Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 418 ออกตัวยั่วยุ
หน้าประตูใหญ่ของพระราชวังมีสระน้ำใหญ่สระหนึ่งอยู่ปากทางในสระน้ำนั้นมีอสูรวิญญาณที่รูปร่างเหมือนกระทิงเขียวแต่มีเขาคู่สีม่วงตนหนึ่ง หมอบอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่ในนั้น ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท กำลังกรนอยู่เงาร่างทุกเงาที่ผ่านสระนี้ล้วนก้าวเดินช้าลง ใบหน้าแสดงความหวั่นเกรง เดินเข้าพระราชวังจากด้านข้างอย่างระแวดระวัง ราวกับกลัวว่าจะรบกวนอสูรวิญญาณที่หลับไหลอยู่เข้าเมื่อหลินสวินมาถึง นัยน์ตาอดหรี่ลงมิได้ อสูรวิญญาณนี้ดูเหมือนไม่มีอะไรน่ากลัว แต่ทั้งร่างกลับอบอวลไปด้วยกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนหวั่นเกรงหาใดเปรียบราวกับเมื่อมันตื่นขึ้น ก็จะกลายเป็นอสูรร้ายผงาดฟ้าที่สามารถสร้างความแปรปรวนแก่สภาพอากาศได้!แรดเขียวนอม่วง!ชั่วเสี้ยววินาที หลินสวินก็นึกถึงข่าวลือหนึ่งที่กล่าวว่า ในอาณาเขตของพระราชวังมีอสูรวิญญาณระดับสวรรค์ในตำนานตนหนึ่ง นามว่าแรดเขียวนอม่วง มีพลานุภาพล้นฟ้า เป็นพระราชพาหนะในจักรพรรดิผู้สถาปนาจักรวรรดิ สามารถทำให้ผู้มีปราณระดับหยั่งสัจจะหวั่นกลัวหาใดเปรียบได้!เพียงแต่หลินสวินไม่คิดว่า อสูรวิญญาณที่แข็งแกร่งเพียงนี้กลับปรากฏตัวต่อหน้าตนอย่างง่ายดายเช่นนี้หลังอึ้งไปเล็กน้อย หลินสวินถึงได้เบนสายตาออก เดินตามไป๋หลิงซีเข้าประตูใหญ่พระราชวังเมื่อเข้าสู่พระราชวัง ก็เป็นทิวทัศน์อีกภาพหนึ่งอาคารเก่าแก่เรียงรายเป็นระเบียบ มโหฬารโอ่โถง พื้นลานปูลาดด้วยหยกขาวราวกระจก ส่วนตรงกลางนั้นมีกระถางที่ต้องใช้ในพิธีเซ่นไหว้ มีทางเดินหลวงที่สร้างขึ้นเพื่อจักรพรรดิองค์ปัจจุบันโดยเฉพาะ และมีถนนเสริมที่ปูขึ้นเพื่อขุนนางใหญ่แห่งราชสำนัก… ทุกที่ล้วนอบอวลไปด้วยความน่าเกรงขามของพระราชวงศ์เมื่อเดินเข้าไปข้างในอีก ทัศนียภาพที่ปรากฏขึ้นยิ่งกว้างใหญ่ไพศาลและศักดิ์สิทธิ์ พาให้ใจคนเกิดความรู้สึกยำเกรงโดยไม่รู้ตัวเมื่อผ่านทะเลสาบใสสะอาด ก็มีเสียงร้องตกใจดังขึ้นระลอกหนึ่งจึงเห็นว่าในทะเลสาบพลันมีแสงทองส่องประกายแสงหนึ่งปรากฏขึ้น ใต้แสงอุษานั้นสาดสะท้อนแสงราวภาพลวงสะดุดตานั่นคือฝูงปลาวิญญาณฝูงหนึ่ง ตัวยาวหลายฉื่อ มีเกล็ดทอง ปากมีหนวดมังกร ดวงตาปลาสดใส ทั้งร่างอบอวลไปด้วยแสงวิญญาณสีทอง ดูมหัศจรรย์ยิ่งนักปลามังกรคลื่นทอง!หลายคนแสดงสีหน้าตกใจ นี่เป็นสายพันธุ์ที่หายากยิ่งในใต้หล้า แต่ขณะนี้กลับถูกเลี้ยงอยู่ในพระราชวังและปรากฏตัวกันเป็นกลุ่มเป็นฝูง นี่ช่างน่าตกใจนัก“นี่ ดูตรงริมทะเลสาบนั่นสิ ยังมีบัวศักดิ์สิทธิ์สีรุ้งต้นหนึ่งโตอยู่ มีดอกบานมากมาย ใบไม้มืดฟ้ามัวดิน! นี่เป็นสมุนไพรวิญญาณที่หายากในใต้หล้านะ!”ไม่นานนักบัวสีรุ้งที่ลอยเคลียริมทะเลสาบต้นหนึ่งก็ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาหนึ่งระลอก ในอากาศเหมือนได้กลิ่นสมุนไพรที่พาให้จิตใจแช่มชื่น“สมกับที่เป็นอาณาเขตพระราชวัง เป็นศูนย์รวมของจิตวิญญาณ โดดเด่นในใต้หล้า โลกภายนอกยากเทียบเทียมได้!”เสียงทอดถอนใจมากมายดังขึ้นบัวศักดิ์สิทธิ์สีรุ้งนั้นเป็นสมุนไพรวิญญาณสุดยอดไร้เทียมทานชนิดหนึ่ง ทำให้ผู้ฝึกปราณมากมายล้วนมองอย่างอิจฉาตาร้อนไม่หยุดหย่อน“พวกเจ้าจะรู้อะไร นี่ยังเป็นยอดเขาน้ำแข็ง หากพวกเจ้ามีโอกาสเข้าไปในพระราชอุทยาน ถึงจะพบว่าอะไรเรียกว่าคลังสมบัติที่แท้จริง”ขุนนางตำแหน่งใหญ่แต่งกายงามหรูผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉย เห็นได้ชัดว่าเข้าออกพระราชวังเป็นประจำ เข้าใจทุกอย่างในนั้นเป็นอย่างยิ่งขนาดหลินสวินเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ยังอดประหลาดใจไม่ได้ จากสายตาของเขาแล้ว อาณาเขตทุกกระเบียดของพระราชวังแห่งนี้ล้วนเรียกได้ว่างดงามศักดิ์สิทธิ์ ไม่เพียงมีสมบัติมหัศจรรย์และสัตว์วิญญาณต่างๆ ขนาดต้นไม้ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในแต่ละแห่ง ส่วนใหญ่ล้วนมีที่มาที่ไปทั้งนั้น“ทุกท่าน มองดูได้ แต่แตะต้องไม่ได้ ระวังจะนำภัยมาถึงตัว”มีคนเอ่ยเตือนทันใดนั้นผู้คนมากมายก็รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ ฟื้นคืนสติไม่น้อยคิดไปคิดมาก็จริง สมบัติล้ำค่าชั้นนั้นต่อให้พบอยู่ทุกหนแห่ง แต่ก็ถือเป็นสิ่งที่พระราชวงศ์ครอบครอง ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ผู้อื่นจะแตะต้องได้เมื่อเดินหน้าต่อไป ไม่นานนักหลินสวินกับไป๋หลิงซีก็มาถึงจัตุรัสมหึมาแห่งหนึ่ง เมื่อเดินไปอีกก็เป็นตำหนักกลางงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาครั้งนี้ก็ถูกจัดขึ้นในตำหนักกลางเพียงแต่ยังไม่ถึงเวลางานเลี้ยง แขกเหรื่อที่มาร่วมถวายพระพรทำได้เพียงหยุดรอที่จัตุรัสนี้ชั่วคราวรอบจัตุรัสมีตั่งโต๊ะและเบาะนั่งจัดเตรียมไว้ให้แขกเหรื่อพักผ่อนอยู่ก่อนแล้วเมื่อหลินสวินและไป๋หลิงซีมาถึง ที่นี่ก็หนาแน่นไปด้วยเงาร่างมากมาย มีขุนนางสำคัญของจักรวรรดิซึ่งดำรงตำแหน่งสูงมายาวนาน มีคนใหญ่คนโตสูงศักดิ์ที่อำนาจคับฟ้า และมีผู้ฝึกปราณที่มีชื่อเสียงลือลั่นไปทั่ว ภูมิหลังเข้มแข็ง…แน่นอนว่า ก็มีลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลมากมายที่ติดตามมากับผู้อาวุโสในตระกูลด้วย“ข้าไปหาเพื่อนหน่อยนะ”เมื่อมาถึงที่นี่ ไป๋หลิงซีก็แยกกับหลินสวิน นางเดินตรงไปยังที่ไกลออกไป ตรงนั้นมีเด็กหนุ่มสาวหลายคนกำลังโบกมือมาทางไป๋หลิงซีหลินสวินกลับเดินเยื้องย่างไปทั่วอยู่คนเดียว เขาไม่รู้จักคนส่วนใหญ่ที่นี่ แล้วก็คร้านจะเสวนาผูกมิตรด้วยบนจัตุรัสนั้นเต็มไปด้วยสะพานโค้ง ภาพสลักนูนต่ำและรูปปั้นหิน ล้วนงดงามหาใดเทียม ไม่นานนักก็ดึงดูดความสนใจของหลินสวินที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจเป็นพิเศษคือ ทิวทัศน์นี้ล้วนสลักไปด้วยรอยสลักวิญญาณหนาแน่น มีทั้งรูปชมนกชมไม้ ภาพปรากฏการณ์ในท้องฟ้า การบูชาบรรพชน และนักปราชญ์ร่ายตำรา สร้างบรรยากาศเก่าแก่โบราณให้เหมือนปรากฏขึ้นจริงตรงหน้าศึกษาอยู่ครู่ใหญ่ หลินสวินเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เขาดูออกแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นสะพานโค้ง ภาพสลักนูนต่ำ หรือรูปปั้นหิน แม้แต่ตึกรามอาคารที่อยู่บริเวณนั้น รอยสลักวิญญาณที่สลักอยู่ไม่ได้เป็นเอกเทศ แต่เกี่ยวข้องและสอดรับกันอย่างสมบูรณ์ถ้าเขาสันนิษฐานไม่ผิด จัตุรัสแห่งนี้ แม้กระทั่งตำหนักกลางที่อยู่ไกลออกไป แท้จริงแล้วล้วนถูกกระบวนรอยสลักวิญญาณเก่าแก่มหึมารอยหนึ่งปกคลุมอยู่!ฉับพลัน เสียงสนทนาระลอกหนึ่งดังขึ้น พาให้หลินสวินมุ่นคิ้ว“เฮอะ ๆ คราวนี้หลินสวินลำบากแล้ว มีเรื่องกับหลิงเทียนโหวคนโหดเหี้ยมผู้นี้ เขาต้องประสบเคราะห์แน่!”“เจ้าเด็กนี่ก็โอหังมาช่วงหนึ่งแล้ว ควรมีคนกำราบความจองหองของเขาได้แล้ว มิเช่นนั้นนครต้องห้ามในภายภาคหน้าคงต้องโอนอ่อนตามเขา”“รอหน่อยเถอะ คนที่เจ้าเด็กนี่ล่วงเกินมีมากมายนัก ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกกรรมตามสนองแน่”เมื่อได้ยินคำแช่งและคำโจมตีอย่างไม่เกรงใจเช่นนี้ พาให้หลินสวินประหลาดใจอยู่บ้าง เขาเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นว่าในจุดที่ไม่ไกลนักมีชายหญิงบางคนชี้ไม้ชี้มือมาทางตนในกลุ่มนั้นเห็นชัดเจนว่ามีสองพี่น้องฮวาอู๋โยวและฮวาอู๋เหินอยู่ด้วยครู่เดียวหลินสวินก็รู้แล้วว่า ที่แท้เขาก็บังเอิญเจอ ‘เพื่อน’ เก่าเขาเหยียดยิ้มแล้วย่างเท้าก้าวเดินไป พลางยิ้มพูดว่า “นี่ไม่ใช่คุณหนูฮวากับคุณชายฮวาหรอกหรือ ไม่ได้เจอเสียนาน พวกเจ้ากลับยังอยู่สบายใจดังเดิมนะ”สองพี่น้องตระกูลฮวาพลันสีหน้าอึมครึม หลายเดือนก่อนที่สังเวียนสวรรค์ยุทธ์ ฮวาอู๋โยวเกือบตายด้วยมือหลินสวิน เมื่อเห็นว่าหลินสวินจงใจเอ่ยถ้อยคำถากถาง ในใจพวกเขาจะไม่ขัดเคืองได้อย่างไร“เจ้าคิดจะทำอะไร”ฮวาอู๋โยวถามเสียงเยียบเย็นกลุ่มคนที่อยู่ข้างนางก็มีสีหน้าไม่พอใจ หลินสวินผู้นี้กล้าก้าวมาเยาะเย้ยคนอื่นซึ่งหน้า จะจองหองเกินไปแล้ว“ข้าจะทำอะไรหรือ”หลินสวินพูดพลางหัวเราะว่า “ข้าเพียงต้องการถามเสียหน่อยว่า เมื่อไรพวกเราจะได้ประลองชี้เป็นชี้ตายอีกสักตั้ง”“บังอาจ กล้าดีนี่!”ฮวาอู๋เหินบันดาลโทสะ เห็นได้ชัดว่านี่คือการยั่วยุ“หลิงเทียนโหวเพิ่งบอกว่าข้าใจไม่กล้าพอ เจ้ากลับบอกว่าข้าใจกล้าดี เช่นนั้นเจ้าก็มาลองดูหน่อยไหมว่าข้าใจกล้าหรือขี้ขลาดกันแน่”หลินสวินชำเลืองมองฮวาอู๋เหิน“ไปเถอะ”ฮวาอู๋โยวคว้าฮวาอู๋เหินไว้แล้วหันหน้าจากไป นางกลัวจะควบคุมความรู้สึกไม่อยู่ สู้กับหลินสวินที่นี่ ผลกระทบเลวร้ายเกินไปคนอื่นก็พากันจ้องหลินสวินอย่างโกรธเคือง แล้วหันกายจากไป“ทำไมใจเจ้าพวกนี้ถึงฝ่อไปเสียแล้วล่ะ”หลินสวินยืนอยู่ที่เดิม เหมือนผิดหวังอยู่บ้างแท้จริงแล้วเขาผิดหวังอยู่มาก ก่อนหน้านี้ก็ถูกหลิงเทียนโหวยั่วยุ ตอนนี้ยังถูกพวกฮวาอู๋โยวถากถางสาปแช่ง จะไม่ให้หลินสวินเกิดไฟโทสะในใจได้อย่างไรกันฉับพลันเขาชำเลืองมองอีกด้านหนึ่ง มีผู้คนไม่น้อยกำลังยิ้มมองมาทางตนราวยินดีกับเคราะห์ของผู้อื่น ในนั้นที่แท้ก็เป็นคนคุ้นหน้าสองคน คือซ่งชงเฮ่อและซ่งเจ๋อแห่งตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงตระกูลซ่งบังเอิญไปไหมก็ไม่ถือว่าบังเอิญ อย่างไรเสียไม่ว่าจะเป็นพวกฮวาอู๋โยวหรือพวกซ่งชงเฮ่อ ก็ล้วนเป็นลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง ครั้งนี้คงถูกผู้อาวุโสในตระกูลพามาเปิดหูเปิดตา“พี่ชาย ยังจำเรื่องที่สืออวี่เคยเตือนเจ้าที่หอสรวลทรัพย์ครั้งก่อนได้หรือไม่ คู่หมั้นเจ้าถูกเจ้าหมอนี่ลิ้มลองอย่างลับๆ เจ้ายังอยู่กับเขาได้ หมวกเขียว[1]ใบนี้เจ้าสวมได้อย่างใจกว้างยิ่งสินะ”หลินสวินก้าวเท้ามาข้างหน้า ยิ้มบางๆ พลางพูดกับซ่งเจ๋อเมื่อพูดประโยคนี้ออกมาก็เหมือนตบหน้าเข้าอย่างจัง ซ้ำแผลเดิมต่อหน้า ไม่เพียงซ่งเจ๋อที่หน้าเสียถึงที่สุด ขนาดซ่งชงเฮ่อยังโกรธจนหน้าเขียว“เจ้า…อย่าล้ำเส้นเกินไปนะ!”ซ่งเจ๋อกัดฟันกรอด“ข้าเตือนเจ้าด้วยเจตนาดี เจ้ากลับไม่รับน้ำใจ เฮ้อ เป็นชายที่น่าสงสารนัก ภรรยาถูกคนอื่นฉกไปแล้วยังไม่รู้ตัว ไม่เช่นนั้นภายหน้าเจ้าชื่อคุณชายหมวกเขียวเสียเลยไหมเล่า”หลินสวินยิ้มสดใส แต่วาจากลับร้ายกาจโหดเหี้ยมเมื่อเห็นว่ายั่วจนซ่งเจ๋อกับซ่งชงเฮ่อเกือบจะโกรธจนตะบึงออกไป เขาถึงหันกายจากมาอย่างลำพองด้วยการระบายออกเช่นนี้ ไฟโทสะที่สุมในใจหลินสวินอยู่เดิมในที่สุดก็มอดลงไม่น้อย กระนั้นเขาก็ยังมีความรู้สึกคั่งค้าง จึงกวาดสายตาประเมินไปทั่วทิศ ลองดูว่าจะบังเอิญพบเข้ากับ ‘คนคุ้นหน้า’ เก่าๆ หรือไม่การเคลื่อนไหวเช่นนี้ของเขา เห็นได้ชัดว่าดูจองหอง เหมือนกับหาเรื่องเคืองแค้นไปทั่วนี่เป็นเขตหวงห้ามในพระราชวัง เคร่งครัดเข้มงวด ขนาดคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่เหล่านั้นยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามที่นี่ นี่เป็นเหตุผลที่พวกฮวาอู๋โยวรวมถึงพวกซ่งเจ๋อกล้าโกรธแต่ไม่กล้าลงมือแต่กระนั้นหลินสวินกลับไม่ยำเกรง นี่ทำให้พวกเขาลำบากใจหาใดเปรียบ อยากฉีกหลินสวินทั้งเป็น คิดแค้นยิ่งนักที่จริงแล้วหลินสวินใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ แต่เขาเชื่อมั่นว่า เดิมทีตนไม่เคยยั่วยุใคร แต่กลับมีคนไม่น้อยมายั่วยุตน หากเขายังทนอยู่อีก เช่นนั้นก็ยิ่งทำให้ตัวเองไม่สบายใจเกินไปแล้วนอกจากนี้ กระบี่เบิกฟ้าในพระหัตถ์ของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันก็เป็นเขาที่ซ่อมแซม หลินสวินเชื่อว่าถ้าจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันซาบซึ้งในน้ำใจ ย่อมไม่มีทางลงอาญาด้วยเรื่องนี้แน่แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญสิ่งที่สำคัญก็คือ เมื่อหลินสวินมาถึงที่นี่ เห็นตำหนักกลางที่อยู่ไกลออกไป เขาพลันรู้สึกได้ถึงปัญหาข้อหนึ่ง คนใหญ่คนโตที่ให้ตนก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดินในนครต้องห้ามนี้ได้อย่างเต็มที่ผู้นั้น วันนี้จะปรากฏตัวที่นี่หรือไม่หลินสวินจำได้อย่างแจ่มชัดว่า คราวก่อนที่สังเวียนสวรรค์ยุทธ์ บุคคลท่านนั้นแม้ไม่ปรากฏตัว แต่กลับใช้ ‘กระบี่เหมยพร่างพร้อย’ หยุดยั้งการประจันหน้าระหว่าจูเหล่าซานกับฮวาชิงหลินและกระบี่เหมยพร่างพร้อยก็เป็นอาวุธสำคัญที่มีภูมิหลังใหญ่ยิ่งชิ้นหนึ่งของราชวงศ์ ราชนิกุลทั่วไปย่อมไม่สามารถนำมาใช้ได้จากการพิจารณาเช่นนี้ หลินสวินคิดอยากก่อเรื่องที่นี่เสียจริง ลองดูว่าจะ ‘บีบ’ ให้คนใหญ่คนโตท่านนี้ออกมาได้หรือไม่!ประเมินโดยรอบเช่นนี้แล้ว ในที่สุดหลินสวินก็เห็นคนคุ้นเคยผู้หนึ่งเพียงแต่เมื่อคนคุ้นเคยผู้นี้ปรากฏตัว กลับทำให้หลินสวินประหลาดใจอยู่บ้าง ทำไมนางก็มาล่ะเห็นว่าในที่ไกลออกไปสุดตานั้น มีเงาร่างมากมายห้อมล้อมเงาร่างอ้อนแอ้นอรชรเงาหนึ่งราวดาวล้อมเดือน เดินเชื่องช้ามาทางจัตุรัส——[1] สวมหมวกเขียว มีที่มาจาก ในสมัยโบราณชายคนหนึ่งต้องเดินทางไปทำการค้าต่างเมืองอยู่เสมอ ภรรยาอยู่บ้านแอบคบชู้และได้นัดแนะกับชายชู้ว่า หากเห็นสามีของนางสวมหมวกเขียวขี่ม้าออกจากบ้าน ให้ชายชู้มาหาตนที่บ้านได้ ตรงกับสำนวนไทยว่าสวมเขา
คอมเม้นต์