Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 489 ข้ามด่านเคราะห์และตระหนักรู้
บันไดสวรรค์ จำนวนรวมทั้งสิ้นเก้าสิบเก้าขั้นหมุนวนสู่จุดเริ่มต้นเสมอ แฝงจำนวนแห่งมหามรรค บนนั้นประทับร่องรอยมหามรรค เมื่อเดินขึ้นไปบนนั้น หนึ่งก้าวหนึ่งการต่อสู้ตูม!คมดาบแหลมคมสีทองพุ่งทะยานเต็มฟ้า จรัสจ้าพร่าตา เชือดเฉือนฟ้าดิน แต่เพียงชั่วอึดใจเดียวก็ถูกหมัดคู่หนึ่งซัดกระจุย กลายเป็นฝนแสงคลุ้งขจรหลินสวินสงบจิตพยายามหยั่งรู้ ท้ายที่สุดก็ถอนหายใจอีกครั้ง ยาก! ยาก! ยาก! สัจจะมหามรรคนั้นลึกลับยากหยั่งถึง แทบจะไร้หนทางตระหนักรู้และควบคุม‘บันไดขั้นที่สามสิบเก้า บีบให้ข้าต้องใช้พลังหมัดห้าชั้น ยิ่งก้าวขึ้นไปกลัวแต่ว่าจะยิ่งยากป่ายปีน…’หลินสวินไตร่ตรองอยู่สักพัก ครั้นเหลือบตามองก็เห็นว่าตำแหน่งที่อยู่สูงสุดมีชุดสีขาวสว่างวาบ น่าเกรงขามดุจเซียนเหิน โดดเด่นสะดุดตายิ่งนักกู้อวิ๋นถิง เขาปีนถึงขั้นที่แปดสิบแล้ว!หลินสวินตกตะลึงก่อนเก็บสายตากลับมา และมุ่งความสนใจไปที่ถนนใต้เท้าตามเวลาที่เคลื่อนคล้อย เขาก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น ผ่านภาพมายามหามรรคอันสาหัสสากรรจ์ ประสบพบเจอสัจจะมหามรรคนานัปการต่างกันไปมีร่องรอยแห่งเพลิงที่ดุเดือดร้อนแรง มีร่องรอยแห่งไม้ที่มีพลังชีวิตไร้สิ้นสุด มีสัจวิถีธาตุทองที่ร้ายกาจดุดัน มี…แต่ละสัจวิถีล้วนเป็นตัวแทนแห่งกลิ่นอายมรรค ผสมผสานฟ้าดินทั้งบนล่าง เปี่ยมด้วยเนื้อแท้แกนหลัก อัศจรรย์สุดพรรณนาสี่ฤดูหมุนเวียน รุ่งโรจน์เสื่อมถอยไม่เที่ยง ตะวันขึ้นจันทราคล้อย ทิวาราตรีกาลผันเปลี่ยน ธาราเคลื่อนขึ้นลง… ทุกสรรพสิ่งล้วนมีวิญญาณ วิญญาณเป็นรากเหง้าแห่งกฎเกณฑ์ กฎเกณฑ์คือท่วงทำนองแห่งมรรค มรรคนั้นไร้นาม ถือกำเนิดสรรพสิ่ง วัฏจักรเวียนบรรจบ สัญจรตามลำดับ สำแดงเป็นปรากฏการณ์กล่าวโดยสรุปแล้ว เรียกว่ามหามรรคธรรมบาล!ทว่ารู้นั้นง่าย แต่ทำนั้นยาก การมองเห็นและรับรู้เป็นเรื่องหนึ่ง แต่คิดจะตระหนักรู้และควบคุมนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทั้งสองเปรียบเสมือนความแตกต่างระหว่างฟ้าและดิน ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิงเฉกเช่นตอนนี้ หลินสวินพยายามจะหยั่งถึงและควบคุมมันมาตลอด งัดฝีมือทุกอย่างออกมาใช้จนหมด ทว่าจนป่านนี้ก็ยังไม่ได้อะไรเลยที่นี่ยังเป็นภูผาแห่งบันไดสวรรค์ เปี่ยมด้วยร่องรอยมหามรรค หากยกไปอยู่โลกภายนอก มหามรรคไร้รูปล่องลอย รังแต่จะทำให้รับรู้และเสาะหายากขึ้นเท่านั้นและนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะจึงหาตัวจับยากเช่นนี้ หนทางแห่งมหามรรคเรรวนปรวนแปร นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกปราณตั้งเท่าไรที่หยุดฝีเท้าไว้ตรงนี้ และสิ้นชีพด้วยความคับแค้นคำกล่าวที่ว่า ‘ใต้มหามรรคซากกระดูกฝังแน่น’ ไม่ใช่คำพูดเกินจริงอย่างแน่นอน มันเป็นเหมือนจุดยุทธศาสตร์ทางธรรมชาติสายหนึ่ง กักขังผู้ฝึกปราณจำนวนมากบนโลกเอาไว้ ไร้หนทางป่ายปีนและข้ามผ่านแต่อายุขัยนั้นมีจำกัด หากไม่สามารถทะลวงระดับขั้น ย่อมไม่อาจหลุดพ้นจากความทุกข์แห่งการเกิดแก่เจ็บตาย ผลสุดท้ายก็จะกลายเป็นฝุ่นดิน จมดิ่งในสายธารแห่งกาลเวลาตู้ม!มหาสมุทรปั่นป่วนเดือดพล่าน กลั่นตัวกลายเป็นอาวุธมากมายแตกต่าง ทั้งทวนยาว ง้าวใหญ่ กระบี่วิญญาณ ดาบศึกเป็นต้น แสงวารีส่องประกาย พุ่งทะยานสู่ห้วงอากาศเงาร่างของหลินสวินดุจสายฟ้า ใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งต่อสู้อย่างดุเดือดบนผืนสมุทรอันกว้างใหญ่ พลังหมัดจรัสจ้าพราวตา ฉีกทึ้งห้วงอากาศตูม~~มีระเบิดปะทุทั่วหัวระแหง แสงพิรุณพุ่งกระจาย คลื่นน้ำซัดกลืนไม่นานนักสัจวิถีธาตุน้ำอันเชี่ยวกรากนั้นได้พัฒนากลายเป็นดวงวิญญาณน่าหวาดกลัวอย่างมังกรเกล็ด สัตว์ปีกดุร้าย ยักษา วิญญาณสมุทร… อานุภาพยิ่งทวีความน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆนี่คือบันไดสวรรค์ขั้นที่หกสิบสาม พลังของร่องรอยมหามรรคยิ่งน่ากลัวมากขึ้นทุกที ทุกสิ่งที่พลังแห่งสัจจะวิวัฒน์ออกมาเห็นได้ชัดว่าแตกต่างกัน มีจิตวิญญาณที่ไม่อาจควบคุมได้อย่างหนึ่งไหลหลั่ง น่าสะพรึงถึงขีดสุดหากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณคนอื่นๆ เกรงว่าคงถูกทำลายจนสิ้นซากภายในพริบตาเดียว!ในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ หลายพันปีมานี้ ในสำนักศึกษามฤคมรกตไม่ขาดแคลนผู้กล้าซึ่งมาที่นี่เพื่อบุกทะลวงด่าน แต่ผู้ที่สามารถก้าวเข้ามาถึงจุดนี้ มีจำนวนแทบนับนิ้วได้!สาเหตุก็อยู่ที่…พลังแห่งร่องรอยมหามรรคนั้นประดุจอานุภาพแห่งฟ้าดิน ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณคนหนึ่งจะรับไหวยามนี้แม้แต่หลินสวินก็รู้สึกได้ถึงความกดดัน เขาไม่กล้าลดความระมัดระวัง แสงสีฟ้าอ่อนห้อมล้อม หมุนวนอยู่ทั่วร่าง ดุจชือน้ำแข็งตัวหนึ่งกำลังกลืนเมฆคลายหมอก พลิกนทีคว่ำสมุทร!ครู่หนึ่งหลังจากนั้นสิ่งที่วิวัฒน์มาจากสัจวิถีธาตุน้ำระเบิดแตกเป็นชั้นๆ กลายเป็นฝนแสงโปรยปราย‘ขั้นที่หกสิบสามแล้ว ใช้พลังหมัดห้าชั้น กำลังกายหายไปเกือบครึ่ง…’หลินสวินรับรู้และวิเคราะห์สถานการณ์ของตนเองเงียบๆหากลำพังแค่บุกทะลวงอย่างเดียว หลินสวินคงโดดผลุงขึ้นด้านบนตั้งนานแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงและเวลามหาศาลเช่นนี้กุญแจสำคัญอยู่ที่เขาทะลวงด่านไปพลางหยั่งรู้ไปพลาง ปรารถนาจะตระหนักรู้และควบคุมพลังแห่งสัจจะมหามรรค เวลาและเรี่ยวแรงที่ใช้ไปนั้นย่อมเกินกว่าปกติอยู่แล้วหากสิ่งนี้ถูกผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ในสำนักศึกษารู้เข้า คงไม่พ้นมองหลินสวินเป็นสัตว์ประหลาด ควรรู้ว่าสำหรับพวกเขาแค่การปีนบันไดสวรรค์ยังรู้สึกถึงความตรากตรำหาใดเปรียบ แต่หลินสวินกลับดีนัก มองการทะลวงด่านเป็นโอกาสอย่างหนึ่งในการสำรวจและลองควบคุมสัจจะมหามรรค นี่มันวิปริตอย่างเห็นได้ชัดเกินไปแล้ว ทำให้ผู้คนทนรับได้อย่างไรกันเล่า!“หืม?”ฉับพลันในขณะที่หลินสวินกำลังตั้งใจหยั่งรู้ ในใจพลันจับกลิ่นอายเร้นลับที่คล้ายมีคล้ายไม่มีได้สายหนึ่งเลือนรางดั่งควันเมฆา แต่กลับเปี่ยมด้วยเสน่ห์แห่งวารี!หยั่งถึงแล้ว!ในใจหลินสวินสะท้านไหว เบิกบานเป็นล้นพัน ทว่ายามที่เขาปรารถนาจะรู้แจ้งอย่างถ้วนถี่นั้น ร่องรอยลี้ลับคล้ายมีแต่ไม่มีสายนี้กลับอันตรธานลับไปเป็นดังเช่นรอยเท้าห่านบนผืนหิมะ ไร้ร่องรอยให้เสาะหาทว่าหลินสวินก็ไม่ได้ย่อท้อด้วยเหตุนี้ ตรงกันข้าม นัยน์ตาดำของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายหาใดเปรียบ ในใจพลุ่งพล่านตื่นเต้นดุจคลื่นยักษ์ในมหาชลธีการตระหนักรู้แวบเดียวเมื่อครู่นั้น ก็เหมือนแสงที่ทะลุผ่านความมืดมิด ทำให้หลินสวินมองเห็นความหวังเสี้ยวหนึ่งบนเส้นทางแห่งการเสาะแสวงมหามรรคอันขมขื่น!แม้ในกาลก่อนจะมีตัวอย่างนับไม่ถ้วนพิสูจน์แล้วว่า ในระดับมหาสมุทรวิญญาณไม่อาจคาดหวังถึงมหามรรค ไร้หนทางจะเสาะหาแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่กลับบอกหลินสวินอย่างไร้ข้อกังขาว่า ในระดับมหาสมุทรวิญญาณก็สามารถตระหนักรู้และควบคุมพลังแห่งสัจจะมหามรรคได้ และกำแพงที่ขวางกั้นระหว่างระดับหยั่งสัจจะกับระดับมหาสมุทรวิญญาณนี้ ก็ใช่ว่าจะไร้วิธีทำลาย!‘สัจวิถีธาตุน้ำ…’หลินสวินสูดหายใจลึก หวนคืนความเยือกเย็น ตลอดทางที่ไต่ขึ้นมา เขาเห็นร่องรอยมหามรรคที่แตกต่างกันมากมาย แต่จนถึงตอนนี้มีเพียงรอยของสัจวิถีธาตุน้ำเท่านั้นที่หยั่งถึงได้ถึงแม้จะเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่ง คลุมเครือเลือนรางถึงสุด ทว่าสิ่งนี้กลับชี้แนะหนทางสายหนึ่งให้หลินสวิน ทำให้เขามั่นใจในทิศทางการแสวงหาหลินสวินป่ายปีนต่อไปโดยไม่รีรอครั้งนี้เขาไม่สิ้นเปลืองกำลังวังชาไปกับร่องรอยมหามรรคอื่นๆ อีก แต่เริ่มพุ่งทะลุด่านอย่างรวดเร็ว!มีเพียงตอนที่พบขั้นบันไดของร่องรอยแห่งน้ำเท่านั้นจึงจะเลือกรั้งหยุด ใช้พลังกายและปราณอย่างไม่เสียดาย ยืดเวลาการต่อสู้ออกไป เพื่อที่จะตระหนักรู้และควบคุมสัจวิถีธาตุน้ำได้มากขึ้นอีกก้าวชั่วขณะเดียวก็เห็นเงาร่างของหลินสวินเป็นดั่งสายรุ้งทะยานฟ้า คล่องแคล่วดุจเหาะเหิน เหยียบบันไดหินด้วยความเร็วที่ต่างจากก่อนหน้านี้มากกว่าหนึ่งเท่าบนบันไดหินขั้นที่เก้าสิบเอ็ด กู้อวิ๋นถิงเพิ่งจะทะลวงภาพมายาน่ากลัวลงได้ และกำลังฉวยโอกาสปรับลมหายใจ หลังมาถึงจุดนี้ทำให้เขารู้สึกเปลืองแรง กำลังกายหมดไปรวดเร็วยิ่ง ไม่อาจไม่ดำเนินการจัดระเบียบร่างกาย“หืม?”ฉับพลันกู้อวิ๋นถิงคล้ายจะสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง นัยน์ตาทอดไปแลมา พลันเห็นหลินสวินเหยียบอยู่บนบันไดขั้นที่เจ็ดสิบเจ็ดตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ สิ่งนี้ทำให้คิ้วกระบี่ของเขาอดมุ่นหากันไม่ได้เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้หลินสวินยังถูกทิ้งห่างไปไกลอยู่เลย ทว่าช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น เขาก็ย่นระยะห่างจากตนได้แล้ว เห็นชัดว่านี่ออกจะไม่ปกติแล้วหรือเขาเก็บกลั้นพลังมาโดยตลอด และวางแผนจะระเบิดพลังตอนนี้แล้วไล่บี้ตนขึ้นมา?กู้อวิ๋นถิงเก็บสายตากลับมา ดวงหน้าหล่อเหลายังคงราบเรียบไร้คลื่นตอนที่เขาปีนภูผาก่อนหน้านี้ มีความคิดจะเทียบสูงต่ำกับหลินสวินจริงๆ เนื่องจากเมื่อวานเขาเองก็สังเกตเห็นว่าตอนหลินสวินทะลวงกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ ได้ชักนำปรากฏการณ์ประหลาดจากฟากฟ้าอันยิ่งใหญ่หาใดเปรียบขึ้นสิ่งนี้ทำให้ในใจเขารู้สึกสงสัยเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อเห็นหลินสวินในวันนี้ เขาจึงคิดจะอาศัยโอกาสนี้มาลองเชิงความสามารถของหลินสวินเพียงแต่ไม่นานเขาก็ต้องผิดหวัง ความสามารถของหลินสวินนั้นธรรมดายิ่ง ไม่แข็งแกร่งเหมือนอย่างที่เขาจินตนาการเอาไว้เลยสักนิดเดิมทีกู้อวิ๋นถิงเริ่มมองข้ามหลินสวินไปแล้ว ใครเลยจะคาดคิดว่าตอนนี้หลินสวินกลับเริ่มระเบิดพลังออกมาแล้วสิ่งนี้ไม่อาจไม่ทำให้กู้อวิ๋นถิงเคลือบแคลง ว่าหลินสวินคิดจะใช้กลยุทธ์นี้มาประชันความเก่งกาจกับตนหรือไม่‘ต่อหน้าพลังแท้จริง กลยุทธ์เป็นเพียงทางรอง เพิ่งจะออกแรงเอาป่านนี้ ก็ถูกลิขิตให้ยากพลิกสถานการณ์ปราชัยแล้ว’กู้อวิ๋นถิงไม่ได้คิดมากอีก ยังคงเดินตามขั้นบันไปหินของตนต่อไปในใจเขาหลินสวินอาจเรียกได้ว่าน่าทึ่ง แต่กลับไม่สามารถทำให้เขาเกิดความรู้สึกอยากประลองด้วย“เอ๋ เจ้าหนูนั่นเริ่มออกแรงแล้ว”ด้านหน้ากระท่อม ชายชรามอมแมมเปล่งเสียงด้วยความแปลกใจ“ข้าเคยพูดแต่แรกแล้ว เขาไม่ได้ด้อยไปกว่ากู้อวิ๋นถิงเลย”เจ้าสำนักเอ่ยเสียงราบเรียบ เมื่อวานเขาเห็นกับตาว่าความสามารถของหลินสวินอยู่ในกระดานรวมมหาสมุทรวิญญาณด้วย ถึงแม้สุดท้ายจะไม่ได้ทิ้งชื่อเอาไว้ ทว่าอันดับของหลินสวินในตอนนั้นนำหน้ากู้อวิ๋นถิงเสียด้วยซ้ำ!“หากพูดเช่นนี้ละก็ เจ้าหนูนี่คงน่าทึ่งมากๆ สินะ ไปอยู่ดินแดนรกร้างโบราณอาจเรียกได้ว่าเป็นปีศาจน้อยคนหนึ่ง”ภายในนัยน์ตาของชายชรามอมแมมปรากฏแสงพราววาบออกมา ประหนึ่งมีสุริยันจันทราสะท้อนอยู่ในนั้น คลี่ขยายปรากฏการณ์มหามรรค น่าตกใจหาใดเปรียบ“ศิษย์พี่ ในเมื่อท่านไม่คิดจะยื่นมือแทรกเรื่องของเด็กคนนี้ ไม่สู้ส่งเขาให้ข้าเป็นอย่างไร”ชายชรามอมแมมเอ่ยถาม“ไม่ได้!”เจ้าสำนักปฏิเสธอย่างไม่ไยดีชายชรามอมแมมหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจผ่านไปไม่ทันไร เจ้าสำนักและชายชรามอมแมมต่างคล้ายกับสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง เงยหน้าขวับ สายตาต่างมองไปทางยอดภูผาบันไดสวรรค์บนขั้นที่เก้าสิบเก้านั้น อาภรณ์ขาวของกู้อวิ๋นถิงพลิ้วสะบัด ผมดำปลิวไสว รอบกายมีเปลวไฟสีชาดบาดตานับพันนับหมื่นสายพวยพุ่งออกมา ปกคลุมทั่วร่างเขาดุจดั่งวงแหวนแห่งเปลวไฟ กลิ่นอายมหัศจรรย์ขจรออกมาครืน~~บนเวิ้งนภามีเมฆครึ้มปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ เกิดเป็นเสียงอสนีบาตกึกก้อง ถาโถมทั่วฟ้าดิน เพียงแวบเดียวก็เห็นสายฟ้าแปลบปลาบสายแล้วสายเล่าร่วงหล่นลงมาจากชั้นเมฆ คล้ายอสนีที่เคี้ยวคด กลืนกู้อวิ๋นถิงจนมิด“ทะลวงระดับแล้ว ไม่เสียแรงที่กายสุวรรณมรรคอัคคีเป็นพรสวรรค์โดดเด่นเลื่องชื่อมาแต่บรรพกาล ยามเลื่อนระดับถึงขั้นเรียกด่านเคราะห์อสนีจากสวรรค์ เป็นหนึ่งเดียวหาตัวจับยากในบรรดาผู้ฝึกปราณนับหมื่น”สายตาชายชรามอมแมมลุ่มลึกเปล่งประกาย“นี่ก็คือพลังที่เป็นของผู้กล้าอย่างแท้จริง ข้ามผ่านด่านเคราะห์อสนี หลอมร่างมรรค วาสนาสูงสุดเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ไร้หนทางจะครอบครองได้”เจ้าสำนักก็รู้สึกปลงตกเช่นเดียวกันทั้งสองต่างรู้ดี ขอเพียงกู้อวิ๋นถิงผ่านด่านเคราะห์อสนีไปได้ เพียงก้าวกระโดดเดียวก็จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะที่ไร้เทียมทานคนหนึ่ง!เพียงแต่ทั้งสองต่างไม่ได้สังเกตว่าขณะที่กู้อวิ๋นถิงกำลังข้ามด่านเคราะห์เลื่อนระดับอยู่นั้น หลินสวินซึ่งเหยียบย่างบนบันไดหินขั้นที่แปดสิบแปด รอบกายรายล้อมด้วยระลอกคลื่นสายแล้วสายเล่าดั่งกระแสน้ำ พรั่งพรูออกมาจากทุกรูขุมขนทั่วผิวกายของเขาฉากนั้นดูเหมือนไม่สะดุดตา ด้วยถูกบดบังจากการเคลื่อนไหวอันยิ่งใหญ่ที่เกิดจากกู้อวิ๋นถิงไปสิ้น แต่ห้วงอากาศที่อยู่รอบๆ ร่างหลินสวินกลับถูกสั่นสะเทือนจนเกิดรอยคลื่นทีละชั้น แผ่กว้างกระจายออกไป—
คอมเม้นต์