Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 590 บัวสมบัติดุจดวงประทีป สาดส่องขุนเขาธารา

อ่านนิยายจีนเรื่อง Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 590 บัวสมบัติดุจดวงประทีป สาดส่องขุนเขาธารา 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

คีรีแห่งดวงกมล ลวงหลอก?
นี่หมายความว่าอย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นหลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียน หรือพวกเซียวหรันต่างรู้สึกสับสนมึนงง
เพียงแต่เมื่อพวกเขาอยากฟังต่อ กลับเห็นเจ้าคางคกถอนสายตา หน้าตาดูงุนงง “คีรีดวงกมล ชื่อที่คุ้นเคยเช่นนี้ ทำไมข้ากลับดันนึกไม่ออกสักนิด…”
ทีนี้ทุกคนจึงรู้แล้วว่า ที่แท้ความหมายของตัวอักษรลึกลับกลุ่มนั้นบนแท่นบูชา ก็เป็นแค่เพียงชื่อไม่กี่คำนี้เท่านั้น
แต่ว่า นี่หมายความว่ายังไงกันแน่
ไม่มีใครล่วงรู้
‘เจ้าคางคก เจ้ามองอะไรออกงั้นรึ’
หลินสวินสื่อจิตถาม
‘นี่คือภาษาสันสกฤตลี้ลับชนิดหนึ่งในสมัยบรรพกาล เล่าขานว่าผู้บำเพ็ญธรรมประดิษฐ์คิดค้นขึ้น ต่างจากภาษาสันสกฤตทั่วไป ภาษาสันสกฤตประเภทนี้เร้นลับถึงขีดสุด ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญธรรมทั่วไปก็ล้วนไม่อาจเข้าใจ มีเพียงอัครบุคคลซึ่งมรรควิถีลึกซึ้งและครองผลที่แท้จริงเท่านั้น จึงสามารถหยั่งรู้และเขียนออกมาได้’
เวลานี้เจ้าคางคกได้สติระแวดระวังขึ้นมา ไม่หลุดปากออกมา แต่ใช้การสื่อจิต ‘อักษรธรรมประเภทนี้ยังถูกเรียกว่าอักษรปริศนามหายาน ต่อให้เป็นสมัยบรรพกาลก็มีการสืบทอดน้อยมาก’
‘มิน่าจึงเร้นลับเช่นนี้ ที่แท้นี่คืออักษรปริศนาลึกล้ำที่พุทธนิกายสรรสร้างอย่างหนึ่ง’
จ้าวจิ่งเซวียนตกตะลึงอยู่ในใจ
‘หากกล่าวเช่นนั้น หรือวาสนาในภูเขาเทพหมอกม่วงนี้จะเกี่ยวข้องกับอริยะผู้บำเพ็ญธรรมซึ่งครองผลท่านใดท่านหนึ่งเมื่อครั้งบรรพกาล’
หลินสวินเองก็ประหลาดใจสงสัยอยู่บ้าง
การบำเพ็ญธรรม สำหรับเขาแล้วคือการดำรงอยู่ที่แปลกหน้ายิ่งอย่างหนึ่ง เมื่อครั้งอยู่ในนครต้องห้าม เขารู้แค่ว่าในสถานที่ที่ห่างจากจักรวรรดิจื่อเย่าไม่รู้กี่พันลี้ มีอาณาจักรวงจันทราแห่งหนึ่ง ในนั้นพระธรรมเฟื่องฟู ภิกษุมากมาย
ระยะแรกที่หลินสวินเข้าสู่นครต้องห้ามไม่นาน ก็เคยมีภิกษุหนุ่มนามว่าอีเนี่ยนรูปหนึ่งมุ่งหน้ามายังสำนักศึกษามฤคมรกตเพียงลำพัง ท้ารบกับดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถัง ท้ายที่สุดผลกลับสูสีเสมอกัน
แม้ว่าเป็นเช่นนั้น แต่การที่สามารถประมือกับดรุณจ้าวกระบี่แล้วไม่พ่ายแพ้ ยังคงทำให้ภิกษุหนุ่มอีเนี่ยนรูปนี้มีชื่อเสียงโด่งดังกึกก้องนครต้องห้าม
หลินสวินเคยได้ยินมาก่อนแต่กลับไม่เคยใส่ใจ ด้วยเหตุนี้สำหรับการบำเพ็ญธรรม เขาจึงแทบไม่รู้อะไรเลยจริงๆ
และการมายังทะเลกลืนวิญญาณครานี้ หลังจากเข้าสู่ ‘สุสานสมุทรฝังมรรค’ ขณะกำลังเข่นฆ่าโรมรันในกองทัพวิญญาณอาฆาต หลินสวินเคยพบกับภิกษุตาบอดรูปหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ
นั่นคือภิกษุซึ่งอุดมไปด้วยสีสันแปลกประหลาดรูปหนึ่ง เบ้าตาว่างเปล่าไร้ลูกตา นั่งขัดสมาธิอยู่บนกะโหลกสีดำ ห่มจีวรย้อมโลหิตหนึ่ง มือถือลูกประคำกระดูกขาวกระดำกระด่าง เหนือศีรษะมีลวดลายบัวดำแปลกประหลาดดอกหนึ่ง!
นี่คือผู้บำเพ็ญธรรมคนหนึ่งที่หลินสวินพบเจอ เพียงแต่เหมือนจะแปลกประหลาดและน่าหวาดกลัวเกินไป
มาตอนนี้ ได้ยินว่าภาษาสันสกฤตเก่าแก่บนแท่นบูชานั้น ถึงกับเป็นอักษรปริศนามหายานชนิดหนึ่งของผู้บำเพ็ญธรรม แน่นอนว่าทำให้หลินสวินไหวหวั่นไม่หยุด ความคิดมากมายผุดขึ้นไม่ขาดสาย
‘ไม่แน่ใจ เพียงแค่อักษรปริศนามหายานที่ประหลาดอัศจรรย์ยากหยั่งถึงแถวหนึ่งเท่านั้น ไร้เบาะแสอย่างเป็นรูปธรรม แค่ว่าที่แห่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับผู้บำเพ็ญธรรม’
เจ้าคางคกเองก็เดาไม่ถูกอยู่บ้าง
‘เจ้าลองนึกดูอีกที สามารถหวนนึกเรื่องราวบางส่วนเกี่ยวกับ ‘คีรีดวงกมล’ ได้หรือไม่’
หลินสวินอดไม่ได้ที่จะถาม
เจ้าคางคกส่ายศีรษะโดยสิ้นเชิง ‘นึกไม่ออก เจ้าก็อย่ายึดติดเลย ต่อให้รู้นั่นก็เป็นเรื่องราวสมัยบรรพกาล ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าเลย’
‘ครองผลหมายถึงอะไร’
จ้าวจิ่งเซวียนพลันเอ่ยถาม
‘ครองผลก็คืออริยะ นี่คือการหยั่งรู้มหามรรคแบบหนึ่งสำหรับการบำเพ็ญธรรม หรือก็คือระหว่างบำเพ็ญธรรม ขอเพียงสามารถครองผลได้ ก็ไม่จำเป็นต้องคลางแคลง นั่นคืออริยสงฆ์ผู้หนึ่งโดยมิต้องสงสัย’
เจ้าคางคกกล่าวอธิบายประโยคหนึ่ง
อริยสงฆ์?
คำเรียกนี้กลับพิเศษโดดเด่นอยู่บ้าง ทำให้หลินสวินอดนึกถึงขึ้นมาไม่ได้ ภิกษุตาบอดแปลกประหลาดที่ตนเคยพบรูปนั้น ก่อนหน้านี้ก็เป็นอริยสงฆ์ผู้หนึ่งหรือไม่?
“ศิษย์พี่จ้าว พวกท่านกำลังพูดอะไรกัน เหตุใดไม่กล่าวออกมาให้ทุกคนได้ใคร่ครวญด้วยกัน”
ทันใดนั้นเหวินเสียงที่อยู่ห่างออกไปก็ยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยปาก
หลินสวินหันกลับไปมอง สายตาพวกเซียวหรัน ซูซิงเฟิง อวิ๋นเช่อเองก็จับจ้องมาทางนี้ตลอด
“เสือกอะไรด้วย”
เจ้าคางคกหน้าตาหงุดหงิด เขาไม่มีความรู้สึกดีกับพวกผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณนี่สักนิด จึงพูดจาไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
เหวินเสียงสีหน้าค้างแข็ง โมโหขึ้นทันใด “คนอย่างเจ้าอยากมาร่วมชิงวาสนาพร้อมกับพวกเรา เอารัดเอาเปรียบแล้วยังไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ ท่าทางกำเริบเสิบสานเช่นนี้ หรือคิดอยากเป็นศัตรูกับพวกเรา”
เจ้าคางคกชี้เหวินเสียงอย่างหยามเหยียด หยิ่งยโสทะยานฟ้า “ไอ้เด็กเมื่อวานซืนเจ้าหุบปาก ผู้ใหญ่เขาคุยกัน มีส่วนไหนให้เจ้าสอดปากเข้ามาจุ้น”
“เจ้า…”
เหวินเสียงผุดลุกขึ้น นัยน์ตาฉายแววสังหาร
“พอแล้ว อย่าได้ถกเถียงกันอีก”
เซียวหรันออกปาก น้ำเสียงยังคงราบเรียบและน่าเกรงขามดังเดิม
เห็นดังนี้จ้าวจิ่งเซวียนลังเลนิดหน่อย กลับเห็นหลินสวินดูเหมือนเดาความคิดในใจนางออก ชิงเอ่ยปากก่อน
เขายิ้มกล่าว “ก็ไม่มีอะไรต้องปกปิด อักษรโบราณเหล่านี้คือสิ่งที่อริยะผู้บำเพ็ญธรรมคนหนึ่งหลงเหลือไว้ เป็นภาษาสันสกฤตยากพบเห็นอย่างหนึ่ง ชื่อว่าอักษรปริศนามหายาน”
บำเพ็ญธรรม!
อักษรปริศนามหายาน!
ทันทีที่ได้ยินคำพวกนี้ ในใจพวกเซียวหรันพลันสั่นสะท้าน
“ยังมีเบาะแสอื่นอีกหรือไม่”
เซียวหรันกล่าวเสียงทุ้มต่ำ แค่เบาะแสพวกนี้ ไม่อาจได้ข้อสรุปอะไรอย่างสิ้นเชิง
หลินสวินส่ายศีรษะ
“หลินเสวียน ตอนนี้พวกเรายืนอยู่ฝ่ายเดียวกันแล้ว ขอเจ้าอย่าได้เก็บงำเอาไว้ หากถ่วงรั้งโอกาสช่วงชิงวาสนาของทุกคน ผลที่ตามมาเจ้ารับผิดชอบไหวงั้นรึ”
ซูซิงเฟิงน้ำเสียงเย็นชาเคร่งครัด เห็นชัดว่าคิดว่าหลินสวินเก็บงำอะไรไว้ เจตนาปกปิดบางอย่าง
“ฮ่าๆ เจ้าหนูเจ้าเห็นแล้วใช่ไหมล่ะ ไม่บอกพวกเขา พวกเขาก็คิดว่าเจ้าอมพะนำ บอกพวกเขา พวกเขาก็ยังสงสัยว่าเจ้าเก็บงำอะไรไว้ สรุปก็คือเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง”
เจ้าคางคกมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
หลินสวินไหวไหล่ไม่ใส่ใจ แต่ความจริงในใจมีเพลิงโทสะอยู่บ้าง เจ้าซูซิงเฟิงนี่ยังทำเหมือนเขาเป็นแค่ ‘ผู้ติดตาม’ จริงๆ
“ที่หลินเสวียนพูดมาทั้งหมดไม่มีเก็บงำแม้แต่น้อย เชื่่อไม่เชื่อก็เรื่องของพวกเจ้า”
จ้าวจิ่งเซวียนเองก็โมโหอยู่บ้าง เดิมทีหลินสวินไม่จำเป็นต้องอธิบาย ที่เขาทำเช่นนี้คงเพราะไม่อยากให้ตนลำบากใจ
ตอนนี้เป็นอย่างไร หลินสวินพูดก็พูดแล้ว เจ้าซูซิงเฟิงนี่ยังสงสัยหลินสวิน นี่มันมากเกินไปแล้ว
เซียวหรันยิ้มกำลังจะกล่าวอะไร แต่ในเวลานั้นเอง จู่ๆ คลื่นศักดิ์สิทธิ์ไร้รูปพลันเคลื่อนไหว ตลบอบอวลออกมาจากยอดเขาอย่างฉับพลัน
กลิ่นอายนั้นยิ่งใหญ่ไร้สิ้นสุด สั่นสะเทือนฟ้าดิน ทำให้ทะเลหมอกพวยพุ่ง ก่อเกิดโกลาหลอย่างรุนแรง
“วาสนาใกล้ปรากฏขึ้นแล้ว?”
“เร็วเข้า เตรียมตัวให้พร้อม!”
เวลานี้ในอาณาเขตแท่นบูชาสี่สิบเก้าแห่งซึ่งกระจายกันอยู่บนยอดเขานี้ ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าล้วนตื่นตระหนก ทยอยลุกขึ้น สีหน้าตื่นเต้นดีใจ
วาสนาครานี้ในที่สุดก็จะปรากฏแล้วใช่หรือไม่
พวกเซียวหรันเองก็นัยน์ตาเปล่งประกาย พากันลุกขึ้นเตรียมพร้อมรับมือทุกเมื่อ
วู้ม!
ยอดเขากว้างใหญ่ไพศาล แท่นบูชาเก่าแก่โบราณสี่สิบเก้าแท่น เวลานี้เสมือนตื่นจากความเงียบงันแห่งกาลเวลาไร้สิ้นสุดพร้อมกัน ก่อเกิดคลื่นผันผวนศักดิ์สิทธิ์อันเร้นลับ เปล่งแสงสว่างเรืองรอง
แค่เพียงชั่วพริบตา ภูเขาเทพหมอกม่วงทั้งลูกเริ่มสั่นไหว กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์เข้มข้นไหลวน ความน่าเกรงขามแผ่กว้างถึงขีดสุด
พยับเมฆบนท้องฟ้าราวแบกรับไม่ไหว ทยอยพังทลายร่วงกราว
รอบรัศมีพันลี้ เดรัจฉานทั้งหลายแหล่ครวญคร่ำคำรามตัวสั่นงันงก ก้อนหินต้นไม้บังเกิดเสียงดังสวบสาบ คล้ายกำลังก้มหัวยอมสวามิภักดิ์
ส่วนที่เชิงเขา ผู้แข็งแกร่งมากมายหลายหลากยังคงเข่นฆ่าโรมรันกันดุเดือด เพื่อแย่งชิงหนทางสู่ยอดเขา
แต่เมื่อสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลกนี้ พวกเขาต่างหน้าเปลี่ยนสี หยุดการเคลื่อนไหว มองไปยังยอดเขาโดยพร้อมเพรียง วาสนาหนึ่งเดียวในใต้หล้าครานี้กำลังบังเกิดขึ้นแล้วงั้นรึ
ทันใดนั้นพวกเขาเปลี่ยนเป็นบ้าระห่ำยิ่งกว่าเดิม เลือดหลั่งรินไม่หยุดหย่อน แทบอยากจะรีบเร่งมุ่งขึ้นไปบนยอดเขาทันที ทำให้การเข่นฆ่าที่เชิงเขาเปลี่ยนเป็นโหมคลั่งขึ้นเรื่อยๆ ชวนให้ประหวั่นยิ่งนัก
ตูม!
บนยอดเขา วายุเมฆาเปลี่ยนสี กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่ง แท่นบูชาเก่าแก่สี่สิบเก้าแท่นส่องสว่างเรืองรอง ตลบอบอวลด้วยกลิ่นอายซ่อนเร้นยากหยั่งถึง
ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าที่ยึดครองบริเวณต่างๆ อยู่ก่อนแล้วล้วนเคร่งเครียด ปากแห้งลิ้นฝืด นัยน์ตาฮึกเหิมและเฝ้าคอยสุดกำลัง
รอคอยมาหลายวัน วาสนายิ่งใหญ่ครานี้ในที่สุดก็จะอุบัติขึ้นบนโลก ต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าคนใหญ่คนโตที่อยู่โลกภายนอกมาเยือน เกรงว่าคงยากจะสงบนิ่งอยู่ได้กระมัง
‘เจ้าหนู วาสนามาเยือนก็หมายความว่าเคราะห์สังหารที่แท้จริงจะเปิดฉากขึ้น ยังจำคำที่ข้าบอกก่อนหน้าได้หรือไม่ มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า ที่นี่แหละคือรูปแบบเก้ามรณาหนึ่งรอดพ้น อย่าได้ถูกวาสนาบดบังดวงตาเด็ดขาด มิฉะนั้นจะต้องประสบเคราะห์แน่!’
เวลานี้เจ้าคางคกถึงกับตึงเครียดขึ้นมาอย่างยากจะเห็น เตือนหลินสวินว่าต้องตื่นตัวและระวังภัย
หลินสวินแอบพยักหน้า การเปลี่ยนแปลงสะเทือนใต้หล้าที่เห็นกับตาเบื้องหน้านี้ นอกจากความตื่นเต้นในใจแล้ว ยังมีความระแวดระวังอยู่ด้วย
ไม่ต้องคิดให้มากความ ทันทีที่วาสนาปรากฏ ผู้แข็งแกร่งแต่เผ่า ณ ที่นี้จะต้องเฮโลขึ้นมา ทำการแก่งแย่งช่วงชิง นั่นต้องเป็นภาพนองเลือดเหี้ยมโหดอำมหิตหนึ่งอย่างแน่นอน
นี่ยังเป็นเพียงการประชันขันแข่งกันเท่านั้น เมื่อแย่งชิงวาสนาอย่างแท้จริง ใครเล่าจะสามารถแน่ใจว่า จะไม่พบเจอเคราะห์สังหารไร้เทียมทานที่ซ่อนอยู่ในนี้
ทันใดนั้นห้วงอากาศตรงศูนย์กลางยอดเขาพลันปรากฏแสงสว่างเล็กน้อย ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเจิดจ้าขึ้น จนกระทั่งตอนท้ายสุดถึงขั้นเหมือนดวงตะวันร้อนแรง ฉายแสงเจิดจรัสเสียดแทงนัยน์ตา สาดส่องทั่วขุนเขาธารา!
“นี่มันอะไรกัน”
ผู้แข็งแกร่งมากมายตกตะลึง ไม่กล้าเพ่งมองโดยตรง
“ไม่ต้องไปสนว่าคืออะไร แย่งมาให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน!”
และมีผู้แข็งแกร่งที่ไม่คิดจะรอคอยต่อไป ลงมือโดยตรง หมายคว้าโอกาสช่วงชิงเป็นคนแรก
นั่นคือผู้แข็งแกร่งเผ่าหงส์หิรัณย์คนหนึ่ง กลายร่างเป็นหงส์ทองอร่ามตัวหนึ่ง สยายปีกบดบังนภากาศ ท่าร่างราวอสนี พริบตาก็พุ่งตรงออกไป
แต่ทว่าภาพที่พาให้คนประหวั่นพลันปรากฏ เขายังไม่ทันได้เข้าประชิด ร่างกายกลับถูกแสงสว่างไร้สิ้นสุดนั่นฝังกลบ และถูกเผาเป็นเถ้าถ่านหายไปอย่างเงียบงัน ตั้งแต่ต้นจนจบแม้แต่เสียงร้องทุรนทุรายล้วนไม่ทันได้เปล่งออกมา!
นี่เป็นถึงบุคคลชั้นยอดผู้หนึ่ง กลับตายไปอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ ที่น่ากลัวที่สุดคือ ยันต์กระดูกวิญญาณของเขาไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้!
เฮือก!
ณ ที่นั้นเสียงสูดหายใจหนาวเยือกดังเป็นระลอก ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดเหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็นถังหนึ่ง ความตื่นเต้นและบ้าคลั่งในใจถอยถดลงไม่น้อย
พวกเขาตอนนี้ถึงได้ตระหนักว่า นี่คือวาสนายิ่งใหญ่ แต่ก็เป็นมหาเคราะห์สังหารเช่นเดียวกัน! ไม่อาจไม่ระมัดระวัง!
และในเวลานี้เอง แสงสว่างโชติช่วงกลางอากาศนั้นเริ่มเปลี่ยนแปลง เกาะกลุ่มรวมตัวเป็นดอกบัวเสมือนภาพลวงตาดอกหนึ่ง
ดอกบัวไม่ใหญ่ ขนาดแค่ปากชาม ประหนึ่งหล่อหลอมจากกระจกสีอันบริสุทธิ์ที่สุดในโลกหล้า กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ไพศาลไหลบ่า ส่องประกายสว่างไสว
มันเบ่งบานอยู่กลางอากาศ ประดุจโคมดอกบัวดวงหนึ่ง แม้มีขนาดแค่ปากชาม กลับส่องสว่างผืนฟ้าผืนดิน สาดส่องขุนเขาธาราและสรรพสิ่ง!
แสงสว่างและความศักดิ์สิทธิ์ ในเวลานี้ดำรงอยู่ทั่วทุกแห่ง!
………….

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด