Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 552 ต้นไม้น้อยสีทอง
หลินสวินตะลึงงันอยู่บ้างเขาสังเกตทัศนียภาพโดยรอบ อาณาเขตแถบนี้เป็นต้นไม้เก่าแก่ลายพร้อย ดูแข็งแกร่งเปี่ยมพลังหาใดเปรียบ แต่ละต้นล้วนต้องใช้เจ็ดแปดคนโอบจึงสามารถล้อมได้หมด เปลือกแก่แตกแยกออกประหนึ่งเกล็ดมังกรบนผืนดินใบไม้ร่วงหล่นหนาแน่น เห็นชัดว่ากองสะสมนานหลายปี กรุ่นกลิ่นอายกัดกร่อนที่นี่คือแดนลับอสูรมารอริยะ?เดิมหลินสวินคิดว่า ในเมื่อแดนลับอสูรมารอริยะอยู่ภายใต้แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ จะต้องเป็นโลกใต้บาดาลอย่างแน่นอน ใครเล่าจะคิดว่ากลับกลายเป็นแผ่นดินที่ต้นไม้เขียวชอุ่มผืนหนึ่ง!แน่นอน สิ่งที่ทำให้หลินสวินผิดคาดที่สุดคือ เขากับจ้าวจิ่งเซวียนแยกจากกันแล้ว!ไม่เพียงแต่จ้าวจิ่งเซวียนเท่านั้น แม้แต่คนอื่นจากแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณต่างก็หาไม่เจอ…สถานการณ์ท่าจะไม่ดีแล้ว!หลินสวินขมวดคิ้วมุ่น เดิมทีเขาเคยปรึกษากับจ้าวจิ่งเซวียนว่าจะดำเนินการด้วยกันแต่ใครจะไปคาดคิด ทันทีที่เข้าสู่แดนลึกลับแปลกหน้าแห่งนี้ พวกเขากลับถูกพลังที่มองไม่เห็นจับแยกกันไปคนละทาง กระจัดกระจายกันออกไป“ให้ตาย นี่มันเรื่องอะไรกัน”“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เหตุใดถึงไม่เห็นพวกคุณชายแล้ว”ที่ไกลออกไปจู่ๆ เกิดเสียงวุ่นวายขึ้นหลินสวินพลันมองเห็นว่าในสถานที่ห่างออกไปมีเงาร่างสิบกว่าร่าง ทั้งชายและหญิง มาจากกลุ่มเผ่าแตกต่างกันไปเห็นชัดว่าพวกเขาต่างก็คาดไม่ถึงเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าหลังจากเข้ามายังแดนลึกลับจะถูกแยกกระจายกันออกไป ชั่วขณะเดียวก็ทำให้สิ่งที่พวกเขาตระเตรียมไว้ก่อนหน้าเสียแผนไปหมดไม่นานนักพวกเขาก็สังเกตเห็นหลินสวิน พลันสงบปากลงทันที ไม่พูดมากความอีก ทั้งยังกระจายกันออกไปอย่างรวดเร็ว ต่างฝ่ายต่างป้องกันตนเองเพราะหลังจากเข้ามายังแดนลับอสูรมารอริยะนี้แล้ว พวกเขาก็คือคู่แข่ง ขณะที่เสาะหาวาสนา ต่างฝ่ายต่างเต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขันอย่างเปี่ยมล้นหลินสวินเริ่มก้าวเท้า คิดอยากจะออกไปจากตรงนี้ให้ไวอันที่จริงขณะที่เขาเคลื่อนไหว คนอื่นต่างก็กระจายกันออกไป มุ่งหน้ากันไปคนละทาง ไม่ว่าใครก็ไม่อยากถูกคนอื่นจับจ้องระแวดระวัง เกรงจะนำมาซึ่งสิ่งที่ไม่อาจคาดคะเน“หืม? หลินจือหิมะเถาวัลย์ม่วง!”แว่วเสียงประหลาดใจหนึ่งดังมาแต่ไกลก็เห็นผู้ฝึกปราณจากเผ่าวิญญาณอมตะคนหนึ่งอยู่ที่รากต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่ง ค้นพบเถาวัลย์ม่วงท่อนหนึ่ง บนเถาวัลย์ม่วงมีเห็ดหลินจือขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะเกิดขึ้นมาดอกหนึ่ง อบอวลไปด้วยแสงประกาย โชยกลิ่นหอมต้องจมูกหลินจือหิมะดอกนี้แค่มองก็รู้ว่าไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ราวเจียระไนจากหยกขาว แวววาวเปล่งประกาย แสงกระจ่างไหลบ่าเอ่อล้นผู้ฝึกปราณคนนี้ย่อตัวลง หยิบกริชออกมาเล่มหนึ่ง ก่อนลงมือขุดอย่างระมัดระวัง หมายขุดเถาวัลย์ม่วงท่อนนั้นออกมาอย่างสมบูรณ์ปึง!ทันใดนั้นเองเสียงแหวกอากาศดังก้องขึ้น แสงทมิฬสายหนึ่งพุ่งมาอย่างรวดเร็วราวอสนีบาต ทะลุผ่านศีรษะของผู้ฝึกปราณคนนั้น เปิดฉากฝนโลหิตแถบหนึ่งผู้ฝึกปราณคนนั้นดวงตาเบิกกว้างฉายแววคับแค้นไม่พอใจ ลงไปนอนกองท่ามกลางบ่อโลหิตนั่นเป็นลูกศรสีดำดอกหนึ่ง แม่นยำรวดเร็ว เหี้ยมโหดหาใดเปรียบ ปลิดชีพในดอกเดียว จู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้ผู้ฝึกปราณนั่นไม่ทันได้ตอบสนองก็จบชีวิตลงตรงนั้นนี่ทำให้ผู้ฝึกปราณจำนวนหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงใจสั่นสะท้าน อำมหิตเกินไปแล้ว! เพิ่งจะเข้ามายังแดนลับอสูรมารอริยะ ก็ถูกคนยิงสังหารอย่างไร้เยื่อใย“สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ใช่ของที่เจ้าแตะต้องได้รึ” เงาร่างแข็งแรงกำยำหนึ่งก้าวเข้ามา ก่อนช่วงชิงหลินจือหิมะเถาวัลย์ม่วงไปนั่นคือชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ล่ำสันคนหนึ่ง ผมสีโลหิตหนาทึบทั้งศีรษะ นัยน์ตาดุจคมดาบน่าพรั่นพรึง มือถือเกาทัณฑ์ยักษ์คันหนึ่ง พละกำลังสะกดผู้คน“พวกเจ้าจงดูให้ดี เขตหวงห้ามนี้ถูกข้า ‘เผ่าสิงห์โลหิต’ ยึดครองไว้แล้ว วาสนาทั้งหมดในนี้ล้วนเป็นของพวกข้า ใครกล้าแตะต้อง มันผู้นั้นต้องตาย!”ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ล่ำสันกวาดสายตามองทั่วทิศ ตวาดเสียงกร้าวราวราชสีห์แผดเสียงคำราม น้ำเสียงเจือไอสังหารเข้มข้นแผ่ซ่านออกมาพูดจบ เงาร่างเขาก็วูบหายไปยังส่วนลึกของผืนป่าผู้คนมากมายต่างโกรธแค้น แต่พวกเขาต่างคนต่างแยกย้ายกันไป เมื่อสูญเสียการปกป้องดูแลจากผู้แข็งแกร่งของเผ่าตน ยามพบเจอการข่มขู่กดดันเช่นนี้ก็ได้แต่หักห้ามใจเอาไว้“เจ้าหมอนั่นดูเหมือนจะเป็นสือจวิ้นอัจฉริยะรุ่นเยาว์แห่งเผ่าสิงห์โลหิต นิสัยโอหังแข็งกร้าว บ้าเลือดหาใครเสมอเหมือน”มีคนพูดเสียงเบา“ระวังหน่อย ไม่ได้ยินรึไง ในป่าที่อยู่ไกลออกไปนั่นยังมีผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตอีกมาก!”ผู้คนไม่น้อยต่างพบว่าในผืนป่าอันห่างไกลตะคุ่มมัว ผู้แข็งแกร่งของเผ่าสิงห์โลหิตกลับไม่ได้แยกย้ายกันออกไปหลินสวินเองก็สังเกตเห็นทั้งหมด อดขมวดคิ้วไม่ได้ ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตนั่นเผด็จการเกินไปแล้ว วิธีการก็เหี้ยมโหดถึงขีดสุดผู้ฝึกปราณจำนวนมากต่างเริ่มถอยร่นออกห่างจากบริเวณนี้ ไม่ยอมปะทะเผ่าสิงห์โลหิตซึ่งหน้าและมีอีกหลายคนยังอยู่ต่อ เพราะพวกเขารู้สึกว่าผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตรวมตัวกันเช่นนี้ เกรงว่าจะค้นพบวาสนาอะไรบางอย่างจึงต้องการปิดล้อมที่นี่ ไม่ยอมให้ผู้อื่นมาแตะต้องท้ายที่สุดหลินสวินก็ตัดสินใจซ่อนคมในฝัก เขาตัวคนเดียว ยังไม่รู้ถึงเบื้องลึกของแดนลับอสูรมารอริยะอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่อยากให้มีปัญหาแทรกซ้อนมาเพิ่มอีกผืนป่ารกชัฏ หลินสวินก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เขาในเวลานี้แบกธนูวิญญาณไร้แก่นสาร มือถือดาบหักมั่น ตื่นตัวและรอบคอบเขาย่อมไม่กล้าประมาทเป็นธรรมดา ที่นี่คือแดนลับอสูรมารอริยะ ทั้งยังมีผู้แข็งแกร่งแฝงตัวอยู่มากมาย ใครจะรู้ว่าเก็บซ่อนอันตรายและการดักปล้นสังหารมากเท่าไหร่หลังจากนั้นครึ่งเค่อเสียงกัมปนาทแปลกประหลาดราวมังกรคำรามพลันก้องดังขึ้นจากด้านหลังหลินสวินชะงักเท้าชั่วขณะก่อนหันกลับไปมอง ก็เห็นสถานที่ไกลออกไป บนฟากฟ้าปรากฏไอหมอกสีทองลอยขึ้นม้วนทะยาน เสมือนดั่งเมฆมงคลแสงสมบัติ เจือเสียงมังกรคำรามปั่นป่วนโถมกระหน่ำ ปรากฏการณ์ประหลาดน่าอัศจรรย์หากหลินสวินจำไม่ผิด ตรงนั้นคือบริเวณที่ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่!“ดูท่าพวกเขาจะพบวาสนาสะเทือนใต้หล้าบางอย่างในที่นั้นจริงดังคาด จึงเกิดปรากฏการณ์ประหลาดจากฟากฟ้าเช่นนี้…”หลินสวินกล่าวเสียงแผ่วเบาในใจเขารู้สึกตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดก็อดกลั้นเอาไว้ ไม่ได้เดินกลับไปปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้า จะต้องดึงดูดผู้แข็งแกร่งจำนวนมากมาแย่งชิงแน่นอน เป้าหมายใหญ่เกินไปแล้ว ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ ปรากฏการณ์ประหลาดนั่นบังเกิดขึ้นบนโลก จะต้องเกิดการต่อสู้อย่างบ้าระห่ำสยดสยองฉากหนึ่งเป็นแน่เป็นจริงดังคาด เพียงไม่นานเสียงเข่นฆ่าโรมรันอย่างดุเดือดดังก้องขึ้น เสียงคำรามโกรธแค้นราวอสนีบาต แม้จะห่างออกไปมากแต่ก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจนหลินสวินเงยหน้ามองออกไปทางนั้น ก็เห็นเงาร่างมากมายทะลวงทะยานต่อสู้กันอย่างดุเดือด คาวเลือดเดือดพล่านหาใดเปรียบแต่สิ่งที่พวกเขาต่อสู้แย่งชิงกันนั้น กลับเป็นต้นไม้น้อยสีทองต้นหนึ่ง แสงที่แผ่ออกมาเสมือนดวงตะวันเจิดจ้า สีทองเรืองรองอร่ามตา ย้อมห้วงอากาศเป็นสีทองงามตระการอีกทั้งต้นไม้น้อยสีทองนั่นราวมีจิตวิญญาณ สามารถหายตัวบินหลบกลางอากาศ บรรดาผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นที่ต้องการไขว่คว้ามัน ไม่เพียงแต่ต้องโรมรันประหัตประหารดุเดือดเท่านั้น ยังต้องป้องกันไม่ให้มันวิ่งหนีหายไปอีกด้วย สถานการณ์ผิดแปลกสับสนอลหม่านนี่มันต้นไม้ล้ำค่าอะไรกัน ถึงขั้นมีจิตวิญญาณกายสิทธิ์เช่นนี้ ทั้งยังสามารถก่อให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดจากฟากฟ้าได้หลินสวินเผยสีหน้าประทับใจอย่างอดไม่อยู่ นี่ต้องเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งเป็นแน่ ยากพบเห็นหาใครเสมอเหมือน มีความมหัศจรรย์เหนือจินตนาการแต่ท้ายที่สุดหลินสวินยังคงควบคุมตนเองอย่างเต็มที่ ไม่ได้เข้าไปแก่งแย่งช่วงชิง เพราะในช่วงเวลาอันสั้นก็มีผู้แข็งแกร่งมากมายถูกดึงดูดมา พุ่งทะยานเข้าไปในฉากต่อสู้อันดุเดือดนั่นคนมากเกินไปก็อันตรายเกินไป ไม่คุ้มค่าที่จะนำชีวิตไปเสี่ยงหลินสวินออกเดินทางต่ออีกครั้งเพียงแต่ว่าจากเรื่องนี้ทำให้เขาตระหนักถึงความไม่ธรรมดาของ ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ นี่ยิ่งกว่าเดิม แผ่กระจายวาสนามากมาย ทั้งยังให้กำเนิดโอสถวิญญาณที่ยากพบเห็น ไม่อาจพบเจอในโลกภายนอก‘เจ้าคางคก เจ้าเคยได้ยินเรื่องราวแดนลับอสูรมารอริยะที่อยู่ภายใต้แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์หรือไม่’ระหว่างทาง หลินสวินเอ่ยถามจินตู๋อี‘แดนลับอสูรมารอริยะอะไร ข้ารู้เพียงว่า ครั้งบรรพกาลเคยมีอริยมรรคมากสามารถไม่น้อยเข้าไปยังแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์และก็ไม่เคยกลับออกมาอีก บางคนกล่าวว่าพวกเขาร่วงหล่นไปแล้ว บ้างกล่าวว่าอริยมรรคผู้เก่งกาจเหล่านั้นพบเจอสิ่งเร้นลับที่แท้จริงของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ และเข้าสู่พิภพอีกแห่งหนึ่ง’น้ำเสียงจินตู๋อีแฝงความอวดดี ‘ดูท่าทางเจ้าถ่อมตนขอคำชี้แนะแบบนี้ ข้าว่าเจ้าอย่าคิดเข้าไปในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เลยจะดีที่สุด ปราณของเจ้าใช้การไม่ได้เกินไป เพียงแค่เข้าไปก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย’หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบ ‘เจ้าคางคก ตอนนี้พวกเราก็อยู่ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์’จินตู๋อีถูกทำให้ตกใจโดยพลัน ตะโกนออกมา ‘เจ้าว่าอะไรนะ เจ้าเจ้า… เจ้าเข้ามายังแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์แล้ว? แถมยังไม่ตาย? เป็นไปไม่ได้ เจ้าอ่อนแอขนาดนั้น ทำไมยังมีชีวิตรอดอยู่ได้’หลินสวินตัดบทคำพูดพร่ำของเขา เล่าเรื่องที่ตนเข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะให้เขาฟัง‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้… เหนือแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ก่อสร้างทางลึกลับเคลื่อนย้ายโบราณ… มิน่าล่ะเจ้าถึงยังมีชีวิตอยู่…’จินตู๋อีดูเหมือนจะเข้าใจแล้ว ก่อนจะกล่าวอย่างเร่าร้อน ‘เยี่ยมยอดจริงๆ สามารถก่อสร้างทางลึกลับอัศจรรย์เช่นนี้เหนือแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้ ฝีมือเช่นนี้จะต้องเป็นอัครอริยมรรคเท่านั้นจึงจะสำแดงออกมาได้!’ยังไม่รอให้หลินสวินได้เอ่ยปาก เขาก็พูดน้ำลายแตกฟองต่อ ‘เจ้าคนข้างนอกนั่น ครั้งนี้เจ้าได้พัฒนาแล้ว! ข้ากล้ายืนยันได้เลยว่าในดินแดนลึกลับนี่ต้องมีวาสนายิ่งใหญ่ยากจินตนาการแน่นอน!’‘ข้ารู้อยู่แล้ว’หลินสวินแทบจะกลอกตาใส่ ในที่สุดเขาก็แน่ใจว่าเจ้าคางคกเรื้อนจินตู๋อีนี่ ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแดนลับอสูรมารอริยะสักนิด‘เจ้ารอก่อนสิ ถึงแม้ข้าไม่รู้ที่มาของแดนลี้ลับนี้ แต่ก็มองมูลค่าของวาสนาและสมบัติลึกลับส่วนหนึ่งออก มิสู้… เจ้าปล่อยข้าออกไป พวกเราร่วมมือกันเสาะหาวาสนาเป็นอย่างไร’จินตู๋อีใช้วิธีพูดหว่านล้อม ‘เจ้าลองคิดดู มีข้าคอยชี้แนะ วาสนาที่ไหนจะหลุดหนีจากมือเจ้า นี่คือโอกาสที่หาได้ยาก ตามปกติแล้วข้าจะไม่ตกปากรับคำใครง่ายๆ นะ’‘ช่างมันเถอะ วาสนาก็คือวาสนา สิ่งที่ทดสอบก็คือโชควาสนาของแต่ละคน ไหนเลยจะสามารถให้เจ้าได้มาครองโดยง่าย เจ้าคางคก เจ้าน่ะอยู่นิ่งๆ ไปเถอะ!’หลินสวินปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ไม่พูดไร้สาระกับจินตู๋อีอีก ทันทีที่เจ้าคางคกเรื้อนนี่ออกมา จะต้องไม่ให้ความร่วมมือดีๆ แน่ ไม่แน่ว่าอาจจะหลบหนีไปด้วยไม่นานนักหลินสวินก็ออกมาจากป่าผืนนั้น มาถึงหน้าผาแห่งหนึ่งทอดสายตามองจากจุดนี้ไปก็สามารถมองเห็นอย่างชัดเจน การต่อสู้ในส่วนลึกของผืนป่าได้ปิดฉากลงแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าต้นไม้น้อยสีทองอันวิเศษมหัศจรรย์ต้นนั้น ท้ายที่สุดตกอยู่ในมือผู้ใดหืม?ทันใดนั้นหลินสวินก็สังเกตเห็นว่า บนหน้าผาสูงชันอีกฟากหนึ่งมีโอสถวิญญาณต้นหนึ่งขึ้นอยู่ ฝนแสงลอยละล่องซ้อนสลับ โชยกลิ่นหอมกำจร แสงมันวาวนั่นประดุจดั่งแสงจันทร์พร่าเลือนบริสุทธิ์สมบัติชั้นดี!หลินสวินนัยน์ตาฉายแวววาบ เพียงแค่สูดกลิ่นหอมโอสถเพียงครั้งก็ทำให้เขาปลอดโปร่งโล่งสบายไปทั้งตัว เลือดลมไหลเวียน รู้สึกกะปรี้กะเปร่าไม่ต้องสงสัยเลย โอสถวิญญาณต้นนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ถึงขั้นเหนือกว่าหลินจือหิมะเถาวัลย์ม่วงต้นที่เห็นก่อนหน้าหนึ่งขั้นเพียงแต่เมื่อหลินสวินคิดจะเก็บมัน ลูกศรวิญญาณสีดำดอกหนึ่งก็ยิงออกมา เสียงดีดผึงพุ่งตรงไปยังหน้าผา ทำให้หินผาพังทลายสั่นสะเทือนไม่หยุดหลินสวินเบี่ยงตัวหลบ แม้ดูตระหนกแต่ไม่ได้รับอันตราย ก่อนมองไปยังที่ห่างไกลก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ล่ำสันคนหนึ่งยืนอยู่ไกลออกไป มือถือเกาทัณฑ์ยักษ์ ผมสีโลหิตทั้งศีรษะประดุจเปลวเพลิง กลิ่นอายสะกดข่มผู้คน แววตาดุดันสือจวิ้น!หลินสวินคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะพบเจ้าหมอนี่อีก เขาไม่ได้ไปแย่งชิงต้นไม้น้อยสีทองนั่นหรอกรึ ทำไมถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่“หญ้าแสงจันทร์ต้นนี้ข้าจองไว้แล้ว เจ้ามีความเห็นอะไรไหม”สายตาสือจวิ้นเคร่งขรึมเย็นชา กวาดมองหลินสวินราวใบมีดคมกริบ คำพูดแฝงการข่มขู่อย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย………………..
คอมเม้นต์