Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 592 ปริศนาแห่งโพธิญาณ
ขณะที่หลินสวิน จ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกเริ่มทำการเคลื่อนไหว บริเวณที่ห่างจากภูเขาเทพหมอกม่วงนี้ไม่ไกลพลันปรากฏกลิ่นอายน่าหวาดกลัวนั่นคือพญาเผิงปีกทองตัวหนึ่ง ปีกราวหลอมจากทองคำเหลืองอร่าม แสงมรรคชวนประหวั่นเจิดจรัสไหลวนดั่งห้วงสมุทร ประดุจราชันตนหนึ่ง นัยน์ตาทองเฉียบคมคู่นั้นทอดมองขุนเขาสูงชันซึ่งห่างออกไป“สวรรค์! นั่นมัน… นั่นมันพญาเผิงเมื่อครั้งบรรพกาล?”ณ เชิงเขา ผู้แข็งแกร่งมากมายร้องเสียงหลงตูม!พญาเผิงปีกทองอ้าปากสูดกลืน พลังอันน่าหวาดกลัวมิอาจทัดเทียมม้วนออกมา พริบตาก็พัดม้วนผู้แข็งแกร่งนับสิบคน ณ ที่นั้นกลืนลงท้องกร้วม! กร้วม!พญาเผิงปีกทองบรรจงเคี้ยวอย่างเชื่องช้า มุมปากหลั่งโลหิต เฉยชาและเยียบเย็น เสมือนกำลังลิ้มรสอาหารเรียกน้ำย่อยก็มิปาน ผ่อนคลายสบายใจ มองผู้แข็งแกร่งทั้งกลุ่มเป็นอาหารภาพเหตุการณ์นี้ช่างชวนตระหนก ทำให้ผู้แข็งแกร่งอื่นรู้สึกขวัญหนีดีฝ่อ ส่งเสียงหวีดร้องหวาดผวา หลบหนีขึ้นสู่ภูเขาเทพหมอกม่วงอย่างบ้าคลั่งซ่า…ทันใดนั้นท้องฟ้าถูกเงามืดปกคลุม ศีรษะอสรพิษใหญ่มหึมาดุจภูผาสูงชันพลันปรากฏ นัยน์ตาสีโลหิตดั่งทะเลสาบคู่หนึ่ง แลบลิ้นงูตวัดม้วนดุจน้ำตกสีเลือดแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น ผู้แข็งแกร่งอีกสิบกว่าคนก็ถูกกลืนสู่ปากอสรพิษ ไม่ทันแม้แต่จะดิ้นรนเพียงแต่เมื่องูยักษ์หมายเข้าใกล้ภูเขาเทพหมอกม่วง กลับถูกพลังศักดิ์สิทธิ์หนึ่งกีดขวางและกดข่ม ทำให้มันก็ตระหนกหวาดหวั่น ส่งเสียงฟ่ออ่อนระทวยถอยกลับไม่หยุดเอกพญางู!ร่างของมันประดุจยอดเขาสูงชันคดเคี้ยวเลี้ยวลด ปกคลุมด้วยผืนเกล็ดครามเขียว ราวตั้งตระหง่านระหว่างฟ้าดิน สามารถเหลือบมองสรรพชีวิตจากเบื้องสูง กลิ่นอายน่าพรั่นพรึงหาใดเปรียบ“บัดซบ! นี่มันสัตว์ประหลาดอะไรกันแน่ ทำไมพลังถึงน่าหวาดกลัวกว่าราชันระดับสังสารวัฏเสียอีก”“หนี รีบขึ้นเขาเร็วเข้า!”ณ เชิงเขา ผู้แข็งแกร่งที่เหลือพวกนั้นมีหรือจะยังสนใจเข่นฆ่ากัน แต่ละคนราวคลุ้มคลั่ง พุ่งทะยานสู่ยอดเขา สับสนอลหม่านไปมหดพญาเผิงปีกทองเมินเฉยไม่ไหวติง เก็บปีกหยัดยืนกลางอากาศซึ่งห่างออกไป สีหน้าหยิ่งทะนงยะเยียบเย็นเพียงแต่เมื่อสายตามองมายังภูเขาเทพหมอกม่วงที่อยู่ห่างๆ ก็แอบแฝงความกริ่งเกรงที่พูดไม่ถูกอย่างหนึ่ง รวมถึงความมุ่งหวังปรารถนาเสี้ยวหนึ่งซึ่งมิอาจอำพรางอีกฟากหนึ่ง เอกพญางูผงกหัวขึ้น แลบลิ้นแดงสดสีเลือด จดจ้องการเคลื่อนไหวบนภูเขาเทพหมอกม่วงเฉกเช่นเดียวกันเดิมทีพวกมันควรเป็นศัตรูคู่อาฆาต แต่เวลานี้กลับเหมือนปล่อยวางความแค้นแต่ก่อนเก่า ต่างฝ่ายต่างอยู่ ล้วนจ้องมองบนภูเขาเทพหมอกม่วงไม่นานนักผีเสื้อขนาดราวใบพัดตัวหนึ่งพลันปรากฏ สยายปีกหลากสีสันเอ่อล้นด้วยแสงห้าสีทันทีที่มันมาถึง แค่เพียงเหลือบมองพญาเผิงปีกทองและเอกพญางูวูบหนึ่ง ก่อนเลือกอาณาบริเวณอื่น แล้วจ้องมองภูเขาเทพหมอกม่วงที่อยู่ห่างออกไปอย่างเงียบเชียบกล่าวถึงพลังก็ไม่ด้อยไปกว่าอีกสองตัวอย่างสิ้นเชิงสวบ!แสงเขียววงหนึ่งปรากฏจากเขตพื้นที่อื่น นั่นคือจิ้งจอกเขียวตัวหนึ่ง ขนผิวนุ่มสลวยเรียบเนียนดุจดั่งแพรไหม ราวม้าศึกชั้นดีหาใดเปรียบมันก้าวย่างกลางอากาศ นัยน์ตาล้ำลึกและผ่านโลกมาโชกโชนประหนึ่งมีสติปัญญา สายตากวาดมองสัตว์น่ากลัวทั้งสามวูบหนึ่ง ท้ายที่สุดก็หยุดลง มองไปยังภูเขาเทพหมอกม่วงที่ห่างออกไปเช่นกันสิ่งมีชีวิตน่าประหวั่นสี่ตัวซึ่งอาศัยอยู่ในแดนลับอสูรมารอริยะต่างอาณาบริเวณ ขณะนี้ปรากฏตัวพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ทอดสายตามองไปยังภูเขาเทพหมอกม่วง เหมือนกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่างภาพเหตุการณ์นั้นเห็นได้ว่าสั่นสะท้านจิตใจอย่างยิ่งที่ควรค่าแก่การยินดีคือ ภูเขาเทพหมอกม่วงนี้ปกคลุมไปด้วยสิ่งต้องห้ามน่าหวาดกลัว กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ดำรงอยู่ทุกแห่งหน พวกพญาเผิงปีกทองแม้ทรงอานุภาพหาใดเปรียบ แต่ยิ่งมาถึงตรงนี้กลับได้รับแรงกดอัดถึงขีดสุด ไม่อาจมุ่งเข้าใกล้มิฉะนั้นแล้วสำหรับผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่า ถือว่าเป็นหายนะฉากหนึ่งอย่างแน่นอนครืน!ไม่ทันไรก็มีตะขาบตัวหนึ่งปรากฏ ร่างยาวประมาณหนึ่งจั้ง เสมือนก่อตัวจากหินหยก กลิ่นอายเหี้ยมโหดน่าหวาดกลัวเห็นได้ว่ามันป่าเถื่อนดุร้ายยิ่ง ทันทีที่ปรากฏก็พุ่งไปยังภูเขาเทพหมอกม่วง แสงมรกตทั่วร่างเปล่งปลั่ง พลานุภาพน่ากลัวมันหมายจะรุกล้ำภูเขาเทพหมอกม่วง!ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้พญาเผิงปีกทอง เอกพญางู ผีเสื้อและจิ้งจอกเขียวต่างจับจ้องที่จุดเดียวกันแต่ไม่ช้าสีหน้าพวกมันก็ฟื้นคืนความเฉยชานิ่งสงบเพราะตะขาบหินหยกตัวนั้นยังไม่ทันเข้าใกล้ภูเขาเทพหมอกม่วง ก็ถูกพลังศักดิ์สิทธิ์หนึ่งบดขยี้ลงบนร่าง ทำให้ตะขาบนั่นทรุดตัวลงกรีดร้องโหยหวน ร่างกายแทบจะถูกบดละเอียด!ยังดีที่มันหัวไว หลีกหลบเต็มกำลัง ชั่วครู่ก็หลีกหนีเคราะห์ร้ายนี้ไปได้ เพียงแต่เมื่อมองไปยังภูเขาเทพหมอกม่วงอีกครั้ง แววตากลับหวาดหวั่นและกลัวเกรงถึงขีดสุด ทั้งยังมีแววไม่พอใจด้วยแต่ท้ายที่สุดมันยังคงอดกลั้นเฝ้ารออยู่ห่างๆ จับจ้องอยู่เงียบๆ…นอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์“วาสนาภูเขาเทพอุบัติขึ้นแล้ว ดูเหมือนมีความเกี่ยวข้องกับอริยะผู้บำเพ็ญธรรมในตำนาน!”ขณะที่ข่าวนี้แพร่ออกไปทุกคนล้วนตื่นตระหนกฮือฮา คนใหญ่คนโตแต่ละเผ่าต่างจิตใจฮึกเหิม กระตือรือร้นพึงใจโดยเฉพาะบรรดาผู้ชิงยึดโอกาสไว้ได้ก่อนอย่างเผ่าวัวมารทรงพลัง เผ่าหงส์หิรัณย์ เผ่าโห่วเมฆา เผ่าเต่าทมิฬ ที่ช่วงชิงวาสนาตั้งแต่ชั่วขณะแรกยิ่งโห่ร้องยินดีไม่หยุดวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดครานี้ในที่สุดก็อุบัติขึ้นบนโลกา ทำให้คนใหญ่คนโตเหล่านั้นต่างก็เต็มไปด้วยความมุ่งหวัง ภายในใจแทบอยากจะเข้าสู่แดนลับมุ่งหน้าออกสำรวจน่าเสียดายที่ได้แค่คิดเพียงแต่ฮึกเหิมและยินดีได้ไม่นานนัก ก็มีข่าวร้ายมาเยือน…“สัตว์ประหลาด ใกล้ภูเขาเทพหมอกม่วงปรากฏสัตว์ประหลาดเยอะมาก มีพญาเผิงปีกทอง มีงูยักษ์ลึกลับ ยังมีผีเสื้อห้าสีขนาดเท่าใบพัดด้วย!”“คนในเผ่ามากมายหนีไม่ทันถูกพวกมันกินไปแล้ว!”“น่ากลัวยิ่งกว่าราชันระดับสังสารวัฏซะอีก สวรรค์ แดนผีสิงนั่นประเดี๋ยวเดียวทำไมถึงปรากฏสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวมากมายเช่นนี้”บนแท่นบูชาวิญญาณเรืองแสงจิตวิญญาณของผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าออกมาไม่หยุดหย่อน ล้วนแต่เป็นผู้แข็งแกร่งที่หลังถูกสังหารโชคดีอาศัยยันต์กระดูกวิญญาณหนีออกมาได้จากคำบอกเล่าของพวกเขา ทำให้คนใหญ่คนโตทุกคน ณ ที่นั้นหนาวเยือกในใจ สีหน้าอึมครึมหาใดเปรียบ ตระหนักรู้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์“สิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวพวกนี้ เห็นชัดว่าต่างมาเพราะวาสนาบนภูเขาเทพหมอกม่วงนั่น! พวกมันไม่อาจเข้าไปในนั้นได้จึงเฝ้ารออยู่ด้านนอก นี่ก็หมายความว่า ไม่ว่าลูกหลานเผ่าใดช่วงชิงวาสนาไปได้ เมื่อคิดอยากจากไปก็ต้องพบกับการล่าสังหารของพวกมัน!”มีคนใหญ่คนโตชี้ชัดออกมา แค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน“สามารถดึงดูดสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวมากมายขนาดนี้มารวมตัวกันได้ วาสนาครานี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ที่น่าแค้นใจคือพวกเราได้แต่รอคอยอยู่ข้างนอก ไม่อาจเข้าไปช่วยเหลือในนั้นได้!”และมีคนใหญ่คนโตเศร้าโศกชิงชัง โกรธจนหน้าเขียวใครเล่าจะคาดคิด วาสนายังไม่ทันชิงมาได้ กลับดึงดูดให้สิ่งมีชีวิตน่ากลัวพวกนั้นจับจ้องตาเป็นมันแล้ว“เหตุการณ์อาจไม่ร้ายแรงเช่นนั้น ในเมื่อสิ่งมีชีวิตน่ากลัวพวกนั้นไม่อาจเข้าสู่ภูเขาเทพหมอกม่วงได้ ก็แสดงว่ายังมีโอกาสหนีเอาชีวิตรอด”มีคนใหญ่คนโตทำการวิเคราะห์ เห็นชัดว่าใจเย็นอย่างมาก“หากพวกมันกล้าสังหารคนในเผ่าข้า สักวันหนึ่งข้าจะกำจัดพวกมันทั้งหมดเอง!”ทันใดนั้นเสียงตวาดลั่นราวฟ้าร้องกัมปนาทดังขึ้น เป็น ‘ราชันวัวมาร’ หนิวเซี่ยวรื่อแห่งเผ่าวัวมารทรงพลัง น้ำเสียงเดือดดาลไอสังหารแผ่ซ่าน เต็มไปด้วยความอหังการแต่ก็ทำได้แค่เท่านั้น ท้ายที่สุดก็อยู่โลกภายนอกไม่อาจเข้าไปข้างใน ถึงพวกเขาโกรธแค้นไปก็ได้แต่มองตาปริบๆ หวังว่าจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น อย่าได้ปรากฏเหตุไม่คาดฝันอันใดขึ้นเด็ดขาด…บนยอดเขา“ลวงหลอก? แค่สองคำเนี่ยนะ บ้านยายมันสิ ทำไมถึงเป็นข้อความซังกะบ๊วยนี่อีกแล้ว! ลาหัวโล้นพวกนั้นทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เห็นชัดว่าเป็นพวกตามืดบอดชอบก่อกวน!”เจ้าคางคกหลุดปากด่ายกใหญ่ เห็นได้ว่าอารมณ์เสียอยู่บ้างเขาพาหลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนสำรวจแท่นบูชาอื่นด้วยกัน เพราะไม่มีคู่ต่อสู้อยู่จึงทำให้ไม่ช้าพวกเขาสำรวจแท่นบูชาได้เก้าแท่นแล้วเป็นดังที่เจ้าคางคกคาดการณ์ไว้ บนแท่นบูชาแต่ละแท่นต่างทิ้งอักษรปริศนามหายานอันเร้นลับและแปลกประหลาด แต่เนื้อความกลับทำให้คนผิดหวัง ล้วนเป็น ‘คีรีดวงกมล’ ‘ลวงหลอก’ คล้ายๆ กัน ไม่พบอะไรที่เป็นรูปธรรมนี่ทำให้เจ้าคางคกตะลึงงันหัวเสียไม่หยุด เดิมคิดว่าจะค้นพบปริศนาและการชี้นำอะไรบางอย่างจากแท่นบูชาเหล่านี้ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคำพูดไร้สาระทั้งกองหากท้ายที่สุดไม่พบอะไรสักอย่าง ครั้งนี้พวกเขาคงเสียหายใหญ่หลวง ไม่เพียงแต่พลาดโอกาสช่วงชิงวาสนาก่อนใคร ยังเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์อย่างมาก!“ลองไปดูที่อื่นต่อ”หลินสวินเองสีหน้ามืดมนอยู่บ้าง เสียใจอยู่หน่อยๆ ว่าไม่น่าเชื่อคำกล่าวอ้างของเจ้าคางคก แต่ในเมื่อเริ่มแล้ว หากไม่สำรวจดูแท่นบูชาอื่นทั้งหมดเสียรอบหนึ่ง เขาก็ไม่อาจสบายใจลงได้“ใช่ๆๆ ลองไปดูที่อื่นต่อ จะต้องพบอะไรแน่”เจ้าคางคกกระอักกระอ่วนอยู่เช่นกัน ไม่กล้าเผชิญหน้ากับหลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียน เห็นหลินสวินกล่าวเช่นนี้ เขายิ่งรีบร้อนหาทางลง“พวกมันจ้องพวกเราตลอดเลย”จ้าวจิ่งเซวียนอึดอัดอยู่บ้าง ชี้ไปยังบริเวณที่ห่างออกไปจากภูเขาเทพหมอกม่วง อาณาเขตตรงนั้นถูกพญาเผิงปีกทองและสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวจำนวนหนึ่งยึดครองก่อนหน้านี้ พวกเขาก็พบว่าสถานการณ์นี้สร้างความตระหนกสู่ภายนอก ตระหนักได้ว่าสัตว์ร้ายพวกนี้จะต้องถูกวาสนาครานี้ชักนำมาเป็นแน่แต่เมื่อเห็นว่าพวกมันไม่อาจเข้าใกล้ภูเขาเทพแห่งนี้ พวกหลินสวินก็คร้านจะใส่ใจ“อย่าสนใจพวกมันเลย เจ้าพวกกากเดนไร้ประโยชน์ แม้แต่ภูเขาแห่งนี้ยังเข้าไม่ได้ สมน้ำหน้าพวกมันที่ได้แต่ถลึงตามองปริบๆ อิจฉาพวกเรา”เจ้าคางคกกำเริบเสิบสานยิ่ง กล่าวอย่างภาคภูมิใจ พูดว่าพวกพญาเผิงปีกทองคือพวกไร้ประโยชน์ ทำให้หลินสวินแทบอยากจะเงื้อฝ่ามือฟาดท้ายทอยมันสักป้าบหากสิ่งมีชีวิตซึ่งน่ากลัวกว่าราชันระดับสังสารวัฏพวกนั้นเป็นพวกไร้ประโยชน์ งั้นพวกเขามิใช่ว่าเทียบไม่ได้แม้แต่กากเดนหรือ“รีบลงมือ!”หลินสวินถลึงตาใส่เจ้าคางคกเจ้าคางคกเองรู้ตัวว่าการเคลื่อนไหวครานี้ไม่เป็นที่พึงใจอยู่บ้าง จึงไม่เถียงกับหลินสวิน ทำเวลาดำเนินการต่อ“ดินแดนแห่งดวงกมล ก็คือสถานที่แห่งใจ ที่แท้ คีรีดวงกมลนั่นไม่มีอยู่แต่แรกหรือ”“คิดไม่ถึงว่าเขาจะหลอกพวกเราทุกคน…”“คีรีแห่งดวงกมลไม่มีอยู่จริงรึ”ต่อจากนั้น เจ้าคางคกสำรวจดูอักษรปริศนามหายานบนแท่นบูชาแท่นแล้วแท่นเล่า แทบเป็นเนื้อหาจำพวกนี้ทั้งสิ้นนี่ทำให้เขาสีหน้าไม่น่าดูยิ่งกว่าเดิม ด่าอริยะผู้บำเพ็ญธรรมตลอดทางไม่หยุด ว่าลาหัวโล้นพวกนี้รังแกคนอื่นเกินไป ไม่เหลือเบาะแสแต่กลับทิ้งคำพูดผายลมไว้ส่วนหนึ่ง เจตนาหลอกลวงคนอื่นแม้แต่หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนยังหมดคำพูด คีรีแห่งดวงกมลคือการดำรงอยู่เช่นไรกันแน่ เหตุใดจึงทำให้อริยะผู้บำเพ็ญธรรมเหล่านี้คิดถึงไม่ว่างเว้นเช่นนี้ท้ายที่สุดขณะสำรวจแท่นบูชาที่สามสิบ เจ้าคางคกก็คึกคักขึ้นมา ในที่สุดก็ค้นพบสิ่งใหม่!“หากอ้างอิงจากตัวอักษรซึ่งใช้ทั่วไปบนโลกมนุษย์ ดินแดนแห่งดวงกมลคือสถานที่แห่งใจ ‘เสี้ยวจันทร์สามดารา’ คล้ายเส้นอักษรที่เขียนออกมาเป็นคำว่า ‘ใจ’[1] ปริศนาแห่งโพธิญาณที่เล่าขานซ่อนอยู่ภายใน หรือว่าหากอยากพบดวงกมล ต้องอาศัยมรรคแห่ง ‘ใจ’ ไปเสาะแสวงหา?”เมื่อเจ้าคางคกแปลอักษรปริศนามหายานบนแท่นบูชาออกมา หลินสวินและจ้างจิ่งเซวียนต่างชะงักงัน สังเกตเห็นจุดสำคัญอย่างฉับไวปริศนาแห่งโพธิญาณ!แท้จริงแล้วสิ่งที่เรียกว่าคีรีแห่งดวงกมล สถานที่แห่งเสี้ยวจันทร์สามดารานั้น ซ่อนไว้ซึ่ง ‘ปริศนาแห่งโพธิญาณ’!………………[1] คำว่า ‘ใจ’ ในภาษาจีนคือ ‘心’ มีลักษณะเส้นคล้ายจันทร์เสี้ยว ล้อมรอบด้วยเส้นแต้มสามดารา
คอมเม้นต์