บ้านยายมันสิ ไม่นึกเลยว่าจะเป็นซากศพอริยะ!”เจ้าคางคกค้นพบสิ่งน่าตระหนก เงาร่างนั้นถึงแม้นัยน์ตาใสสงบ แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงศพไร้พลังชีวิตร่างหนึ่ง สิ้นลมมาไม่รู้นานเท่าใดแล้วนี่ยิ่งทำให้ผู้คนสยองขวัญ นี่มันอริยะผู้ทรงพลังระดับใดกัน ต่อให้ตายไปแล้ว ยังรักษาไว้ซึ่งรูปลักษณ์อย่างสมบูรณ์เสมือนมีชีวิต อีกทั้งกลิ่นอายที่อบอวลจากศพยังเพียงพอจะกำจัดพวกเขาทุกคนอย่างง่ายดาย!นี่มันเกินจินตนาการโดยสิ้นเชิง!หากอริยะผู้นี้ยังมีชีวิตจะน่าสะพรึงขนาดไหนกัน“ตาแก่นี่ต้องเป็นผู้เก่งกาจคนหนึ่งแน่ๆ แต่กลับสิ้นชีพอยู่ที่นี่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งตัวไม่เห็นร่องรอยบาดแผลแม้เพียงเสี้ยว นี่เห็นได้ว่าแปลกประหลาดอยู่บ้าง”เจ้าคางคกพึมพำกับตัวเอง ดวงตาทองอร่ามคู่นั้นกวาดมองไม่หยุด กำลังสังเกตซากศพอริยะนั่นขณะพูดเขาก็กระชับด้ามดาบมั่น ปล่อยแสงทมิฬกลมเกลี้ยงโปร่งแสงออกมา ไม่กล้าผ่อนคลายแม้เพียงเสี้ยว“นี่คืออริยะหรือ”ในใจหลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนต่างสั่นสะท้านราชันระดับสังสารวัฏก็น่ากลัวมากพอแล้ว เพียงพอให้พวกเขาชะเง้อชะแง้แหงนคอมอง ทว่าอริยะพิเศษโดดเด่นยิ่งกว่าราชันระดับสังสารวัฏซะอีก!ระดับอริยะ มีเพียงหลังประสบอมตะเคราะห์เก้าครั้งเท่านั้น จึงจะสามารถบรรลุระดับอันโดดเด่นนี้ได้ เหนือพ้นโลกีย์ เข้าสู่อริยะ ลือเลื่องว่าอายุขัยเทียมฟ้าดิน!และตอนนี้ ถึงกับมีซากศพอริยะครั้งบรรพกาลผู้หนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า ได้เห็นพลังโจมตีอันน่าตกตะลึงเช่นนั้นกับตาตนเอง ไม่ว่าใครเกรงว่าล้วนไม่อาจนิ่งสงบ“ชุดนักพรตนี่… คล้ายหลอมจาก ‘ไหมเงินญาณดารา’!”ดวงตาทั้งสองของเจ้าคางคกเปล่งประกาย ลมหายใจหนักหน่วง “เด็กดี ของสุดยอดนะเนี่ย ไหมเงินญาณดาราเส้นหนึ่ง เพียงพอที่จะบดทลายภูเขาสูงชันหนึ่งลูก หนักยิ่งกว่าดาวดวงหนึ่ง ไม่นึกเลยว่าตาแก่นี่จะใช้สมบัติล้ำค่าระดับนี้หลอมเป็นชุดนักพรต!”เจ้าคางคกน้ำลายแทบหก ดวงตาแดงก่ำ ชุดนักพรตญาณดารา! นี่เป็นสมบัติล้ำค่าระดับอริยมรรค!เจ้าคางคกอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป กัดฟันกรอดเค้นพลังจากด้ามดาบ หยั่งเชิงหมายปลดอาภรณ์ซึ่งคลุมซากศพนั่นแต่แค่ชั่วพริบตาเขาก็ส่งเสียงร้องทุรนทุราย ถูกพลังอันน่าหวาดกลัวอัดกระแทกปลิวกระเด็น กระอักเลือดกบปาก น่าอนาถยิ่งนักหากมิใช่ด้ามดาบในมือวิเศษอัศจรรย์ถึงที่สุด แสงทมิฬที่สร้างขึ้นช่วยเขาคลายพลังส่วนใหญ่ได้ แค่การโจมตีนี้ก็เพียงพอทำให้ชีวิตเขาดับสิ้นลงแล้วหลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนประหวั่นพรั่นพรึง ซากศพอริยะนี่แข็งแกร่งเกินไปแล้ว แม้สิ้นชีพไปนานแล้วก็ยังน่าเกรงขามหาใดเปรียบ เสมือนเทพผู้หลุดพ้นจากทางโลกองค์หนึ่ง สามารถกดกำราบผู้รุกล้ำทั้งมวล“มารดามันเถอะ ไม่นึกเลยว่าคำเล่าลือคือเรื่องจริง เหล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจลบหลู่ดูหมิ่น นี่คือกฎแห่งมหามรรค นอกเสียจากว่ามีพลังระดับเดียวกัน มิฉะนั้นก็ไม่มีทางนำของล้ำค่านี้ไปแต่แรก”เจ้าคางคกตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความท้อแท้สิ้นหวังและไม่พอใจ ชุดนักพรตที่หลอมจากไหมเงินญาณดาราเชียวนะ! กลับไม่อาจนำไปได้…หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนสบตากันเจ้าคางคกนี่ละโมบเกินไปแล้ว เมื่อครู่นี้ชีวิตน้อยๆ แทบจะดับสิ้น เขากลับไม่สนใจแม้แต่นิด ดันเสียใจที่ไม่อาจนำสมบัตินั่นไปได้ ช่างประหลาดพิกลซะจริง“เจ้าคางคก ด้ามดาบในมือเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว”ทันใดนั้นหลินสวินพลันเปล่งเสียง สายตาจับจ้องไปในมือเจ้าคางคก ตอนแรกที่พบเจ้าคางคก หลินสวินเองก็เคยเห็นด้ามดาบนี้มันดำสนิทเก่าแก่โบราณ ภายนอกพันผืนผ้าย้อมโลหิตชั้นหนึ่ง มองดูแล้วราวกับของพุพังย้อมโลหิตชิ้นหนึ่ง ไม่ผิดแปลกอันใดเลยแต่มันกลับสามารถขวางกั้นกลิ่นอายของซากศพอริยะนั่นได้ นี่ก็เห็นแล้วว่าพิเศษโดดเด่นไม่เหมือนใครเจ้าคางคกระแวดระวังขึ้นมาทันใด พลางกล่าว “เจ้าอย่าได้คิดไม่ซื่อเชียว ของล้ำค่าชิ้นนี้เป็นชีวิตจิตใจของข้า หลังจากที่ข้าตื่นขึ้นมาก็อยู่ข้างกายข้ามาตลอด หากเจ้ากล้าคิดไม่ซื่อ ข้ารับรองได้เลยว่าจะสู้ตายกับเจ้า!”“ขอข้าลองดูหน่อยได้หรือไม่”“ไม่ได้!”เจ้าคางคกบอกปัดทันควัน ไม่ยอมเจรจาหลินสวินร้องอ้อทีหนึ่งก็ไม่ได้หยั่งท่าทีอีก เขามองออกอยู่แล้ว สิ่งนี้มีความหมายสําคัญต่อเจ้าคางคกยิ่ง“รีบไปเถอะ เห็นชุดนักพรตญาณดาราอยู่กับตาแต่ไม่อาจนำมันไปได้ นี่ช่างเป็นการลงทัณฑ์ที่ทรมานที่สุดในโลกหล้าเสียจริง”เจ้าคางคกเศร้าโศกชิงชังพวกเขาเลี่ยงหลีกซากศพอริยะนั่น ก่อนก้าวเดินต่อไปทางระเบียงลึก เพิ่งเดินต่อไปข้างหน้าได้ไม่นานก็พบซากศพอีกร่างหนึ่ง นั่นเป็นสิงห์เขียวตัวหนึ่ง ร่างใหญ่ราวกับวัว ขนผิวเขียวเลื่อมพรายดุจแพรไหม อบอวลกลิ่นอายอริยมรรคเฉกเช่นเดียวกันไม่จำเป็นต้องสงสัย สิงห์เขียวนี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดกลัวที่ก้าวสู่อริยมรรคตนหนึ่งเมื่อครั้งบรรพกาล!“คทาสมปรารถนา! สมบัติอริยะไร้เทียมทาน!”เจ้าคางคกดวงตาแดงก่ำอีกครา พบว่าในปากสิงห์เขียวนั่นคาบคทาหยกสมปรารถนาสีขาวกระจ่างเล่มหนึ่ง เอ่อล้นด้วยกลิ่นอายอริยมรรคน่าเสียดาย เขาไม่กล้าผลีผลามชิมลางอีก ขณะที่จากมาดวงใจหลั่งโลหิต ตีอกชกหัวกระทืบเท้าเดินต่อไปข้างหน้าเช่นนี้ ตลอดทางพวกเขาพบซากศพอริยะตลอดเวลาศพแล้วศพเล่า ล้วนมีลักษณะสมบูรณ์ดูไม่ออกว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหน ประหนึ่งว่าหมดลมไปในท่านั่งสมาธินี่ทำให้หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนขนพองสยองเกล้า ใจเต้นระส่ำไม่หยุด สมัยบรรพกาลทำไมถึงมีอริยะดับสิ้นมากมายเช่นนี้ทางระเบียงนี่มีที่มาอย่างไรกันแน่แต่เจ้าคางคกกลับร้องโหยหวนไม่หยุดตลอดทาง หน้าเขียวไปหมด ท่าทางราวคับแค้นไม่พอใจ เพราะมันพบสมบัติชิ้นแล้วชิ้นเล่าในมืออริยะ แต่ล้วนไม่อาจนำไปได้ นี่ทำให้เขาผู้เห็นสมบัติมีค่าเท่าชีวิตแทบกลายเป็นบ้า‘หากมิใช่ด้ามดาบในมือเจ้าคางคก มากกว่าครึ่งพวกเราคงไม่อาจมาถึงที่นี่ได้ คงตายไปนานแล้ว…’หลินสวินตระหนักรู้ถึงสถานการณ์ร้ายแรง ในใจนึกกลัวเดิมคิดว่าการตีความปริศนาบนแท่นบูชา ค้นพบเส้นทางอันสื่อถึง ‘หนึ่งรอดพ้น’ ครานี้ เพียงพอจะเสาะหาวาสนาครั้งนี้ได้ใครเล่าจะคาดคิด สถานที่แห่งวาสนานี่กลับเป็นทางระเบียงที่มีซากศพอริยะมากมายร่วงหล่นสายหนึ่ง เห็นชัดว่าอันตรายและเกินคาดเดาเหลือเกิน“นี่คงไม่ใช่ทางตันหรอกนะ แม้แต่อริยะล้วนตายอยู่ที่นี่ พวกเราเอง… ก็จะซ้ำรอยหรือไม่”ใบหน้างดงามของจ้าวจิ่งเซวียนเคร่งเครียดขึ้นมา“ถุย! ปากอัปมงคล!”เจ้าคางคกตวาด “ยิ่งเป็นที่อันตราย ยิ่งแอบซ่อนวาสนาใหญ่หลวงยากจินตนาการ อริยะพวกนี้ตายอยู่ที่นี่ ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะไม่มีทางรอดออกไป อีกทั้งข้าสรุปได้เลยว่า วาสนานี้จะต้องยังดำรงอยู่ ไม่ได้ถูกนำออกไป”หลินสวินไม่เชื่อข้อสันนิษฐานของเจ้าคางคก เขาหันหลังกลับไปมอง กลับต้องตะลึงงันด้วยพบว่าเส้นทางที่เดินมาได้หายไปแล้ว!หายไปแล้วจริงๆ ที่นั่นความมืดมิดเข้าปกคลุม อย่าว่าแต่เส้นทาง แม้แต่ซากศพอริยะที่เห็นมาตลอดยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย“พวกเราไม่มีทางให้กลับแล้ว…”หลินสวินน้ำเสียงขมขื่น ในใจตระหนกหวาดผวา ที่แห่งนี้ดูเหมือนไม่มีอันตราย แต่กลับลึกลับและอับโชคเหลือเกิน ในระหว่างที่เงียบเชียบไร้สุ้มเสียงก็เกิดเหตุไม่คาดฝัน!จ้าวจิ่งเซวียนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถูกเหตุการณ์นี้ทำให้ตระหนกหวาดหวั่นไม่หยุด“ในเมื่อไม่มีทางกลับ ก็ต้องเดินไปข้างหน้า!”เจ้าคางคกกัดฟัน สีหน้าดุร้ายถึงที่สุด “มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า ที่พวกเราเดินอยู่คือหนทางที่ไม่อาจรู้หนึ่งเดียว และคือทางรอดเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น จะต้องมีวิธีรอดพ้นไปได้!”“คงได้แต่ทำเช่นนั้นแล้ว”หลินสวินสูดหายใจลึก ระงับความหวาดกลัวในใจขณะเดินต่อไปข้างหน้า หลินสวินเริ่มระมัดระวังสังเกตการณ์ เมื่อพวกเขาเดินหน้าไปไม่นานนัก หนทางเบื้องหลังก็ตกอยู่ในความมืดมิดจริงดังคาดความรู้สึกนั้น เสมือนมือใหญ่ไร้รูปมือหนึ่งขจัดทางเดินเบื้องหลังไปสิ้นอย่างเงียบเชียบ เร้นลับเหลือจะเอ่ยโชคดีเพียงหนึ่งเดียวคือ กระทั่งถึงตอนนี้พวกเขายังไม่พบเจออันตรายใดแน่นอน ตลอดทางหากไม่มีด้ามดาบลึกลับในมือเจ้าคางคก แค่เพียงซากซากศพอริยะมากมายนั่น ต้องทำให้พวกเขาก้าวย่างอย่างยากลำบากเป็นแน่!เหตุเพราะกลิ่นอายซากศพเหล่านั้นแข็งแกร่งเกินไป น่าหวาดกลัวชวนประหวั่น ทำให้ผู้คนล้วนสงสัยว่าสามารถบดพิฆาตทุกสรรพสิ่งหากบุคคลระดับนี้ยังมีชีวิตจะน่าหวาดกลัวขนาดไหนกัน ทั้งที่สิ้นอายุขัยไปนานขนาดนั้นแล้ว กลิ่นอายที่หลงเหลือกลับยังคงน่าพรั่นพรึงเช่นนี้ ช่างแข็งแกร่งเกินไปแล้ว“มีประตูบานหนึ่ง!”ทันใดนั้นเจ้าคางคกร้องดีใจขึ้นมา รับรู้ได้ว่าพวกเขามาถึงปลายทางระเบียงแล้วที่นี่มีประตูหินปิดสนิทอยู่บานหนึ่ง ประตูหินนั่นมีลักษณะโค้ง เก่าแก่โบราณ อบอวลกลิ่นอายแห่งกาลเวลาและหน้าประตูหินยังมีซากศพอริยะศพหนึ่ง เป็นภิกษุชุดขาวผู้หนึ่ง เขานั่งขัดสมาธิอยู่ฟากหนึ่งของประตูหิน ค้อมเอวลงก้มมองพื้น นิ้วชี้ข้างขวาสัมผัสดินบนพื้นดินนั่นถูกเขาใช้ปลายนิ้วเขียนเป็นประโยคหนึ่ง…‘มาด้วยมีวาสนา กลับสิ้นวาสนา ณ ที่นี่ วาสนาไม่ถึง จึงได้แต่ปลงอนิจจัง!’……………..
คอมเม้นต์