Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 492 กำราบหยั่งสัจจะ
ฉีอวี้มีรูปร่างสูงโปร่ง ดูกล้าหาญเหนือธรรมดา นัยน์ตามีแสงทองเปล่งประกาย น่าขยาดกลัวหาใดเปรียบนัยน์ตาทองส่องสะท้อน!นี่คือลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ของสายเลือดสายตรงตระกูลฉี พรสวรรค์โดดเด่นเป็นพิเศษ สอดประสานกับมหามรรค เมื่ออยู่ในระดับหยั่งสัจจะอย่างแท้จริง สามารถควบคุมพลังสัจวิถีธาตุทองได้อย่างสมบูรณ์แบบ น่ากลัวถึงขีดสุดในฐานะคนวัยหนุ่มที่มีอิทธิพลแห่งยุคคนหนึ่ง ตั้งแต่ฉีอวี้ก้าวสู่ระดับหยั่งสัจจะเมื่อปีกลาย และถูกรับเข้าฝึกปราณในสาขายอดยุทธศาสตร์แล้ว ก็ดึงดูดความสนใจของคนใหญ่คนโตจำนวนมาก ในสำนักศึกษามฤคมรกตตอนนี้แทบไม่มีใครเลือกเป็นปรปักษ์กับเขาเลยแม้กระทั่งอาจารย์บางส่วนยังยอมนบนอบต่อฉีอวี้สามส่วน แต่ในเวลานี้หลินสวินกลับด่าว่าเขา น้ำคำไม่เกรงใจสักนิด ฝูงชนย่อมตกตะลึงเป็นธรรมดา คิดว่าความใจกล้าของหลินสวินแทบจะทะลุฟ้า พาให้ผู้คนลิ้นค้างแข็งส่วนฉีอวี้ สีหน้าในตอนนี้เปลี่ยนเป็นเย็นชา แสงทองกลางนัยน์ตาไหวกระเพื่อมดุจสายฟ้าแลบบาดตา กวาดสำรวจหลินสวิน“เจ้ากล้าเสียมารยาทกับข้า?”น้ำเสียงฉีอวี้ประหนึ่งกระบี่พลุ่งพล่าน เชือดสังหารผ่านอากาศผู้คนต่างหน้าเปลี่ยนสี รู้ว่าคำพูดเมื่อครู่ของหลินสวินยั่วโทสะฉีอวี้เข้าให้แล้ว ผลที่ตามมายากจะคาดเดาได้หลินสวินกลับเหมือนทองไม่รู้ร้อน สองมือไพล่หลัง ชำเลืองมองฉีอวี้พลางกล่าวดุด่า “นี่ข้ากำลังสั่งสอนเจ้าอยู่ ฟังไม่ออกหรือไร ในฐานะศิษย์คนหนึ่ง กลับกล้าหมิ่นผู้อาวุโสกว่า ล่วงเกินอาจารย์ หนำซ้ำยังเอ่ยวาจาข่มขู่ เจ้าช่างใจกล้าจริงๆ!”ทันใดนั้นทั่วลานพลันตกตะลึง ใครก็คาดไม่ถึงว่าเวลานี้หลินสวินจะเอาสถานะอาจารย์มากดดันฉีอวี้อย่างเปิดเผยเถรตรง ทำเอาผู้คนไม่สามารถโต้แย้งได้เนื่องจากใครๆ ต่างก็รู้ว่าหลินสวินเป็นอาจารย์คนหนึ่งจริงๆ แม้จะอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น ต่อให้เขาเป็นอาจารย์ในสาขาสลักวิญญาณ ทว่าในสำนักศึกษามฤคมรกต สถานะเช่นนี้ของเขาก็ไม่ใช่ว่าศิษย์คนใดจะไปปรามาสได้แม้แต่ท่าทีของฉีอวี้ยังดูแข็งค้างไป คิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะเล่นไม้นี้“เป็นเจ้าที่ไม่เคารพองค์หญิงหลิงหวงก่อน ซ้ำยังเอ่ยวาจาปรามาสข้าอีก ข้าก็แค่อยากบอกเรื่องความถูกผิดกับเจ้าเสียหน่อย เจ้ากลับเอาสถานะอาจารย์มาวางอำนาจบาตรใหญ่ คนไร้ยางอายเช่นเจ้าคู่ควรมาสั่งสอนข้าหรือ”ฉีอวี้สูดลมหายใจลึกหนึ่งเฮือก ท่าทางเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบดุดัน“อ้อ ข้ากลับคิดไม่ถึง ศิษย์ในยามนี้อาละวาดได้ถึงเพียงนี้ แม้แต่อาจารย์ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา ข้าคงต้องหาโอกาสไปถามไถ่เจ้าสำนักว่าเลือกสรรเอาหมาแมวมาหรือไร ถึงได้กล้าเหยียบย่ำกฎระเบียบ ไม่เคารพครูบาอาจารย์เลย”หลินสวินกล่าวเนิบนาบ ท่าทางมาดมั่นไม่หวั่นไหวผู้คนลอบด่าทอในใจ เจ้าหมอนี่ไม่เพียงโอหัง ยังไร้ยางอายอย่างยิ่ง ครั้นเห็นสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลก็ยกสถานะ ‘อาจารย์’ มาเป็นเกราะกำบังฉีอวี้ยิ่งโกรธจนในใจเดือดพล่าน ตั้งแต่ฝึกปราณจนถึงตอนนี้ ผู้ใดกล้าใช้คำว่า ‘หมาแมว’ มาบรรยายเขาบ้าง นี่มันไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วชัดๆ!“คนอย่างเจ้าไม่คู่ควรเป็นอาจารย์ด้วยซ้ำ ข้าจะออกหน้าเอง ให้สำนักศึกษาปลดตำแหน่งอาจารย์ของเจ้า ดูซิว่าเจ้ายังจะโอหังได้แค่ไหน!”องค์หญิงหลิงหวงที่อยู่อีกด้านก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน รู้สึกว่าสีหน้าท่าทางของหลินสวินช่างน่ารังเกียจเหลือทน ไม่อ่อนไม่ชอบกลับชอบกินไม้แข็ง!ในใจผู้คนสั่นสะเทือน สถานะขององค์หญิงหลิงหวงไม่ธรรมดา หากนางทำเช่นนี้จริงๆ เป็นไปได้ว่าอาจทำให้สำนักศึกษายอมทำตาม ถอดถอนคุณสมบัติอาจารย์ของหลินสวิน!กลับเห็นว่าหลินสวินไม่ใส่ใจสักนิด กล่าวพลางยิ้มหยัน “ได้เลย รีบไปเร็วเข้า ข้ารอข่าวดีจากเจ้าอยู่”เขามีท่าทีไม่แยแส หมุนกายเดินออกไป“เจ้าหยุดให้ข้าเดียวนี้นะ!”องค์หญิงหลิงหวงโกรธจนกัดฟันกรอดเช่นเดียวกัน นางเป็นถึงผู้สืบเชื้อสายของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน สถานะสูงศักดิ์ รูปโฉมไร้ใครเปรียบ เดินไปที่ไหนล้วนได้รับความเคารพจากผู้คนทั้งนั้น ไม่มีใครกล้าขัดขืน ไหนเลยจะเคยคาดคิดว่าอาจารย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งอย่างหลินสวินจะกล้าไม่เห็นนางอยู่ในสายตา“ยังจำหลิงเทียนโหวได้หรือไม่”หลินสวินโยนประโยคนี้ลงไปโดยไม่หันกลับไปด้วยซ้ำ ก่อนสาวเท้าก้าวฉับๆ ออกไปหลิงเทียนโหว!ใครจำไม่ได้บ้างหลินสวินเอ่ยคำนี้ออกมา เจตนาชัดเจนยิ่งนัก นี่คือคำเตือนอย่างหนึ่งทว่าเขาไม่ได้คาดคิดเลยว่า ไม่เอ่ยถึงหลิงเทียนโหวยังจะพอว่า ครั้นกล่าวถึงขึ้นมา องค์หญิงหลิงหวงก็บันดาลโทสะทันที นี่คือความอัปยศของราชวงศ์ หลินสวินไม่รู้สำนึกไถ่บาป ยังกล้าเอาเรื่องนี้มาข่มขู่นางอีก ช่างโอหังบ้าคลั่งถึงขีดสุดยิ่งนัก!ศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างขวัญหนีดีฝ่อ คิดไม่ถึงว่าหลินสวินกล้าเอ่ยถึงหลิงเทียนโหวต่อหน้าองค์หญิงหลิงหวง นี่มันต่างจากการรนหาที่ตายตรงไหนกัน“หลินสวิน วันนี้หากเจ้าไม่คุกเข่าชดใช้ความผิด ก็เลิกคิดจะจากไปได้เลย!”ฉับพลัน ฉีอวี้ร้องตวาดลั่น แสงทองพวยพุ่งทั่วกาย แปรเปลี่ยนเป็นมือใหญ่ข้างหนึ่งพุ่งไปคว้าหลินสวินที่อยู่ห่างออกไปมือใหญ่ส่งเสียงอึงอล กดบีบห้วงอากาศ ล้อมรอบด้วยแสงเรืองรอง ในนั้นประทับพลังแห่งสัจจะมหามรรคเอาไว้ ทั้งดุดัน ทรงพลัง หมายจะฉีกสรรพสิ่งให้เป็นผุยผง น่าสะพรึงหาที่เปรียบมิได้ฝูงชนละแวกใกล้เคียงรู้สึกปวดแสบผิวหนัง หัวใจสั่นสะท้าน นี่คือพลังแห่งระดับหยั่งสัจจะ สะท้อนถึงสัจวิถีธาตุทอง!ไม่มีใครคาดคิดว่าฉีอวี้จะแข่งแกร่งเพียงนี้ เห็นชัดว่าหมายจะกำราบหลินสวินในการโจมตีเดียว บีบบังคับให้เขาต้องอับอายขายหน้าอยู่ตรงนั้นองค์หญิงหลิงหวงท่าทางทระนงตน คอยชมอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเยียบเย็นการกระทำเมื่อครู่ของหลินสวินทำให้นางรู้สึกอับอายยิ่ง ย่อมต้องตั้งตารอชมฉีอวี้สยบหลินสวินในการโจมตีเดียวเป็นธรรมดาตั้งแต่ต้นจนจบกู้อวิ๋นถิงไม่ได้พูดอะไรมาก ดูปลีกตัวอย่างเห็นได้ชัด ราวกับไม่ได้สนใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าเลยสักนิดตูม!มือใหญ่สีทองร่วงลง ห้วงอากาศแถบนั้นพังทลายสิ้น ทรงพลังเหลือคณา ลำแสงสีทองส่องประกายพลุ่งพล่านเงาร่างของหลินสวินกำลังจะถูกครอบคลุมในไม่ช้าแล้ว และในเวลานี้เอง หลินสวินหมุนกายโดยพลัน กลางนัยน์ตาดำปรากฏแววเย็นเยียบวาบผ่านพลังหมัดสายหนึ่งดุจมังกรโผล่พ้นเหว แผ่คลุมด้วยแสงสีฟ้าอ่อนดุจจันทร์เพ็ญสีฟ้าลอยเด่น ซัดกระแทกออกไปอย่างรุนแรงเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น บริเวณนี้พลันเกิดการปะทะกันรุนแรงสั่นฟ้าสะเทือนดิน แสงสีตีม้วน ปกคลุมสรรพสิ่งผู้คนจำนวนมากต่างหน้าเปลี่ยนสี พากันถอยร่น สำหรับพวกเขาแล้ว การโจมตีนี้ของฉีอวี้น่ากลัวเกินไป มันแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งระดับหยั่งสัจจะ มีพลานุภาพทำลายล้างอันเหนือจินตนาการ แทบจะกวาดล้างระดับมหาสมุทรวิญญาณทั้งหมดได้แต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของผู้คนคือ เมื่อฝุ่นควันจางหาย หลินสวินกลับไม่ได้ถูกกำราบ เขายืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น เรือนผมดำพลิ้วไสว รอบกายห้อมล้อมด้วยแสงอัศจรรย์สีฟ้าอ่อนหลายสาย มีกลิ่นอายใสกระจ่างอย่างหนึ่ง“เขา…ถึงกับสกัดเอาไว้ได้?”“นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร”ศิษย์เหล่านั้นตกตะลึงอึ้งค้าง ไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง พวกเขาทั้งหมดรู้ดีว่าในระดับมหาสมุทรวิญญาณหลินสวินแทบจะไร้คู่ต่อสู้ วิปริตอย่างมาก ทว่ากับระดับหยั่งสัจจะแล้วอย่างไรเสียก็ต่างกันหนึ่งระดับใหญ่ๆ นี่ก็เปรียบเหมือนคูเมืองธรรมชาติแห่งหนึ่ง ไม่สามารถรุกล้ำได้แต่ตอนนี้หลินสวินกลับเผชิญหน้าการโจมตีครั้งนี้ตรงๆ ไม่มีหลบหลีก หนำซ้ำยังไม่ได้รับบาดเจ็บด้วย นี่จะไม่ให้ผู้คนตื่นตระหนกได้อย่างไรกู้อวิ๋นถิงที่วางตัวประหนึ่งผู้ละทางโลกมาตลอด ในเวลานี้ก็หรี่ตาลง ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้เช่นเดียวกันแม้กล่าวว่าฉีอวี้เพิ่งบรรลุระดับหยั่งสัจจะเมื่อปีกลาย ทว่าสายเลือดของเขาเก่าแก่ สอดคล้องใกล้ชิดกับมหามรรคแห่งทองมาตั้งแต่เกิด พลังต่อสู้โดดเด่นเหนือผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะขั้นต้นทั่วไปนักทว่าหลินสวินกลับสามารถต้านการโจมตีของฉีอวี้ได้ นี่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ธรรมดาเอามากๆทันใดนั้นทั่วลานพลันไร้สุ้มเสียงแม้แต่ฉีอวี้ก็อดงุนงงไม่ได้ คนอื่นอาจไม่แน่ใจ แต่ตัวเขารู้ชัดยิ่งนัก การโจมตีครั้งนี้เขาใช้พลังถึงห้าส่วน เพื่อจะสยบหลินสวินให้อยู่หมัดในกระบวนท่าเดียว ให้อีกฝ่ายคุกเข่าลงกับพื้น อับอายขายหน้าต่อธารกำนัล ทว่าท้ายที่สุดหลินสวินกลับสกัดกั้นเอาไว้ได้“เจ้าแน่ใจนะว่าจะทำให้ข้าคุกเข่าชดใช้ความผิด?”บนดวงหน้าหล่อเหลาสุภาพของหลินสวินมีแววไม่ยี่หระ นัยน์ตาดำราวกับสายฟ้า ลึกล้ำปานหุบเหวมหึมา เขาถูกยั่วโมโหแล้ว ถูกยั่วยุครั้งแล้วครั้งเล่าเวียนวนไปมา หนำซ้ำอีกฝ่ายยังลงมือกับเขาอีก นี่แตะเส้นความอดทนของหลินสวินเป็นที่เรียบร้อยแล้วรูปปั้นดินยังมีความเป็นดินอยู่สามส่วน[1] นับประสาอะไรกับหลินสวิน เขาเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบแต่ไหนแต่ไรแล้ว“ฉีอวี้ ต่อกรคนชั่วช้าไร้ยางอายพรรค์นี้ ไยต้องปรานีด้วย”องค์หญิงหลิงหวงเปล่งเสียงอย่างไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง คิดว่าฉีอวี้ออมแรงไว้ ไม่ใส่ใจคำพูดของหลินสวินสักนิด“องค์หญิงโปรดวางใจ ข้าจะโค่นเขาลงเดี๋ยวนี้!”ท่าทางของฉีอวี้แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ก้าวเท้าออกไป เขามีรูปร่างสูงโปร่ง ท่วงท่าสง่างาม เวลานี้ขับเคลื่อนพลัง รอบกายพลันถูกแสงทองรายล้อม เลือดลมไหลเดือดคลั่งราวพลุ่งพล่าน กลิ่นอายพุ่งทะยาน ทำเอาห้วงอากาศส่งเสียงครวญตูม!รอยประทับกลางฝ่ามือเขาแปรเป็นเมฆสีทอง ยิ่งใหญ่ดุจขุนเขาตระหง่าน กำราบลงไปชั่วขณะนั้นฟ้าดินแถบนี้คล้ายจะพังครืน แบกรับพลังอันน่ากลัวเช่นนี้ไว้ไม่ไหว กระแสลมไหลเวียนสั่นสะเทือน แสงสีทองพวยพุ่งหลินสวินคลี่ยิ้ม เผยให้เห็นฟันเรียงสวยขาวกระจ่าง รอยยิ้มนั้นแสนอบอุ่น สดใส เพียงแต่ในดวงตาดำสนิทของเขานั้น กลับเป็นความหนาวเย็นคนที่รู้จักหลินสวินต่างรู้ดีว่าเขาบันดาลโทสะแล้วจริงๆ“ในเมื่อเจ้ารนหาที่ ข้าก็จะช่วยให้เจ้าสมปรารถนา!”ในน้ำเสียงราบเรียบสบายๆ นั้น หลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งพุ่งทะยานขึ้นหน้า เกือบจะในเวลาเดียวกัน พลังมหาสมุทรวิญญาณทั้งหมดในกายเขาขับเคลื่อน ประดุจพายุคลั่งในเหวลึกตื่นจากความเงียบงันครั้นหมัดซัดออกไป พลันสำแดงปรากฏการณ์น่าตระหนก ภูผาธาราพังทลาย ห้วงอากาศระเบิดแตก มังกรครวญหงส์ร่ำร้อง เปี่ยมด้วยพลังเขย่าฟ้าสะท้านดินนี่คือเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ ถูกหลินสวินทบซ้อนด้วยพลังเจ็ดเท่า!โครม~เสียงปะทะลั่นฟ้าสะเทือนดินดังขึ้น ฝูงชนละแวกนั้นถูกซัดสะเทือนจนเลือดลมพลุ่งพล่าน ทั่วกายสั่นสะท้าน ไม่อาจไม่ถอยร่อนด้วยความสยดสยองน่ากลัวเกินไปแล้วหากสิ่งนี้เกิดขึ้นในโลกภายนอก เกรงว่าในรัศมีพันจั้งคงราพนาสูร!เคราะห์ดีที่อยู่ในสำนักศึกษามฤคมรกต ด้วยรอบอาณาเขตปกคลุมด้วยพลังป้องกันเก่าแก่ลึกลับ จึงสลายพลังทำลายล้างและความเสียหายจำนวนมากท่ามกลางความเงียบ“เจ้า…”ฉีอวี้ตกใจ การโจมตีครั้งนี้ถึงกับถูกหลินสวินสกัดไว้ได้อีกหนคนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึง ท่าทางเหมือนเห็นผีตัวเป็นๆ สกัดการโจมตีครั้งแรกได้อาจเพราะโชคช่วย ทว่าสามารถสกัดการโจมตีครั้งที่สองได้ ไหนเลยจะกล่าวว่าโชคช่วยได้อีกเล่ากลับเห็นว่าหลินสวินไม่พูดมากความ เงาร่างดั่งชือน้ำแข็ง อันตรธานหายไปกลางอากาศโดยฉับพลัน ครู่ต่อมาก็พุ่งมาถึงเบื้องหน้าฉีอวี้เป็นที่เรียบร้อย ก่อนซัดพลังหมัดเหิมหาญลงไปเร็วเกินไปแล้ว!ความยอดเยี่ยมของก้าวย่างชือน้ำแข็งถูกสำแดงเต็มกำลัง ทำให้ฉีอวี้ใจหดรัด รีบยกมือขึ้นสกัดต้าน“เจ้าคุกเข่าให้ข้าก่อนเถิด!”หลินสวินในเวลานี้ผมดำปลิวไสว บนดวงหน้าหล่อเหลาเปี่ยมด้วยแววถากถาง ร่างกายส่องแสงเปล่งประกายดั่งเตาหลอมล้ำค่า ใช้พลังทั้งหมดออกมาพลังหมัดเรียบง่ายซัดออกมา ไม่แปดเปื้อนสิ่งใด ราวกับเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เบาหวิวพลิ้วตามลมตูม!ฉีอวี้รู้สึกเพียงสองแขนเจ็บปวด พลังยิ่งใหญ่ยากควบคุมกดทับลงมา ราวกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนขยับ กระแทกใส่ร่างเต็มแรง ทำให้ในหัวเขาเกิดเสียงอื้ออึง กล้ามเนื้อและกระดูกทั่วร่างแทบจะระเบิดออกจากนั้นทั้งร่างเขาเกิดเสียงดังโครมขึ้นมา ก่อนร่วงลงจากกลางอากาศ“รนหาที่ตาย!”เขาคำรามอย่างเดือดดาล เลือดลมทั่วร่างราวกับลุกไหม้เพียงแต่ช้าไปก้าวหนึ่ง หลินสวินฉวยโอกาสทะยานมาถึงแล้ว ฝ่ามือหนึ่งกดลงบนหัวฉีอวี้ ส่วนมืออีกข้างกลับตบใส่ไหล่ของอีกฝ่ายอย่างแรงเกิดเสียงดังโครม ฉีอวี้กระตุกไปทั้งร่าง ถูกหลินสวินสยบจนคุกเข่ากับพื้นทั้งอย่างนั้น!___[1] รูปปั้นดินยังมีความเป็นดินอยู่สามส่วน หมายถึง ต่อให้เป็นคนที่อ่อนโยนแค่ไหนก็โมโหเป็น
คอมเม้นต์