Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 591 ดอกบัวดั่งโลกา ซุ่มซ่อนความยิ่งใหญ่
บัวดอกหนึ่ง ดั่งโคมผลิบาน สาดส่องฟ้าดิน!ภาพเหตุการณ์ศักดิ์สิทธิ์นั้นทำให้ผู้แข็งแกร่งทุกคนต่างสั่นสะท้านสีหน้าไหวหวั่น สัมผัสได้ถึงแรงปะทะยากเกินบรรยายอย่างหนึ่งเสมือนปาฏิหาริย์ปรากฏบนโลกาในเวลานี้ สะเทือนใต้หล้าไร้สิ้นสุดมีกลิ่นหอมจางรางๆ อบอวล บางเบาดุจห้วงมายาเงียบสงัด ประหนึ่งกลิ่นอายใสสะอาดแห่งอริยมรรค สามารถชะล้างสิ่งปฏิกูลทั้งมวลขณะเดียวกันเสียงธรรมบทแล้วบทเล่าดังออกมาจากบัวดอกนั้น แรกเริ่มคลุมเครือมิอาจสดับ แต่ต่อมาภายหลังกลับค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกึกก้องไร้ขีดจำกัด!คล้ายมีภิกษุสามพันรูปสวดภาวนาพร้อมกัน เสียงนั้นใกล้เคียงมรรคา สะท้อนก้องเทวะจักรวาล สั่นสะท้านจิตวิญญาณผู้แข็งแกร่งมากมายกระเหี้ยนกระหือรือ ดอกบัวนั่นศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน ราวกับไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่บนโลก หากสามารถช่วงชิงมาไว้ในมือจะต้องเป็นศุภโชคแห่งยุคอย่างแน่นอน!“ดูเหมือนว่า ทั้งหมดนี้ต้องเกี่ยวข้องกับอริยะผู้บำเพ็ญธรรมสมัยบรรพกาลเป็นแน่…” หลินสวินกล่าวพึมพำออกมาบัวสมบัติดุจดวงประทีป ส่องประกายศักดิ์สิทธิ์ กลิ่นหอมแผ่คลุมโลกหล้า เสียงสวดสะท้อนก้องฟ้าดิน ทั้งหมดล้วนเห็นได้ถึงความยิ่งใหญ่และเจิดจรัส!“ระวัง ต้องระวัง!”เวลานี้เจ้าคางคกตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ปากกล่าวเตือน “สมัยบรรพกาล ในหมู่อริยะ ลาหัวโล้น[1]ที่บำเพ็ญธรรมพวกนี้รับมือยากที่สุด เจ้าพวกนี้ครองผลหยั่งรู้กรรม ประพฤติตามกฎระเบียบมหายาน สภาพจิตใจแข็งแกร่งและลุ่มลึกเป็นอย่างยิ่ง”“ถ้าพูดหยาบคายหน่อยก็เหมือนพวกจิตหวาดระแวงกลุ่มหนึ่ง ทุกสิ่งที่ถูกพวกเขากำหนดไว้ ต้องทำทุกทางเพื่อให้เป็นไปตามที่ตั้งใจ ใครต่างไม่อาจเปลี่ยนแปลงเจตนารมณ์นั้นได้”นี่เหมือนกำลังวิจารณ์โจมตีอริยะผู้บำเพ็ญธรรมแล้วไม่ใช่หรือ หลินสวินเองถูกคำพูดอันน่าทึ่งของเจ้าคางคกทำให้แปลกใจ เจ้าหมอนี่ดูเหมือนจะมีอคติกับผู้บำเพ็ญธรรมมากทีเดียว“เจ้าอย่าได้ไม่เชื่อเชียว วาสนาครานี้หากเกี่ยวข้องกับผู้บำเพ็ญธรรม นั่นต้องไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยง่ายแน่ สิ่งที่ลาหัวโล้นพวกนี้ให้ความสำคัญที่สุดก็คือวาสนา นี่แหละที่ทำให้ผู้คนปวดหัวที่สุด”เจ้าคางคกปากบ่นอุบอิบ “ประเดี๋ยวเมื่อวาสนาครานี้อุบัติขึ้นโดยสมบูรณ์ เจ้าก็จะเข้าใจเอง”กลางอากาศบนยอดเขา ดอกบัวใหญ่เท่าปากชามยิ่งบริสุทธิ์ผุดผ่องกว่าเดิม พลิ้วไหวแผ่วเบา แสงสว่างที่สามารถสาดส่องใต้หล้าไหลบ่ากลิ่นหอมบางเบา เสียงสวดเป็นระลอก ทำให้ฟ้าดินแถบนี้ตกอยู่ในบรรยากาศเคร่งขรึมจริงจังและศักดิสิทธิ์อย่างหนึ่งณ เชิงเขา ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าซึ่งกำลังเข่นฆ่ารุนแรง เวลานี้จิตใจถูกทำให้ตระหนก หยุดการเคลื่อนไหวที่กระทำอยู่ แต่ละคนเสมือนตื่นรู้ ไม่เข่นฆ่ากันอีก ยืนตรงอยู่ตรงนั้น สีหน้าปรากฏความเลื่อมใสศรัทธาวูบหนึ่งบนยอดเขาเองก็เช่นเดียวกันเหล่าผู้แข็งแกร่งต่างรู้สึกเคลิบเคลิ้ม ถูกพลังอันยิ่งใหญ่จู่โจมจิตใจ ราวหมายโปรดสัตว์ให้หลุดพ้น“ระวัง!”“นี่คือพลังหลุดพ้นแห่งพุทธนิกาย และเป็นพลังแห่งการข้ามผ่านอันน่ากลัวประเภทหนึ่ง ทันทีที่จิตใจถูกกัดกร่อนก็จบเห่ไปชั่วชีวิต!”“บัดซบ! หรือวาสนาครานี้จะเกี่ยวข้องกับพุทธนิกายจริงๆ มรรควิธีเช่นนี้มิใช่ว่าสมัยบรรพกาลก็ไร้การสืบทอดไปแล้วหรอกหรือ”มีบุคคลชั้นยอดบางส่วนสังเกตเห็นถึงความไม่เข้าที หน้าพลันเปลี่ยนสี ร้องตะโกนกันเซ็งแซ่ เตือนผู้แข็งแกร่งที่อยู่ข้างตัว“น่าสนใจ”เซียวหรันทั่วร่างห้อมล้อมกลิ่นอายอันโดดเด่นดุจม่านหมอก โลกีย์มิแปดเปื้อน เห็นชัดว่าเขาไม่ได้รับผลกระทบ ตรงกันข้ามกลับดูเหมือนกำลังสงบจิตหยั่งรู้พลังอันเป็นของพุทธนิกายนั่นพวกอวิ๋นเช่อ ซูซิงเฟิง กงหยางอวี่ แต่ละคนต่างสีหน้าเคร่งขรึม สลัดความคิดฟุ้งซ่าน รวบรวมพลัง จึงไม่ได้รับผลกระทบอีกหลินสวินโคจร ‘เคล็ดเวทบริกรรม’ โดยตรง ในห้วงนิมิตหมู่ดาราเปล่งประกาย จันทร์ศักดิ์สิทธิ์ลอยเด่นบนนภากาศ ปรากฏธรรมลักษณ์นานัปการ พริบตาก็สลายคลื่นผันผวนในจิตใจออกไป‘น่ากลัวยิ่งนัก ถึงกับเกือบประสบภัยพิบัติโดยไม่รู้ตัว!’หลินสวินในใจเคร่งขรึม ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคำพูดของเจ้าคางคกดูเหมือนจะไม่ผิด วาสนาครานี้แม้ดูศักดิ์สิทธิ์ครั่นคร้าม แท้จริงแฝงไปด้วยตัวแปรและอันตรายที่ยากคาดเดาเขามองไปยังจ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคก พบว่าทั้งสองต้านทานและคลี่คลายพลังไว้แล้ว จึงวางใจลงทันทีซ่า!ตามเวลาที่ไหลเคลื่อนไป บัวดอกนั้นพลันเบ่งบานเป็นกลีบบัวสี่สิบเก้ากลีบ แต่ละกลีบล้วนมีแสงมรรครุ้งศักดิ์สิทธิ์ไหลทะลัก สีสันเพริศแพร้วผุดผ่อง งามตระการและยิ่งใหญ่เหลือจะเอ่ยขณะเดียวกัน บนแท่นบูชาสี่สิบเก้าแห่งปรากฏบานประตูหนึ่งโดยพร้อมเพรียง เปิดทางกลางอากาศ ห้อมล้อมด้วยกลิ่นอายอริยมรรคนอกบานประตูเชื่อมทะลุผ่านรุ้งศักดิ์สิทธิ์แต่ละสาย แยกกันมุ่งสู่กลีบบัวสี่สิบเก้ากลีบที่บานออกมาจากดอกบัวนั่น!มองจากไกลๆ ประหนึ่งว่าแท่นบูชาคือประตูบานหนึ่ง รุ้งศักดิ์สิทธิ์ราวสะพานทอดผ่าน มุ่งตรงสู่ใจกลางดอกบัว“แท่นบูชาดั่งประตู กลีบบัวดุจเส้นทาง มุ่งสู่สถานแห่งแก่นบัว? หรือวาสนาครานี้จะซ่อนอยู่ในใจกลางดอกบัวนั่น”มีผู้แข็งแกร่งสันนิษฐานออกมาดังนี้ แววตาส่องประกายและในเวลานั้นเอง เสียงยิ่งใหญ่ทว่าไร้รูปเสียงหนึ่งสะท้อนก้องฟ้าดิน…“หนึ่งเม็ดทรายแฝงไว้ซึ่งพันแดน หนึ่งกายใจร่วมหมื่นวิถี หมื่นชาติภพวัฏจักรชั่วแล่น ศุภโชคมอบแด่ผู้มีวาสนา!”นี่ราวกับธรรมคาถาบทหนึ่ง แต่กลับไม่ซ่อนเร้นยากหยั่งถึง ตรงกันข้ามแทบจะฟังออกทั้งหมด โดยเฉพาะเมื่อได้ยินประโยคที่ว่า ‘ศุภโชคมอบแด่ผู้มีวาสนา’ นั่น ทุกคน ณ ที่นั้นต่างฮือฮาผู้แข็งแกร่งทั้งหมดต่างลมหายใจกระชั้นถี่ แววตาเร่าร้อนแผดเผา ตั้งท่าเตรียมพร้อมกระเหี้ยนกระหือรือวาสนา ในที่สุดก็ปรากฏแล้ว!ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ คลื่นศักดิ์สิทธิ์ระหว่างฟ้าดินนั้นจมสู่ความเงียบงันในที่สุด กลิ่นหอมลับหาย เสียงสวดไม่ปรากฏขึ้นอีก มีเพียงแท่นบูชาเก่าแก่สี่สิบเก้าแห่งตั้งตระหง่านบนแท่นบูชา บานประตูล้อมพิทักษ์ รุ้งศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งเชื่อมระหว่างบานประตูและใจกลางดอกบัวนั้น คล้ายกับหนทางมุ่งสู่แดนแห่งวาสนาสายหนึ่งบัวดอกนั้นเห็นชัดว่ามีขนาดแค่ปากชาม แต่เวลานี้สัญญาณทั้งมวลล้วนเผยโฉม ว่าวาสนาครานี้ซ่อนอยู่ในบัว นี่ทำให้ผู้แข็งแกร่งมากมายอดมึนงงไม่ได้แต่ขณะที่ไม่ทันคิดมากความ ก็มีผู้แข็งแกร่งลงมือแล้ว!ตูม!บริเวณหนึ่งบนยอดเขาที่ห่างไกล เงาร่างผ่าเผยหาใดเปรียบร่างหนึ่งพลันปรากฏ ทั่วร่างแสงทมิฬไหลบ่า อุดมไปด้วยพลังปะทุระอุน่าหวาดกลัวนัยน์ตาเขาสาดประกายยะเยือกดั่งกระบี่ ผมเผ้าหนวดเคราดุจทวนวงเดือน ท่าทีมีอำนาจหาใดเปรียบ ก้าวย่างเพียงคราเดียวก็มาถึงบานประตูกลางแท่นบูชาราชันวัวมารน้อย หนิวทุนเทียน!บุตรเทพที่มาจากเผ่าวัวมารทรงพลังผู้นี้ กิตติศัพท์สะท้านปฐพี เป็นยอดผู้กล้าที่ครอบครองพรสวรรค์และพลังต่อสู้อันเป็นเลิศ ขณะนี้ทำการเคลื่อนไหวเป็นคนแรกนับแต่เข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะ ใช่ว่ามีแค่หลินสวินคนเดียวที่โดดเด่น ในสถานที่อื่นๆ ซึ่งแตกต่างกันไป ต่างก็มีผู้ไร้เทียมทานผงาดขึ้น ชื่อเสียงด้านการต่อสู้เลื่องลือหนิวทุนเทียนคือคนหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในนั้น ตลอดทางเขารบพุ่งเข่นฆ่า หลายครั้งที่แย่งเนื้อจากปากเสือ แย่งชิงวาสนามาไม่รู้เท่าไหร่ แค่ผู้แข็งแกร่งที่สิ้นชีพภายใต้เงื้อมมือเขาก็มีจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อย!พรึ่บ!แทบเวลาเดียวกับที่หนิวทุนเทียนเคลื่อนไหว ในอาณาเขตอื่นอีกแห่ง ร่างงามซึ่งทั่วสรรพางค์มีแสงทองเจิดจรัสครอบคลุมอยู่ก็ทะยานขึ้นสู่แท่นบูชาเงาร่างนางเปล่งปลั่งโชติช่วง ฝนแสงทองอร่ามลอยละล่อง เสมือนภาพฝันดุจดั่งภาพลวงตา ทำให้ผู้คนเห็นโฉมหน้านั้นได้ไม่ถนัดแต่ทุกคนต่างจำได้ตั้งแต่แวบแรก นี่คือธิดาเทพเผ่าหงส์หิรัณย์เมิ่งเหลียนชิง!ครั้งหนึ่งนางตัวคนเดียวต่อสู้กับบุคคลระดับบุตรเทพสามเผ่า ท้ายที่สุดสยบฝ่ายตรงข้ามได้ในคราเดียว พลังปราณเรียกได้ว่าน่าตกตะลึง โดดเด่นอย่างยิ่งไม่เพียงแค่หนิวทุนเทียนและเมิ่งเหลียนชิง เวลานี้เอกบุคคลบางส่วนต่างเคลื่อนไหว อาทิเช่นบุตรเทพเผ่าโห่วเมฆาข่งซิ่ว บุตรเทพเผ่าเต่าทมิฬเสวียนหลัวจื่อในช่วงระยะนี้ บุคคลชั้นยอดเหล่านี้ต่างต่อสู้ในแดนลับอสูรมารอริยะไม่หยุดหย่อน ตีฝ่าชนะศึกและสร้างชื่อเสียงโดดเด่น ดุจดั่งสุริยันกลางนภา แต่ละคนโชติช่วงชัชวาล บุตรเทพทั่วไปมิอาจเทียบและขณะนี้พวกเขาแทบจะเคลื่อนไหวพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เห็นชัดว่าต้องการชิงวาสนายิ่งใหญ่ครานี้ตั้งแต่ช่วงแรก!“ไป!”เซียวหรันเองก็เคลื่อนไหวเช่นกัน พวกซูซิงเฟิงต่างเร่งตามขึ้นไปเพียงแต่เมื่อหลินสวินกำลังจะเคลื่อนไหว กลับถูกเจ้าคางคกสื่อจิตเรียกรั้งไว้ ‘วาสนามอบให้แค่ผู้มีวาสนา ยังจำที่ข้าบอกเมื่อครู่ได้ไหม สิ่งที่ลาหัวโล้นบำเพ็ญธรรมพวกนั้นเน้นหนักที่สุดก็คือวาสนา ผู้ที่ลงมือเคลื่อนไหวเป็นคนแรก ใช่ว่าจะได้รับประโยชน์มากที่สุด’หลินสวินชะงักงัน ‘เจ้าหมายความว่าให้รออีกหน่อย?’‘ข้าสามารถอ่านอักษรปริศนามหายานได้ บนแท่นบูชาสี่สิบเก้าแห่งล้วนหลงเหลืออักษรปริศนาเช่นนี้ รอหลังไตร่ตรองพวกมันทีละอันค่อยกระทำการก็ไม่สาย’เจ้าคางคกสื่อจิตอย่างลับๆ ล่อๆ ในน้ำเสียงดูตื่นเต้น ‘ข้ามีลางสังหรณ์ แท่นบูชาเหลือตัวอักษรไว้ ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ เจ้าอยากจะลองดูหรือไม่’‘นี่…’หลินสวินเองก็ไหวหวั่น ดูลังเลอยู่บ้าง“ทำไมไม่ไป”บนแท่นบูชา ซูซิงเฟิงคิ้วขมวดเอ่ยถาม“พวกเจ้าไปก่อน ข้ากังวลอันตรายอยู่บ้าง จะรออีกหน่อย”หลินสวินกล่าวอธิบายคำหนึ่ง“คนอย่างเจ้ารู้สึกกลัวเป็นด้วยรึ”มุมปากซูซิงเฟิงปรากฏแววปรามาส“ช่างเถอะ พวกเรานำหน้าไปก่อน”เซียวหรันหันกลับมองหลินสวินอย่างลุ่มลึกวูบหนึ่ง ไม่ได้กล่าวอะไรมากอีก เดินไปยังบานประตูตรงแท่นบูชาก่อน“พวกเจ้าต้องทำเวลาด้วยล่ะ อย่าให้ถ่วงรั้งโอกาสในการช่วงชิงวาสนาเพราะดำเนินการช้าเกินไป ถึงตอนนั้นไม่มียารักษาอาการเสียใจภายหลังหรอกนะ!”ซูซิงเฟิงแค่นเสียงกล่าวประโยคหนึ่ง ก่อนตามหลังเซียวหรันไปพร้อมกับคนอื่น“นี่พวกเจ้าทำอะไรกัน”จ้าวจิ่งเซวียนอดไม่ได้ที่จะซักถามหลินสวินอธิบายเล็กน้อย จ้าวจิ่งเซวียนใคร่ครวญครู่หนึ่งทันที ท้ายที่สุดนัยน์ตากระจ่างฉายแววเด็ดเดี่ยววูบหนึ่ง ก่อนเลือกจะอยู่ต่อบนยอดเขาเวลานี้ บุคคลชั้นยอดแต่ละเผ่าต่างทำการเคลื่อนไหว ก้าวสู่บานประตูบนแท่นบูชา เดินตามรุ้งศักดิ์สิทธิ์ มุ่งหน้าสู่ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ซึ่งลอยเด่นอยู่กลางอากาศเพียงแต่เมื่อพวกเขาก้าวย่ำลงบนรุ้งศักดิ์สิทธิ์ ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไป ประหนึ่งดาวเคลื่อนดาราคล้อย กาลเวลาเปลี่ยนผัน ร่างกายของพวกเขากำลังหดเล็กลง ในที่สุดเมื่อเข้าใกล้ดอกบัวนั้นก็เปลี่ยนไปราวผงธุลี แทบมองไม่เห็นเงาร่างผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งที่ยังอยู่บนยอดเขาอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง!“เล็กจ้อยซุ่มซ่อนความยิ่งใหญ่! นี่มันมหาอภินิหารในตำนาน วิวัฒน์เป็นพลังแห่งกาลเวลาอันว่างเปล่า หนึ่งกลีบหนึ่งดอก ล้วนสามารถแบกรับโลกทั้งใบ ทำให้ทุกสรรพสิ่งแปรเปลี่ยนต่างออกไป!”มีคนร้องเสียงหลงเพียงแต่นี่กลับไม่ทำให้ทุกคนตระหนกถอยร่น ตรงกันข้ามยิ่งทำให้พวกเขาแย่งกันพุ่งเข้าบานประตูมากกว่าเดิมในที่สุดพวกเขาจึงเข้าใจในเวลานี้ ว่าอย่าได้มองว่าดอกบัวกลางอากาศนั่นขนาดแค่ปากชาม แท้จริงแล้วทุกสรรพสิ่ง ณ ที่นั้นล้วนเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์ เสมือนความเล็กจ้อยที่ซ่อนแฝงความยิ่งใหญ่เอาไว้ ซ่อนสถานที่แห่งวาสนาอันกว้างใหญ่ไพศาล!เงาร่างผู้แข็งแกร่งซึ่งพุ่งออกไปก่อนหน้าเปลี่ยนเป็นหดเล็กลงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นเพราะพื้นที่ที่พวกเขาอยู่เกิดการเปลี่ยนแปลงอัศจรรย์อย่างหนึ่ง!วิธีอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าคงมีแต่บุคคลระดับอริยมรรคเท่านั้นที่ครอบครองได้กระทั่งเมื่อแท่นบูชาสี่สิบเก้าแห่งบนยอดเขาว่างเปล่าไร้เงาผู้คน เจ้าคางคกที่ร้อนรนทนไม่ไหวอยู่นานแล้วเผยยิ้มกรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์เหลือประมาณ ก่อนนำหลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนออกเคลื่อนไหว แสวงหาอักษรปริศนามหายานด้วยกัน…………………[1] ลาหัวโล้น เป็นคำด่าหรือล้อเลียนพระภิกษุ
คอมเม้นต์