Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 541 ดินแดนทะเลประหลาด
ฟ้าดินเงียบสงัด น้ำทะเลสงบไร้คลื่นแต่ความเงียบที่เร้นลับแบบนี้ กลับทำให้ทุกคนบนยานสำเภาอกสั่นขวัญแขวน รู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายอย่างหนึ่งยานสำเภาเปล่งประกาย เจิดจรัสสะดุดตา ลวดลายอันลึกลับไหลเวียน เกิดพลังล่องหนปกคลุมยานสำเภาเอาไว้บนผิวทะเลไม่รู้ว่าเกิดหมอกอันมืดสลัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เห็นแรกๆ ก็ไม่ได้สะดุดตา แต่พอยานสำเภาเคลื่อนไปเบื้องหน้าช้าๆ หมอกนั่นก็มากขึ้นเรื่อยๆ พร่ามัวราวกับภาพมายา มืดสลัวชวนให้ขนลุกไม่นานยานสำเภาก็ค่อยๆ หยุดลง ในขณะเดียวกันบนผิวน้ำสีดำในหมอกมัวกลับมีแท่นบูชาโบราณแท่นหนึ่งปรากฏขึ้น!แท่นบูชามีขนาดเท่าเนินเขาเล็กๆ สร้างด้วยหินหายากชนิดต่างๆ ทั้งเก่าแก่และรกร้าง ราวกับมีมาตั้งแต่บรรพกาล มีกลิ่นอายแห่งกาลเวลาหนาแน่นเมื่อมองไปที่แท่นบูชานั้น สายตาของทุกคนบนยานสำเภาต่างเปลี่ยนไป ราวกับดาวเหนือเคลื่อนที่ สรรพสิ่งล้วนกำลังผันเปลี่ยน ทำให้จิตวิญญาณของคนแทบจะจมอยู่ในนั้น!“เฮอะ!”ทันใดนั้นเสียงของผู้เฒ่าเกาหยางพลันดังขึ้นข้างหู ปลุกเหล่าลูกศิษย์ในยานสำเภาให้ตื่นจากภวังค์ ทำให้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูและเคร่งขรึมขึ้นมาทันทีแท่นบูชาโบราณที่แปลกประหลาดและเก่าแก่นี้ แค่มองก็แทบจะทำให้จิตวิญญาณหลงใหลอยู่ในนั้น น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้วแม้แต่หลินสวินก็ยังประหลาดใจ พลังจิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งเพียงใด ทั้งยังฝึกเคล็ดเวทบริกรรมมาด้วย แต่ยามนี้เขาเองก็ได้รับผลกระทบจากพลังของแท่นบูชาโดยไม่ได้ตั้งใจ“นี่คือแท่นบูชาเคลื่อนย้ายบรรพกาล สามารถข้ามเวลาทะลวงอากาศ เคลื่อนที่อยู่ในเก้าชั้นฟ้าสิบทศภูมิ เคลื่อนย้ายผู้คนไปยังทุกที่ที่ต้องการ”ผู้เฒ่าเกาหยางอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา “ต่างจากค่ายกลเคลื่อนย้ายในปัจจุบัน แท่นบูชาบรรพกาลระดับนี้ ถึงขั้นสามารถเปิดกำแพงโลก ทะลุสู่นอกวงโคจรดารา เข้าถึงได้ทุกแห่งทุกหน!”ทุกคนสูดหายใจเข้าด้วยความตกใจ ยิ่งตะลึงกับวิถีปราณในสมัยบรรพกาล เรียกได้ว่าฝีมือดุจดั่งธรรมชาติ แข็งแกร่งอย่างยิ่ง“มีเพียงอริยะบุคคลบรรพกาลผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะสามารถวางแท่นบูชาระดับนี้ได้ และโดยทั่วไปแท่นบูชาระดับนี้จะใช้เพื่อบูชาอริยะ ผู้ที่ฐานะด้อยกว่าอริยะไม่สามารถกระตุ้นพลังในแท่นบูชาได้”แววตาของผู้เฒ่าเกาหยางเองก็ปรากฏแสงประหลาด ราวกับกำลังหวนคิดถึงช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์สมัยบรรพกาล“ท่านผู้เฒ่า สิ่งนี้เป็นถึงสมบัติอริยะแห่งบรรพกาลเชียวนะ เราไม่เอาไปด้วยหรือ”ทันใดนั้นเด็กชายชุดหลากสีเหวินเสียงพลันพูดขึ้น ใบหน้าอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความละโมบ ถูมืออย่างตื่นเต้นอยากลองคนอื่นๆ ก็หวั่นไหวเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณนี้ จะมีแท่นบูชาเคลื่อนย้ายที่อริยะบรรพกาลจัดวางเอาไว้หากเอากลับไปได้ แม้ไม่สามารถใช้งานได้ แต่ก็สามารถสำรวจและหยั่งรู้ถึงกลิ่นอายอริยะที่หลงเหลืออยู่!“มันเสียหายไปแล้ว ถูกทำลายไปจนแทบไม่เหลือชิ้นดี หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผืนทะเลแห่งนี้ อย่าว่าข้า แม้ราชันระดับสังสารวัฏมาเยือนก็เอามันไปไม่ได้”คำพูดของผู้เฒ่าเกาหยางทำลายความคิดในใจของเหล่าลูกศิษย์“งั้นเราเข้าไปสำรวจใกล้ๆ ได้หรือไม่”เหวินเสียงพูดอย่างไม่จำยอม“ไม่ได้!”ผู้เฒ่าเกาหยางปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว “ระดับต่างกันมากเกินไป หากไปสำรวจโดยพลการ เพียงแค่กลิ่นอายอริยมรรคที่หลงเหลืออยู่ภายใน ก็สามารถทำลายจิตวิญญาณของพวกเจ้าให้แหลกเป็นฝุ่นผงได้!”คราวนี้เหวินเสียงตัดใจอย่างสิ้นเชิงจิตใจของหลินสวินยากจะสงบลงได้ แท่นบูชาโบราณนี้มีมาตั้งแต่บรรพกาลจวบจนปัจจุบัน ถูกทำลายจนแทบไม่เหลือชิ้นดีแล้ว แต่กลิ่นอายเสี้ยวหนึ่งที่หลงเหลืออยู่กลับสามารถทำลายจิตวิญญาณของพวกเขาให้แหลกละเอียดอย่างง่ายดาย พลังอริยมรรคนี้จะน่าสะพรึงกลัวเพียงใด“การปรากฏของแท่นบูชา บ่งบอกว่าเส้นทางของเราถูกต้องแล้ว นับตั้งแต่ตอนนี้พวกเราต้องเตรียมพร้อมต่อสู้ตลอดเวลา!”ผู้เฒ่าเกาหยางเตือนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นับตั้งแต่ตอนนี้ ระหว่างทางจะมีภัยร้ายมากมายและเปี่ยมไปด้วยอันตราย ต้องระมัดระวังอย่างมาก มิเช่นนั้นจะเสี่ยงดับสูญทุกคนต่างเคร่งเครียดจริงจังนี่ยังไม่ถึง ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ ด้วยซ้ำก็อันตรายแล้ว ทำให้พวกเขายิ่งตระหนักได้ถึงความเร้นลับและน่าสะพรึงกลัวของทะเลกลืนวิญญาณจากนั้นผู้เฒ่าเกาหยางพลันหยิบหยกมงคลจำนวนหนึ่งออกมาแจกให้พวกเซียวหรัน จ้าวจิ่งเซวียน ซูซิงเฟิง อวิ๋นเช่อ เหวินเสียง กงหยางอวี่หยกมงคลนี้เป็นสีทองอร่ามราวกับหล่อด้วยสำริด รูปร่างเหมือนจักจั่นทอง กลิ่นอายคลุมเครือลึกลับ มีชื่อเรียกว่า ‘ยันต์จักจั่นทอง’ สื่อนัยถึง ‘จักจั่นทองลอกคราบ’ เมื่อพบอันตรายถึงชีวิตก็สามารถตายแทนผู้ฝึกปราณได้ มหัศจรรย์อย่างยิ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อมียันต์นี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการได้รับชีวิตที่สอง มีมูลค่าอย่างมาก และมีเพียงสำนักโบราณระดับแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเท่านั้นที่มีสมบัติวิเศษเช่นนี้หลินสวินมองแล้วให้จนใจอยู่บ้าง เขาในฐานะผู้ติดตาม…ไม่มีสิทธิ์ได้ครอบครองจ้าวจิ่งเซวียนเดินขึ้นหน้าไปคุยกับผู้เฒ่าเกาหยาง หมายจะขอยันต์จักจั่นทองให้หลินสวิน แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ“เหอะ ศิษย์น้องจ้าวช่างให้ความสำคัญกับผู้ติดตามโลกชั้นล่างคนนี้เหลือเกิน” ซูซิงเฟิงเย้ยหยันด้วยเสียงเสียดหู สายตาเย็นชาจ้าวจิ่งเซวียนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไรมากหลินสวินทำเหมือนไม่ได้ยิน เงียบไม่พูดจา รักษาหน้าที่ของตนได้ดีมาก แต่สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงคือ ในหูเขาได้ยินเสียงสื่อจิตของซูซิงเฟิง ‘ไอ้คนไร้ค่า ระหว่างทางเจ้าระวังไว้เถอะ ไม่แน่ว่าอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันที่แม้แต่ศิษย์น้องจ้าวก็ช่วยเจ้าไม่ได้’นี่เป็นการข่มขู่และมุ่งเป้าอย่างไม่ปกปิดหลินสวินได้ยินเช่นนี้ไอสังหารพลันแวบผ่านเข้ามาในใจก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าซูซิงเฟิงคนนี้ยังคิดแก้แค้นให้กับผู้ติดตามของเขา ไม่คิดจะปล่อยตนไปยานสำเภาเดินหน้าต่อ เพียงแต่ความเร็วนั้นชะลอลงมากอย่างเห็นได้ชัด หลังจากมาถึงที่นี่ บรรยากาศก็แปลกประหลาดและเงียบสงัดแม้ไม่มีภัยธรรมชาติอย่างสายฟ้าคึกคะนองและอากาศปั่นป่วน แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่า ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งอันตรายผิวทะเลเงียบสนิท แผ่กระจายหมอกอันมืดครึ้ม แปลกประหลาดคาดเดาไม่ถูก“สวรรค์! นั่นอะไร” บนยานสำเภา แม้แต่ผู้หญิงที่สง่างามสงบนิ่งอย่างจ้าวจิ่งเซวียน ยามนี่ยังอดส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจไม่ได้คนอื่นๆ เองก็อึ้งงัน ดวงตาแต่ละคู่เบิกโพลงจ้องไปข้างหน้าบนผิวทะเลตรงนั้น ซากศพสิ่งมีชีวิตวิญญาณที่ยาวกว่าร้อยจั้งลอยขึ้นมา บนร่างปกคลุมไปด้วยชุดเกราะชุดรบขาดวิ่น ส่องประกายสีทองอร่ามอันเย็นเยียบลักษณะของเขาดูแปลกประหลาดมาก คล้ายกับมนุษย์ แต่มีสามตา หกแขน เหมือนเทพมารในตำนานก็ไม่ปาน“นั่นคืออัครบุคคลแห่งเผ่าวิญญาณสามตา ฝึกจนมีหกแขน เห็นชัดว่าได้ก้าวสู่หนทางอมตะแล้ว น่าสะพรึงกลัวและแข็งแกร่งอย่างที่สุด สมัยบรรพกาลพลังต่อสู้ของเผ่านี้คับฟ้า อานุภาพดุร้ายสะเทือนไปทั่วสารทิศ เพียงแต่พวกเขาได้ถูกกาลเวลาทำลายล้างไปนานแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะมีซากศพของผู้แข็งแกร่งเผ่านี้ปรากฏอยู่ที่นี่!”ผู้เฒ่าเกาหยางเองก็หวั่นไหวเช่นกันทุกคนต่างไม่สามารถสงบจิตใจลงได้ เผ่าวิญญาณสามตา! หนึ่งในเผ่าทรงอำนาจสมัยบรรพกาล ใครจะกล้าจินตนาการว่าที่ปลายสุดแห่งกาลเวลาอันไร้ที่สิ้นสุด ยังมีโอกาสได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของผู้แข็งแกร่งเผ่านี้ที่น่าเสียดายคือ ผู้แข็งแกร่งท่านนี้ตายไปไม่รู้นานเท่าไหร่แล้ว กลายเป็นซากศพที่ไม่มีวันสลาย“นี่คือผู้แข็งแกร่งที่ก้าวเข้าสู่เส้นทางอมตะ คุณค่าของมันน่าทึ่งมาก บางทีอาจจะสามารถย้อนรอยวิชาลับของเผ่านี้ได้จากซากศพนี้!”ซูซิงเฟิงตาเป็นประกายตอนที่ยานสำเภาเข้าไปใกล้ เขาพลันสั่งผู้ติดตามคนหนึ่งให้ทะยานออกจากยานสำเภา ไปสำรวจซากศพนั้นฉึก!แต่ไม่ทันที่ผู้ติดตามคนนั้นจะเข้าไปใกล้ แสงสีดำพลันโฉบออกจากซากศพ และแทงทะลุหน้าผากของผู้ติดตามคนนั้นจนเป็นรูเลือดในพริบตา!“อ๊าก…” ผู้ติดตามร้องโหยหวน เขายังไม่ทันได้ดิ้นรนด้วยซ้ำ ก็ถูกแสงสีดำนั่นกลืนกินร่างกายไปครึ่งหนึ่งแล้วทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก กะทันหันจนตั้งตัวไม่ติด ทำให้ผู้เฒ่าเกาหยางไปช่วยไม่ทัน ผู้ติดตามคนนั้นก็ประสบเคราะห์แล้วภาพนั้นน่าสยดสยองมาก เพียงอึดใจเดียวเท่านั้น ผู้ติดตามก็ถูกกลืนกินไปทั้งตัวแล้วและตอนนี้ ในที่สุดทุกคนก็เห็นแสงดำนั่นชัดแล้ว เป็นสัตว์ประหลาดขนดำตัวหนึ่ง ลำตัวราวกับอสรพิษวิญญาณ แต่กลับมีหัวที่เต็มไปด้วยเขี้ยวสีเลือด เหมือนผีร้ายดุดันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แผ่กระจายไอดำไปทั่วตัวนั่นมันตัวอะไรทุกคนต่างสูดหายใจเข้าอย่างตะลึง ผู้ติดตามคนนั้นเป็นผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณ ติดตามข้างกายซูซิงเฟิง พลังต่อสู้แข็งแกร่งมากแต่ตอนนี้ไม่ทันได้หนีด้วยซ้ำ ก็ถูกสัตว์ประหลาดขนดำนั่นสังหารและกัดกินไปแล้ว!ปัง!แทบจะในขณะเดียวกัน ผู้เฒ่าเกาหยางได้ลงมือ แผ่พลังกลางอากาศบีบสัตว์ประหลาดขนดำนั่นจนแหลกละเอียด กลายเป็นหมอกสีดำกระจายหายไปเห็นได้ชัดว่ามันไม่มีร่างเนื้อ“นี่คือวิญญาณอาฆาต แปรสภาพจากไอพิฆาตของผู้แข็งแกร่งที่เคยตกลงมาในนี้ หากถูกแตะตัวจะไม่อาจฟื้นคืนได้ตลอดไป! ข้าขอเตือนอีกครั้ง ต้องระวังให้มาก ทะเลกลืนวิญญาณแห่งนี้มีสิ่งประหลาดมากมาย แม้แต่ข้ายังไม่กล้ารับประกันว่าจะปกป้องพวกเจ้าได้ทุกครั้ง”สีหน้าของผู้เฒ่าเกาหยางเคร่งขรึม กล่าวกำชับหนักหน่วง คำพูดเด็ดขาดมากจนสีหน้าของทุกคนต่างเปลี่ยนไปในขณะที่ยานสำเภายังคงเคลื่อนไปข้างหน้า หลินสวินอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง และเห็นว่าบนซากศพเผ่าวิญญาณสามตาที่ลอยอยู่บนผิวทะเลนั่น มีวิญญาณอาฆาตมากมายเป็นพันเป็นหมื่นปรากฏขึ้น เบิกดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความเย็นเยียบและเหี้ยมโหดแม้แต่คนที่จิตใจแน่วนิ่งอย่างหลินสวิน ยามนี้ยังรู้สึกชาวาบไปทั้งหัวอย่างอดไม่อยู่ จำนวนวิญญาณอาฆาตนั้นมากเกินไปแล้ว ราวกับกองทัพใหญ่จากขุมนรกอย่างไม่มีผิดเพี้ยนหืม?ทว่าพริบตาที่หลินสวินเก็บสายตากลับมา เขาพลันสังเกตเห็นว่า บนซากศพเผ่าวิญญาณสามตามีเงาร่างงดงามแวบผ่านและหายไปท่ามกลางวิญญาณอาฆาตนับพันหมื่นนั้นหลินสวินหัวใจสะท้าน เงาร่างนั่นเป็นภาพลวงตาหรือเป็นของจริงกันแน่เขาเพ่งสายตามองอย่างละเอียด แต่เสียดายที่มองไม่เห็นแล้วสิ่งนี้ทำให้หลินสวินยิ่งตระหนักได้ถึงความแปลกประหลาดและลึกลับของทะเลกลืนวิญญาณ แท่นบูชาที่อริยะบรรพกาลตั้งไว้ ซากศพของผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณสามตาที่ก้าวสู่เส้นทางอมตะ… ยังมีวิญญาณอาฆาตที่ไม่มีที่สิ้นสุด…ทุกอย่างดูน่ากลัวมากต้องบอกว่าทะเลกลืนวิญญาณนี้กว้างใหญ่ไร้ขีดจำกัด ดูประหนึ่งคลุมเครือไม่มีที่สิ้นสุดหลังจากนั้นหนึ่งเค่อจู่ๆ ผู้เฒ่าเกาหยางก็ตะเบ็งเสียงเตือนทุกคน “แย่แล้ว! เตรียมต่อสู้!”“หือ?”“มีศัตรูหรือ?”พวกเซียวหรัน จ้าวจิ่งเซวียนประหลาดใจ เพราะไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอะไร แต่ละคนจึงแปลกใจไม่น้อยแต่พวกเขาก็ไม่กล้าประมาท ต่างระแวดระวังกันขึ้นมาบนทางเบื้องหน้า เหนือผิวทะเลสีดำที่นิ่งสงบ พลันเกิดเสียงเป่าเขาสัตว์ทุ้มต่ำ แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัว ราวกับกองทัพจากนรกส่งเสียงสัญญาณเข้าปะทะ จะปรากฏตัวบนโลกในเวลาเดียวกัน หมอกอันมืดครึ้มที่ปกคลุมฟ้าดินก็หนาขึ้นยามนี้หลินสวินเกร็งไปทั้งตัว ขนลุกซู่ รับรู้ถึงอันตรายอันรุนแรง!——
คอมเม้นต์