Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 487 บันไดสวรรค์มหามรรค
เมื่อเดินออกจากหอกิจวิญญาณ หลินสวินรู้สึกปวดเมื่อยตามเนื้อตัวเล็กน้อยในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าการเลือกวิธีที่สองโดยไต่ขึ้นกระดานนั้น ที่แท้ยังต้องจ่ายคะแนนสะสมไปถึงหนึ่งพันคะแนน มิน่าถึงได้มีน้อยคนนักที่จะเลือกการไต่ขึ้นกระดานเพียงลำพังหนึ่งพันคะแนน นี่เป็นตัวเลขมหึมาที่สามารถทำให้ศิษย์ส่วนใหญ่ถอยหนีได้เลยยังดีที่หลังจากหักไปหนึ่งพันคะแนน ในป้ายประจำตัวของหลินสวินตอนนี้ยังเหลืออีกห้าพันกว่าคะแนน เพียงพอที่จะร่วม ‘การทดสอบบันไดสวรรค์’ ได้อยู่ท้องฟ้ามืดแล้ว หลินสวินกลับไปยังที่พำนักของตน และตัดสินใจว่าพรุ่งนี้ค่อยมุ่งหน้าไปยัง ‘ภูผาบันไดสวรรค์’สถานที่ที่เรียกว่าภูผาบันไดสวรรค์ ก็คือพื้นที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งในสำนักศึกษามฤคมรกต มีเพียงศิษย์ผู้มีห้าพันคะแนนเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ย่างกรายขึ้นไปบนนั้นได้มีคำเล่าลือว่าในภูผาบันไดสวรรค์นั้นมีร่องรอยมหามรรคอยู่ ไม่อาจคาดเดา ผู้ใดสามารถปีนขึ้นไปบนยอดเขาบันไดสวรรค์ได้ ก็เทียบเท่ากับก้าวแรกแห่งการปีนสู่สรวงสวรรค์ สามารถควบคุมพลังแห่งสัจจะมหามรรคได้!‘สวรรค์’ ในที่นี้ ก็ถูกชี้บ่งถึงระดับ ‘หยั่งสัจจะ’ เนื่องจากมีเพียงผู้แข็งแกร่งในระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น จึงจะสามารถควบคุมพลังแห่งสัจจะมหามรรคได้ นี่เป็นที่ทราบโดยทั่วกันในหมู่ฝูงชนตกดึกหลินสวินนั่งขัดสมาธิทำจิตใจให้สงบอยู่ภายในห้องเขาในตอนนี้ฝึกปราณมาถึงขั้นสุดยอดในระดับมหาสมุทรวิญญาณ สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ และเนื่องจากชีพจนวิญญาณก่อร่างใหม่อีกครั้ง ทำให้มรรควิถีที่แต่เดิมก็แข็งแกร่งไร้เทียมทานอยู่แล้วของเขายิ่งแปรเปลี่ยนทรงพลังมากขึ้น ไม่อาจหยั่งถึงดุจเหวลึกหากถูกผู้ฝึกปราณคนอื่นเห็นเขาคงต้องตกตะลึงอึ้งค้างเป็นแน่ เนื่องจากในระดับมหาสมุทรวิญญาณแทบจะหาคนที่เหมือนกับหลินสวิน ถูกเคี่ยวกรำจนกลายเป็นปีศาจชั่วร้ายแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ในแง่ของการฝึกจิตวิญญาณ หลินสวินได้บรรลุถึงขึ้นสมบูรณ์ของระดับ ‘ดาราจักรโคจร’ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในห้วงนิมิตกลุ่มดาวเปล่งประกาย แสงดาวร่วงเป็นสายคมดุจภาพฝัน ส่องสะท้อนจิตวิญญาณระดับต่อไปก็คือ ‘จันทราเคลื่อนคล้อย’ ซึ่งเป็นระดับขั้นที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีกในการฝึกจิตวิญญาณ ในระดับนี้ใช้การหล่อหลอม ‘จิตจันทรา’ เป็นแกนหลักยามหลอมรวมความน่าอัศจรรย์แห่ง ‘จันทร์เพ็ญเด่นนภา จรัสจ้าล่วงกาล’ ออกมาได้ จึงจะถือว่าสมบูรณ์หลินสวินตั้งใจว่าตอนทะลวงขั้นของระดับหยั่งสัจจะ ค่อยไปฝึกฝน ‘จันทราเคลื่อนคล้อย’ เนื่องจากในระดับมหาสมุทรวิญญาณนั้น พลังจิตวิญญาณของเขาได้บรรลุสู่ขั้นสูงสุดแล้ว ด้วยได้รับอิทธิพลจากร่างกายและพลังปราณจนยากจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้อีกสิ่งที่ทำให้หลินสวินรู้สึกนอกเหนือความคาดหมายก็คือ ยามเกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ในป้ายหินวิญญาณมรรคเขาประสบกับวังวนแห่งการดับสลายและฟื้นคืนสับเปลี่ยน ทำให้ร่างของเขาเปลี่ยนแปลงและยกระดับขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าอีกทั้งในกระบวนการนี้ยังหลอมอาวุธศักดิสิทธิ์อย่าง ‘มุกนักบุญอมตะ’ ไปจนหมด ผสานเข้ากับร่างกายอย่างสมบูรณ์!ตอนนี้หลินสวินนึกสงสัยว่า เพียงแค่พลังกายของตนก็น่าจะสังหารผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณคนหนึ่งได้ด้วยหมัดเดียว!‘ปราณ จิตวิญญาณ และพลังกาย สามสิ่งนี้ล้วนบรรลุขั้นสมบูรณ์แล้ว สิ่งที่เรียกว่าสรรพไตรภพนั้น ตอนที่ทะลวงเลื่อนขึ้นสู่ระดับหยั่งสัจจะ อาศัยมรรควิถีขั้นสมบูรณ์ ก็เพียงพอทำให้ข้าครอบครองความสำเร็จที่เหนือกว่าผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ได้แล้ว!’หลินสวินเกิดความรู้แจ้งอยู่ในใจระดับหยั่งสัจจะ ระดับใหญ่ที่แตกต่างไปจากระดับมหาสมุทรวิญญาณโดยสิ้นเชิง มีเพียงการบรรลุถึงระดับนี้เท่านั้นจึงจะถูกผู้คนขนานนามว่าเป็น ‘มหายุทธ์’!เนื่องจากมีเพียงระดับหยั่งสัจจะเท่านั้นที่สามารถหยั่งรู้และครอบครองพลังแห่งสัจจะมหามรรค ควบคุมลม สายฟ้า ดิน ไฟ ขับเคลื่อนจักรวาลธารบรรพต ระหว่างที่เงื้อมือขึ้นก็สามารถพลิกเมฆาคว่ำพิรุณ เผาภูผาต้มทะเลได้!หยั่งสัจจะ มีคำอธิบายหลากหลายรูปแบบ บางคนกล่าวว่าเมื่อบรรลุระดับดังกล่าว ก็สามารถรู้แจ้งถึง ‘มรรค’ และ‘เหตุผล’ แห่งฟ้าดิน ดังนั้นจึงขนานนามว่าหยั่งสัจจะและมีบางคนกล่าวว่า หยั่งสัจจะคือภาพสะท้อนอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงแห่งมรรควิถี เฉกเช่นการเปิดจักรวาลภายในร่างกาย ก่อร่างสร้างฐานแห่งมหามรรค และมีคุณสมบัติแสวงหาความอมตะแต่ไม่ว่าอย่างไร ระดับหยั่งสัจจะก็เป็นหนึ่งระดับใหญ่ที่ยากหยั่งถึงอย่างจริง นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันผู้ที่สามารถย่างกรายเข้าสู่ระดับนี้ได้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย!ไม่ใช่อะไรอื่น เพราะมันยากเกินไป!เนื่องจากในระดับหยั่งสัจจะสิ่งที่ต้องหยั่งรู้คือสัจจะมหามรรค หากไร้ซึ่งพรสวรรค์และโอกาสแล้ว ชั่วชีวิตนี้ก็ถูกลิขิตให้ยากจะครอบครองได้ดังเช่นในขุมกำลังใหญ่ภายในนครต้องห้าม ณ ปัจจุบัน ผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะนั้นเรียกได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ไม่อาจขาดไปได้ สามารถสั่นสะเทือนใต้หล้า อิทธิพลเกรียงไกรดังเช่นบนภูเขาชำระจิต จูเหล่าซาน หลินจงก็เป็นบุคคลในระดับนี้ หากไม่มีพวกเขาเป็นกำลังหลัก สถานการณ์ของภูเขาชำระจิตรังแต่จะยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้นจากสิ่งนี้ก็สามารถรู้ได้ว่า พลังสั่นสะเทือนของระดับหยั่งสัจจะนั้นมีพลานุภาพมากเพียงใดหลินสวินในปัจจุบันอยู่ห่างจากระดับนี้เพียงก้าวเดียวเท่านั้น ทว่าหนึ่งก้าวนี้กลับยากยิ่งกว่าการปีนสู่สรวงสวรรค์!นี่ใช่ว่าอาศัยการปิดด่านฝึกฝนแล้วจะทะลวงเข้าไปได้ แต่จำเป็นต้องมีโอกาส ต้องแสวงหาและเคี่ยวกรำสมาธิเท่าที่หลินสวินรู้มา ในโลกตอนมีผู้โดดเด่นน่าอัศจรรย์อยู่มากมาย แต่แสวงหามาชั่วชีวิตก็ไม่สามารถบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะได้ ไม่ใช่ว่าพลังของพวกเขาไม่แกร่งพอ แต่เป็นเพราะยังขาดโอกาสและวาสนาในการทะลวงเข้าไปต่างหาก!หลินสวินในปัจจุบันก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ เขาเองก็กำลังรอคอยโอกาสธรรมดาๆ หนหนึ่งอยู่……เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นณ ภูผาบันไดสวรรค์สถานที่ดังกล่าวตั้งอยู่ในส่วนลึกของสำนักศึกษามฤคมรกต และยังเป็นเขตหวงห้ามแห่งหนึ่งอีกด้วย โดยปกติแทบจะมองไม่เห็นเงาคนเลยสักสาย วังเวงเหลือแสนอย่างเห็นได้ชัดหมอกยามเช้าปกคคลุม ท่ามกลางความเลือนรางเงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งเดินเข้ามา สวมชุดสีขาวทั้งร่าง ผมยาวสีดำมัดอยู่ด้านหลังลวกๆ เผยดวงหน้าอบอุ่นเป็นมิตร นัยน์ตาดำขลับลึกล้ำสุกสกาว ทั่วสรรพางค์กายอวลด้วยกลิ่นอายโดดเด่นอย่างหนึ่งเป็นหลินสวินนั่นเองรอบด้านเงียบสงัด เทือกเขาซ้อนทับกัน หมอกยามเช้าเบาบาง ที่อยู่ห่างออกไปก็คือภูผาบันไดสวรรค์แล้ว การทดสอบบันไดสวรรค์กำลังจะเริ่มขึ้น ณ ที่แห่งนั้น“พ่อหนุ่ม ตรงนี้เป็นพื้นที่ต้องห้าม อย่าได้เข้าใกล้อีก”กระท่อมมุงจากหลังหนึ่งปรากฏขึ้นไกลๆ เบื้องหน้ากระท่อมมีชายชราหนวดเครายุ่งเหยิง ผมเผ้ารุงรังคนหนึ่งกำลังก่อไฟปรุงอาหารเตาไฟเผาไหม้ร้อนแรง ในหม้อเหล็กที่ตั้งอยู่กำลังต้มเนื้อสัตว์ กลิ่นหอมคละคลุ้ง พาให้ผู้คนนิ้วขยับยกใหญ่เมื่อสังเกตเห็นการมาของหลินสวิน ชายชราผู้นั้นไม่แม้แต่จะเงยหน้า รีบเอ่ยประโยคหนึ่งอย่างรวดเร็ว ดวงตาจับจ้องไปที่เนื้อสัตว์ภายในหม้อเหล็ก เอาแต่ทำปากแจ๊บๆ ไม่ยอมหยุด ดูคล้ายหิวจัดจนกลั้นไม่อยู่แล้ว“ผู้อาวุโส ข้ามาปีนบันไดสวรรค์”หลินสวินโพล่งออกไป เขาสำรวจชายชราคนนั้น ทั้งร่างสกปรกไปหมด เห็นชัดว่ามอมแมมมาก ทั่วเรือนร่างก็ไม่มีกลิ่นอายแกร่งกล้า และดูไม่เหมือนยอดฝีมือผู้สันโดษคนหนึ่งเลยสักนิดแต่ว่าหลินสวินไม่กล้าดูเบา สามารถนั่งอยู่ในภูผาบันไดสวรรค์นี้ได้ ความเป็นมาถึงชายชรามอมแมมคนนี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่“โอ้ หลายร้อยปีมานี้ก็มีศิษย์ไม่น้อยที่มาปีนบันไดสวรรค์ ทว่ากลับไม่มีสักคนที่ประสบความสำเร็จ พ่อหนุ่ม ข้าขอเตือนเจ้าว่าจากไปเสียเถอะ อย่าได้สิ้นเปลืองคะแนนสะสมเลย”กล่าวถึงตรงนี้จู่ๆ ชายชราก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมา “หากเป็นก่อนหน้านี้ ห้าพันคะแนนสามารถแลกเนื้อหัวใจของพญาอสูรมารระดับสวรรค์มากินได้หนึ่งชิ้น แต่น่าเสียดาย ตอนนี้ยากจะหาอสูรมารที่อยู่ระดับนี้ได้เสียแล้ว”หลินสวินชะงักไป พญาอสูรมารระดับสวรรค์? เมื่อเทียบกับระดับปราณแล้ว เป็นตัวตนน่ากลัวของผู้แข็งแกร่งระดับเเปรกระบวนจุติเชียวนะ!หรือสมัยก่อนชายชราคนนี้เคยกินเนื้อหัวใจของพญาอสูรมารระดับสวรรค์?แต่จากนั้นหลินสวินก็เก็บความคิดนี้ลงไป ไม่คิดมากอีก ก่อนกล่าวอย่างจริงจัง “ผู้อาวุโส ครั้งนี้ข้าจำต้องปีนบันไดสวรรค์ให้ได้”ชายชราดูเหมือนจะหงุดหงิดเล็กน้อย โบกมือพลางกล่าวว่า “ช่างไม่เห็นโลงศพไม่หลังน้ำตาเลยจริงๆ เอาเถิด ข้าเองก็ไม่ขวางเจ้าแล้ว เอาป้ายประจำตัวออกมา”หลินสวินส่งป้ายประจำตัวออกไป ก่อนเดินทางมุ่งหน้าไปยังบริเวณห่างไกลต่อ“ระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์หรือ เฮ้อ น่าเสียดาย หากไร้ซึ่งคุณสมบัติ ‘สูงสุด’ ของระดับนี้ ก็ถูกลิขิตให้กลับไปพร้อมความปราชัยอยู่ดี”ชายชราเหลือบมองเงาหลังของหลินสวินปราดหนึ่ง ก่อนส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย แล้วจึงหยิบชามตะเกียบออกมาคีบเนื้อสัตว์ในหม้อเหล็ก และเริ่มสวาปามด้วยความเอร็ดอร่อย“หืม? เหตุใดถึงโผล่มาอีกคนแล้ว”ทันใดนั้นชายชราพลันนิ่งไป ขมวดคิ้วมองไปในหมอกยามเช้าไกลๆ ก็เห็นชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมขาวหิมะ โดดเด่นดั่งเทพเซียนจุติลงมา ล่องลอยมาเยือนกู้อวิ๋นถิง!“เจ้าก็มาปีนบันไดสวรรค์เหมือนกันรึ”ชายชราเคี้ยวเนื้อสัตว์คำโตพลางเอ่ยถามอู้อี้ กินอย่างอิ่มเอมเปรมปรีดิ์กู้อวิ๋นถิงพยักหน้า ล้วงป้ายประจำตัวออกมาด้วยท่าทีสบายๆ จากนั้นก็รุดหน้าต่อไป ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยเอ่ยคำเลยสักคำ“วันนี้เกิดอะไรขึ้นกันนะ”ชายชราขมวดคิ้ว จากนั้นก็ส่ายหน้า กินเนื้อสัตว์คำโตต่อไป ราวกับว่าต่อให้ฟ้าทลายลงมาก็ไม่ได้สำคัญไปกว่าชิ้นเนื้อในชามเลยภูผาบันไดสวรรค์ตั้งชันโดดเดี่ยวดุจทวงวงเดือนเสียบทะลุเวหา โขดเขินเนินไศลดั่งเหล็กกล้า ไม่มีหญ้าผุดขึ้น ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงกลิ่นอายที่ไม่อาจคลอนแคลนได้เมื่อยืนในที่แห่งนี้ก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า บนทางเดินบันไดหินเล็กๆ ซึ่งทอดตรงขึ้นสู่ยอดเขานั้นสูงชันลิบลิ่ว ดูเหมือนกับขั้นบันไดที่ตั้งตรงอย่างไรอย่างนั้นนี่ก็คือเส้นทางแห่งบันไดสวรรค์ลือกันว่าบันไดหินทุกขั้นต่างประทับร่องรอยมหามรรค เต็มไปด้วยพลังยากหยั่งถึง เดินอยู่บนนี้น่ากลัวยิ่งกว่าการบุกน้ำลุยไฟเสียอีกนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถขึ้นสู่ยอดเขาบันไดสวรรค์ได้ เนื่องจากมันยากเกินไป ต่อให้เป็นผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณก็ต้องดิ้นรนปีนป่ายขึ้นไปบนนั้นเช่นเดียวกันแต่ถ้าสามารถปีนสู่ยอดสูงสุดของบันดสวรรค์ได้จริงๆ ก็จะได้รับผลประโยชน์มหาศาล เรียกได้ว่าเป็นวาสนาชิ้นใหญ่ครั้งหนึ่งเลยทีเดียวหลินสวินสูดลมหายใจลึกหนึ่งเฮือก สาวเท้าก้าวขึ้นไปโดยไม่รีรอก่อนมาที่นี่เขาทำความเข้าใจมาแล้วว่าหนทางสู่บันไดสวรรค์แต่ละขั้นนั้นแสนอันตราย หากประมาทแม้เพียงนิดก็จะถูกสยบและกำจัดออกไปโดยไร้ปรานีแต่เพื่อให้ได้เขาวัวขุย หลินสวินจำต้องบุกตะลุยด่านทดสอบนี้ไปให้จงได้ตึก!ยามเท้าเหยียบย่างขึ้นบันไดหินขั้นแรก ทิวทัศน์เบื้องหน้าพลันเปลี่ยนไป ราวกับดวงดาวเคลื่อนที่ ปรากฏเป็นทะเลเพลิงปั่นป่วนขึ้นมาท่ามกลางทะเลเพลิง สัตว์ปีกดุร้ายตัวแล้วตัวเล่าที่ร่างชโลมแสงไฟกระพือปีกบินร่อน แผ่กลิ่นอายน่ากลัวแห่งการแผดเผาทุกสรรพสิ่ง“ตราประทับอัคคี!”หลินสวินหรี่ตาลง แยกแยะออกว่านี่คือตราประทับที่เป็นร่องรอยการวิวัฒน์ของ ‘สัจวิถีธาตุไฟ’ บนบันไดสวรรค์ แม้จะไม่ใช่ของจริง แต่พลังนั้นกลับน่าหวาดกลัวหาใดเปรียบฟุ่บ!แทบไม่มีโอกาสให้หลินสวินคิดอะไรมาก สัตว์ปีกดุร้ายตัวหนึ่งสยายสองปีก พลางหอบม้วนคลื่นอัคคีนับพันหมื่นถลาร่อนคำรามเข้าหา แล้วพ่นคลื่นเพลิงร้อนระอุนั้นออกมาหลอมกลืนห้วงอากาศ เปี่ยมด้วยพลังแห่งการทำลายล้างการทดสอบเริ่มต้นแล้ว!หลินสวินไม่ถอยหนีกลับรุกขึ้นหน้า โคจรพลังปราณทั่วร่าง ทั่วทั้งตัวราวกับอาทิตย์สีฟ้าดวงใหญ่เจิดจ้า พุ่งทะยานสู่ท้องนภาก่อนซัดหมัดหนึ่งออกไปตูม!พลังหมัดดั่งห้อทะยาน พริบตาเดียวก็บดขยี้สัตว์ปีกดุร้ายตัวนั้นเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นฝนแสงและหายวับไปแต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น ในทะเลเพลิงกลับมีสัตว์ปีกดุร้ายตัวแล้วตัวเล่าพุ่งออกมา อาบด้วยเปลวไฟร้อนเร่า ส่งเสียงแหลมแสบแก้วหู พุ่งเข้าหาหลินสวินดั่งปิดล้อมฟ้าดิน“เข้ามาเลย!”ผมดำขลับของหลินสวินปลิวไสว โคจรเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ เปิดฉากต่อสู้ดุเดือดอยู่เหนือทะเลเพลิง พลันเห็นเปลวไฟพวยพุ่ง สัตว์ปีกดุร้ายบินร่อน พลังในการเผาไหม้ท่วมท้นฟ้าดินราวกับขุมนรกแห่งไฟ น่ากลัวถึงขีดสุดขณะเดียวกันที่เชิงเขาบันไดสวรรค์ กู้อวิ๋นถิงในชุดขาวก็มาถึง ตอนที่มองเห็นหลินสวินยืนอยู่บนบันไดหินขั้นแรกในระยะไกลนั้น เขาอดขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่ได้จากนั้นก็สาวเท้าขึ้นไปโดยพลัน เริ่มปีนบันไดสวรรค์จากด้านข้างของหลินสวิน!…………………
คอมเม้นต์