Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 499 ด่านเคราะห์อสนีประจุม่วง
เพียงประโยคเดียวก็ทำเอาทั่วลานลิ้นค้างแข็งจนป่านนี้แล้วเหตุใดหลินสวินยังกล้าท้าทายฉู่ซานเหออยู่อีกเวลานี้ในที่สุดฝูงชนก็เห็นอย่างชัดเจน ไม่รู้ว่าหลินสวินไปยืนอยู่บนยอดหอหลอมวิญญาณตั้งแต่เมื่อไร เรือนร่างสูงโปร่ง อาภรณ์สะบัดโบก ท่าทีดูแคลนฝูงชน“เจ้าหนู ยังไม่รีบไสหัวลงมารับผิดอีกหรือ”ฉู่ซานเหอปั้นหน้าเคร่งพลางส่งเสียงตะโกนลั่นถ้อยคำนี้ก็ช่างไม่เกรงใจเกินไปแล้ว กล่าวหารุนแรง วางท่าหมายจะรีบกำราบหลินสวินอย่างรวดเร็ว“ไอ้แก่ ถ่วงเวลาข้าหลอมอาวุธ เจ้ารับผิดชอบผลที่ตามมาไหวหรือ”การโต้กลับของหลินสวินก็ไม่เกรงใจเช่นเดียวกัน ภายใต้สายตาฝูงชน ต่อหน้าบุคคลสำคัญทรงอิทธิพลทั้งหลาย กลับผรุสวาทฉู่ซานเหอว่าไอ้แก่ ทำให้ทั่วลานอดตื่นตระหนกไม่ได้ ลอบพึมพำกับตัวเองในใจ เจ้าหนุ่มคนนี้ใจกล้าคับฟ้าดังที่เล่าลือจริงๆ ด้วย“เจ้าสารเลว หลอมอาวุธก็ล้มเหลวแล้ว เจ้ายังไม่รู้จักสำนึก ตรงข้ามยังกล้าเอ่ยคำพูดปีนเกลียว คิดว่าพวกข้าไม่กล้าลงโทษเจ้าจริงๆ หรือ”ฉู่ซานเหอโกรธจนหน้าคล้ำเขียว สายตาราวกับจะฆ่าคน“หลินสวิน มีพวกข้าอยู่ด้วย วันนี้จะไม่ปล่อยให้เจ้าก่อเรื่องวุ่นวายได้อีก รีบลงมารับการลงโทษเดี๋ยวนี้!”จ้าวจั้นเย่เปล่งเสียงเย็นเยียบ นัยน์ตาทอประกายเย็น พลังอำนาจสะท้านผู้คน“เจ้าหนุ่ม อย่าได้ขัดขืนอีกเลย เจ้าน่าจะเห็นสถานการณ์ชัดแจ้งแล้ว อย่าบังคับให้พวกข้าต้องลงมือลากเจ้าลงมาด้วยตัวเอง!”ไป๋จั้นโหวจั่วฝูกวงกล่าววาจาคละคลุ้งด้วยไอเข่นฆ่าด้านข้าง พวกฉินเป่าจี้ ฉู่ซานเหอต่างมีท่าทีไม่เป็นมิตร แววตาครึ้มมัว จ้องหลินสวินราวกับเป็นของไร้ชีวิต หากไม่ใช่เพราะที่นี่คือสำนักศึกษามฤคมรกต พวกเขาคงลงมือกำราบหลินสวินไปตั้งนานแล้ว“หลินสวิน เจ้าล้มเหลวไปแล้ว หากเวลานี้ยอมรับผิดอย่างว่าง่าย บางทียังพอมีโอกาสรอดชีวิตเหลืออยู่สักเสี้ยว”“รีบลงมาเร็วเข้าสิ!”คนใหญ่คนโตจากตระกูลฮวา ตระกูลซ่ง และตระกูลฉือต่างก็ตะโกนด่าว่าด้วยเช่นกันชั่วขณะนั้นหลินสวินกลายเป็นนักโทษที่สังคมประณาม ทำให้บรรยากาศในลานเปี่ยมด้วยกลิ่นอายวิกฤติผู้คนมากมายต่างลอบถอนหายใจ ไม่ว่าหลินสวินจะเป็นปีศาจสักแค่ไหน วันนี้…เกรงว่าคงไร้กำลังพลิกสถานการณ์แล้ว!พวกหนิงเหมิง สืออวี่ต่างโกรธจนกัดฟันกรอด เจ้าแก่พวกนี้ช่างรังแกคนเหลือเกินจริงๆ พวกเขาเห็นหลินสวินเป็นอะไรกัน นักโทษหรือ“ทุกท่าน พวกท่านใจร้อนเกินไปหน่อยกระมัง ข้ากลับอยากดูสักหน่อยว่า วันนี้ใครกล้ารังแกทายาทของท่านเต้าเฉินกัน!”ทันใดนั้นราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุยหยัดตัวขึ้น นัยน์ตามีประกายเย็นพวยพุ่ง กลิ่นอายฆ่าฟันสังหารบนร่างพุ่งสู่เวิ้งฟ้า พาให้คนไม่น้อยทั่วลานหน้าเปลี่ยนสี“หลินสวินมีความผิดอันใด ถึงกับทำให้พวกท่านชังน้ำหน้าเยี่ยงนี้”เทพเศรษฐีเองก็ถอนหายใจเช่นกัน ลุกขึ้นตามมา เรือนร่างมหึมาของเขาเหมือนกับภูเขาที่ตระหง่านเหนือพื้น มอบความกดดันที่อยากพรรณนาอย่างหนึ่งให้ผู้คนอีกด้านหนึ่งราชาแห่งทะเลตะวันออกเย่ฉิงเทียน และกงปู้พั่วต่างก็หยัดตัวขึ้น สีหน้าเรียบเฉย ทอดสายตากวาดมองพวกจ้าวจั้นเย่ ฉู่ซานเหอบัดนั้นสถานการณ์ในลานเริ่มตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ ห้วงอากาศราวกับถูกแช่แข็ง ทำให้ผู้คนสูดลมหายใจไม่ได้คนเหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลสำคัญที่สั่นสะเทือนรอบด้าน เป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ตะลึงโลก ตอนนี้พวกเขาต่างประจันหน้าซึ่งกันและกัน พลังกดดันอันไร้รูปร่างเช่นนั้นดุจดั่งภูเขาไฟที่ใกล้ปะทุ ทำให้ผู้คนทั้งลานต่างหวาดผวาฝั่งหนึ่งหมายจะกำราบหลินสวิน อีกฝั่งหนึ่งคิดจะปกป้องหลินสวินเอาไว้ จุดยืนชัดเจนมาก คงต้องรอดูว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไรแล้ว“มีความผิดอันใด? วีรกรรมชั่วร้ายบนตัวเจ้าเด็กนี่ คนใต้หล้าล้วนเป็นสักขีพยาน เปรียบได้กับอาเพศอย่างหนึ่ง วันนี้หากไม่กำราบเขาเอาไว้ วันหน้าจะเป็นพิษภัยต่อใต้หล้า สร้างหายนะให้แผ่นดิน!”จ้าวจั้นเย่แค่นเสียงเย็น ไม่ได้ขลาดกลัวพวกหนิงปู้กุย เทพเศรษฐีเลยสักนิด“หลินสวิน ในเมื่อเจ้าหลอมอาวุธล้มเหลวแล้วก็รีบลงมาเสีย เรื่องในวันนี้ก็จะถึงคราวสรุปรวดเดียวด้วยเช่นกัน”ในเวลาเดียวกัน สายตาฉู่ซานเหอเฉียบคมดั่งใบมีด จ้องหลินสวินเขม็งด้วยแววเยียบเย็น จนกระทั่งตอนนี้หลินสวินยังคงยืนอยู่ปลายยอดหอคอยวิญญาณหลอม ปรายตามองพวกเขาจากที่สูง อากัปกิริยาเช่นนี้ทำให้เขาโกรธจนไม่อาจระงับได้“หลินสวิน เจ้าลงมาเถิด วันนี้ต่อให้ข้าต้องพลีชีพก็จะปกป้องเจ้าให้ไร้กังวลเอง”หนิงปู้กุยกล่าววาจาราบเรียบ พละกำลังยิ่งน่าหวาดกลัวขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะราชันผู้กรำศึกในสนามรบมาหลายร้อยปี เหยียบย่ำซากศพศัตรูมานับไม่ถ้วน การแสดงออกอันเด็ดเดี่ยวของเขาในครั้งนี้ทำให้ทั่วลานรู้สึกสะเทือนใจ“ลงมาเถิด ข้าผู้แซ่เสิ่นแม้ไร้สามารถ ก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมเด็ดขาด!”แม้แต่เสิ่นทั่วยังเอ่ยปาก สิ่งนี้ทำให้ผู้คนมากมายต่างลอบตกใจ คิดไม่ถึงสักนิดว่าต้นกล้าหน่อเดียวแห่งตระกูลหลินที่ไร้อำนาจบาตรใหญ่อย่างหลินสวิน จะถึงขั้นได้รับการสนับสนุนมากมายเยี่ยงนี้“เฮอะ!”จ้าวจั้นเย่แค่นเสียงเย็น ไม่พอใจกับเรื่องนี้อย่างยิ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรวันนี้พวกเขาก็ไม่อาจปล่อยโอกาสกำราบหลินสวินไปได้เด็ดขาด ต้องสยบเขาก่อนผงาดขึ้นให้จงได้ปลายยอดหอหลอมวิญญาณ หลินสวินมองเหล่าบุคคลสำคัญพวกนั้นที่อยู่กลางลาน ไล่มองจากสถานะของพวกเขาแต่ละคน ขณะที่มองดูพวกหนิงปู้กุย เทพเศรษฐีนั้น ในใจของเขาอดอบอุ่นขึ้นไม่ได้ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเวลาแบบนี้จะได้รับการปกป้องคุ้มครองจากผู้อาวุโสเหล่านี้และตอนที่สายตาไล่มองถึงพวกจ้าวจั้นเย่ ฉู่ซานเหอนั้น กลางนัยน์ตาของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นเฉยเมย ไม่ปกปิดความเป็นอริของตนแม้แต่น้อยท้ายที่สุดเขาหัวเราะเบาๆ เผยให้เห็นเรียวฟันขาวผ่องทั่วปาก กล่าวว่า “รอให้ข้าหลอมชุดศึกสลักวิญญาณเสร็จแล้ว ข้าจะไปยืนต่อหน้าพวกท่านเอง แล้วจะถามพวกท่านว่าอ้างสิทธิ์อะไรมาจัดการข้า!”น้ำคำเยือกเย็นเรียบเฉย ทว่ากลับทำให้ทั่วลานพากันตื่นตระหนก การหลอมอาวุธล้มเหลวไปแล้วมิใช่หรือ เหตุใดเขายังกล่าวเยี่ยงนี้อยู่จ้าวจั้นเย่ก็อดอึ้งไปไม่ได้ มุ่นคิ้วเล็กน้อยพลางสื่อจิต ‘พี่ฉู่ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่’ฉู่ซานเหอก็ประหลาดใจอยู่บ้างเหมือนกัน จากนั้นจึงกล่าวตอบอย่างเฉียบขาด ‘เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่เขาจะประสบความสำเร็จ เขาจะต้องกำลังคุยโวโอ้อวด ฮึดสู้เฮือกสุดท้ายแน่!’ส่วนพวกหนิงปู้กุย เทพเศรษฐีและเสิ่นทั่วต่างก็ฉงนใจ พวกเขาต่างดูออกว่าหลินสวินไม่คล้ายกำลังล้อเล่น หรือจะเป็นอย่างที่เขาพูดมา การหลอมอาวุธยังมิได้ล้มเหลว?“ปรมาจารย์เสิ่นทั่ว ท่านมองอะไรออกหรือไม่”หนิงปู้กุยอดเอ่ยถามไม่ได้“นี่เพิ่งจะผ่านไปสิบกว่าวัน และความผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ชี้ชัดแล้วว่าตอนที่หลอมโครงอาวุธนั้นเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้น… ข้าผู้แซ่เสิ่นก็ชักไม่เข้าใจสถานการณ์จริงๆ อยู่บ้างเช่นกัน”เสิ่นทั่วมุ่นหัวคิ้วเป็นปมแน่น เขาในฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณมากประสบการณ์คนหนึ่ง ยังมีเหตุการณ์ที่พาให้สับสนงงงวยเช่นกัน ทำให้พวกหนิงปู้กุยเริ่มสงสัยขึ้นเรื่อยๆเจ้าเด็กหลินสวินคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่ชั่วขณะนี้ทั้งลานต่างงุนงง“หลินสวิน นี่เจ้ายังคิดจะแหกตาทุกคนต่อไปอีกหรือ เจ้าน่าจะรู้ดี แม้จะถ่วงเวลาไปก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของเจ้าได้!”ฉู่ซานเหอตะโกนลั่น“ไอ้แก่ เสียทีที่เจ้าเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่ง ตอนที่ยังไม่เข้าใจสถานการ์แจ่มแจ้ง ยังกล้าเอ่ยปากอย่างไร้ความละอาย ช่างทำเสียหน้าปรจารย์สลักวิญญาณจริงเชียว!”หลินสวินไม่เกรงใจฉู่ซานเหอเลยสักนิดเพียงแต่ครั้นเขาเอ่ยถ้อยคำดังกล่าว ทำให้เหล่าบุคคลสำคัญทั้งลานต่างมองหน้าสบตากัน การหลอมอาวุธครั้งนี้ยังมีความเร้นลับอะไรที่พวกเขามองไม่ออกอีกจริงๆ หรือฉู่ซานเหอโมโหเดือดจนเปลี่ยนเป็นหัวเราะ “ฮ่าๆๆ ดียิ่ง ข้าจะคอยดูว่าเจ้ายังจะเล่นปาหี่อะไรอีกกันแน่!”ภายในใจเขาปักใจเชื่อว่าหลินสวินไม่อาจพลิกสถานการณ์ได้แม้แต่น้อย!เนื่องจากก่อนที่หลินสวินจะเริ่มหลอมอาวุธ เขาได้ลอบวางอุบายใน ‘เตาหลอมสามขาเขียวคล้ำ’ กลางชั้นเก้าของหอหลอมวิญญาณเอาไว้แล้ว ด้วยการลบกระบวนรอยสลักส่วนหนึ่งในเตาหลอมสามขาออกไปทั้งอย่างนั้น ต่อให้ปฐมาจารย์สลักวิญญาณมา ก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จในการหลอมโครงอาวุธแน่นอน!ในเมื่อโครงอาวุธยังหลอมออกมาไม่ได้ ยังต้องเอ่ยถึงการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณอยู่อีกหรือละเมอเพ้อพก!นี่ก็คือจุดที่ฉู่ซานเหอมั่นอกมั่นใจและก็เป็นเพราะเหตุนี้ เขาถึงกล้าเชิญบุคคลสำคัญอย่างจ้าวจั้นเย่ จั่วฝูกวง ฉินเป่าจี้ ให้มาร่วมมือกันดำเนินการกำราบหลินสวินอย่างมั่นใจหายห่วง‘อย่าว่าแต่เตาหลอมเสียหายเลย ต่อให้สมบูรณ์ไร้ที่ติ ด้วยศักยภาพของเด็กเหลือเดนอย่างเจ้าก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณออกมาได้!’ฉู่ซานเหอลอบหัวเราะเยาะทว่าทันใดนั้น หัวคิ้วของเขาพลันมุ่นขมวด เจ้าเด็กนี่กำลังทำอะไรไม่เพียงแต่ฉู่ซานเหอ ในเวลานี้สายตาของทุกคนในลานต่างถูกดึงดูดให้มองไปทางยอดหอหลอมวิญญาณจนสิ้นเห็นเพียงอาภรณ์ของหลินสวินโบกสะบัด เรือนผมดำปลิวไสว เงาร่างผอมบางสูงโปร่งหันหลังให้ฝูงชน เขาสองมือไพล่หลังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น คล้ายกับกำลังรอคอยอะไรอยู่เขาเงยหน้าขึ้นเป็นครั้งคราว แล้วมองดูเวิ้งนภา“มีใครรู้บ้างว่าเขากำลังทำอะไรอยู่”ใครบางคนส่งเสียงซักถาม แต่กลับไม่ได้รับคำตอบ เพราะแม้แต่บรรดาปรมาจารย์สลักวิญญาณที่อยู่ในลานเหล่านั้น ตอนนี้ยังมืดแปดด้านกันหมด“ทำอะไรได้เล่า เล่นละครตบตาผู้คนก็เท่านั้นแหละ!”ฉู่ซานเหอหัวเราะหยันตูม!แต่ไม่รอให้น้ำคำของเขาสิ้นสุดลง บนท้องฟ้าสีครามสดใสพลันเกิดฟ้าร้องสะเทือนเลื่อนลั่นคราหนึ่งด้วยปุบบับเกินไปทำให้ผู้คนทั้งลานต่างใจสั่นสะท้าน โดยเฉพาะฉู่ซานเหอยิ่งสั่นเทิ้มไปทั่วสรรพางค์กาย ถูกสั่นสะเทือนจนสองหูอื้ออึง สีหน้าเปลี่ยนเป็นสงสัยขึ้นมาในบัดดลนี่คืออะไรพลันเห็นบนเวิ้งฟ้าถูกแทนที่ด้วยสีราตรีดั่งสีน้ำหมึกในชั่วพริบตา ชั้นเมฆหนาแน่นปกคลุม ทอดเงามืดลงมาแถบหนึ่ง ครอบคลุมทั้งปฐพีอานุภาพกดดันอึดอัดยากจะพรรณนาแผ่ขยายไปทั่วฟ้าดิน ทำให้ผู้ฝึกปราณในลานต่างหน้าเปลี่ยนสี ด่านเคราะห์อสนี?หรือว่าหลินสวินนั่นกำลังจะข้ามด่านเคราะห์อสนีเพื่อทะลวงระดับปราณ?แบบนี้มันเหนือความหมายเกินไปแล้ว เขาไม่ได้จะหลอมอาวุธหรอกหรือ เหตุใดถึงชักนำด่านเคราะห์อสนีมาอีกเล่าเปรี๊ยะๆๆ~~~ฉับพลัน บนเวิ้งนภาปรากฏอสนีประจุม่วงที่เหมือนกับโซ่ตรวนเส้นหนาสายแล้วสายเล่าเริงระบำพลิกม้วนอย่างบ้าคลั่ง แสงอสนีพราวตา ฟาดฟันฟ้าดิน เปี่ยมด้วยพลานุภาพกดทับฟ้าดินถึงขีดสุด สั่นสะเทือนทุกหัวระแหงนั่นเป็นกลิ่นอายแห่งการทำลายล้างอย่างหนึ่ง เพียงพอจะทำให้สรรพวิญญาณสั่นสะเทือน รู้สึกถึงความสิ้นหวัง!เป็นด่านเคราะห์อสนีจริงๆ ด้วย!ชั่วขณะนี้เหล่าคนใหญ่คนโตที่สั่นสะเทือนใต้หล้าอย่างหนิงปู้กุย เทพเศรษฐี เย่ฉิงเทียน กงปู้พั่ว ก็เผยแววตาสงสัยกันอย่างอดไม่ได้พวกเขาต่างดูออกว่าด่านเคราะห์อสนีนี้หาใช่เรื่องเล็กไม่ ประจุม่วงพลุ่งพล่าน หมื่นสายฟ้าคำรามสนั่น หาได้ยากเกินไป ไม่เหมือนการข้ามด่านเคราะห์ของผู้ฝึกปราณในระดับมหาสมุทรวิญญาณเลยสักนิด!“น่าชังนัก จนป่านนี้แล้วเจ้าเด็กนี่ยัง…”ฉู่ซานเหอตะโกนลั่นอย่างเดือดดาล เพียงแต่เพิ่งเอ่ยได้ครึ่งเดียวก็ถูกภาพอันน่าตะลึงซัดสะเทือนจนอึ้งงันอยู่ตรงนั้นพลันเห็นชุดคลุมของหลินสวินโบกสะบัด เสียงวู้มดังขึ้น ทวนยาวสีเงินที่แวววาวใสสะกระจ่างราวกับหิมะเล่มหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นกลางอากาศในฉับพลัน ปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางด่านเคราะห์อสนีบนเวิ้งฟ้า!เปรี้ยง! เปรี้ยง!สายฟ้าสีม่วงหนาราวกับโซ่ตรวนฟาดลงมาสายแล้วสายเล่า ซัดใส่ทวนยาวสีเงินที่ใสสะอาดดุจหิมะเล่มนั้น ส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นบาดหูหาใดเปรียบสิ่งที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงที่สุดก็คือ ทวนยาวสีเงินนั้นราวกับเชื่อมวิญญาณ พื้นผิวปรากฏกระบวนสลักเร้นลับครั้งแล้วครั้งเล่า สะท้อนปรากฏการณ์ประหลาดแห่งวัวขุยห้อทะยานผ่านใต้หล้า แสงเซียนคลั่งทะลัก ต่อต้านด่านเคราะห์อสนีสีม่วงทั่วฟ้านั่นทันใดนั้นผู้ฝึกปราณทั้งลานล้วนตะลึงงันอยู่ตรงนั้น ในใจท่วมท้วนด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงอันยากจะพรรณนานี่มัน…เป็นศาสตราวุธกำลังข้ามด่านเคราะห์!——
คอมเม้นต์