Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 397 ก้าวย่างชือน้ำแข็ง
สามวันต่อมา ณ ภูเขาชำระจิตหลินสวินพลันตื่นขึ้นจากการนั่งฌาน ดวงตาฉายแววตระหนกก่อนหน้านี้เขาราวกับฝันสวยงามเหนือจินตนา ในฝันเขาเห็นอสูรยักษ์ที่มีอยู่ในตำนานบรรพกาลตนแล้วตนเล่าบ้างร่างปกคลุมด้วยเกล็ดมังกร ทั้งตัวโปร่งแสงราวน้ำแข็ง เคลื่อนอยู่บนเก้าชั้นฟ้า กลืนเมฆคายหมอก ท่องไปอย่างโอหังทั่วแปดทิศ!บ้างแบกศิลาโบราณไว้บนหลัง นั่งรักษาการณ์พื้นพสุธา ชำเลืองไปสุดสี่ทิศ!บ้างนั่งยองทับภูผานที คำรามครั้งเดียวก็สลายดวงดารา!บ้างแปลงตัวเป็นสัญลักษณ์ลับ ปล่อยไอพลังยิ่งใหญ่มิอาจประมาณได้ องอาจดังพุ่งทะลุเมฆา!……อสูรยักษ์เหล่านั้นบ้างมีหัวมังกร บ้างมีกายมังกร บ้างมีเกล็ดมังกรปกคลุม บ้างก็มีหนวดมังกร กรงเล็บมังกร แปลกประหลาดเหลือล้น ไม่มีตนใดที่ไม่น่ากลัวเลยสักตน!หลินสวินไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าเหตุใดตนถึงได้ฝันประหลาดเช่นนี้ทำให้แม้ตอนนี้เขาตื่นขึ้นมาแล้วก็ยังคงเหม่อลอยตื่นตระหนกอยู่บ้าง‘นั่นดูเหมือนกับ…ชือน้ำแข็ง ป้าเซี่ย เฉาเฟิง ปี้อั้น… [1]อสูรเทพที่มีตัวตนอยู่เพียงในยุคบรรพกาล…’หลังจากพอจะสงบจิตใจได้แล้ว หลินสวินไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้วลอบพิจารณาที่มาที่ไปของอสูรยักษ์ที่อยู่ในฝันนี่ทำให้เขาอดตกใจระคนสงสัยอีกรอบไม่ได้ ทันใดนั้นก็พลันคิดอะไรออก เริ่มตระหนักรู้ถึงห้วงนิมิตแห่งความหยั่งรู้ในห้วงนิมิตแห่งความหยั่งรู้ นอกจากประตูมรรคาสวรรค์ มุกนักบุญอมตะแล้ว ในตอนนี้ยังมีอักษร ‘เคราะห์’ อันโบราณลึกลับปรากฏออกมาอย่างสุกสกาวดุจโครงร่างฐานทองนี่คือสัญลักษณ์อักษรที่ก่อตัวขึ้นหลังผสานกระบวนรอยสลักวิญญาณทั้งเก้าที่แฝงอยู่ในเก้าศิลาประตูมังกร ภายในเก็บกักสิ่งตกทอดมหัศจรรย์สิ่งหนึ่งไว้ นั่นคือ ‘มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร’!ยามหลินสวินระลึกหยั่งรู้ถึงอดีตกาล ทันใดนั้นราวกับย้อนเวลากลับไปยุคบรรพกาลอีกครั้ง ตรงหน้าเห็นอสูรใหญ่ยักษ์ตนแล้วตนเล่า บ้างท่องไปในนภาอย่างโอหัง บ้างนั่งรักษาการณ์บนพื้นพสุธา…ในโสตประสาทราวเกิดเสียงคำรามไม่ชัดเจนเสียงแล้วเสียงเล่าสะท้านจิตวิญญาณ‘ที่แท้ก็เกี่ยวกับสิ่งนี้!’หลินสวินเห็นเช่นนี้กลับสงบจิตใจลงไม่น้อย สามารถแน่ใจได้แล้วว่าฝันงดงามมหัศจรรย์นั้นได้รับอิทธิพลจากอักษร ‘เคราะห์’‘ก็ไม่รู้ว่าสิ่งตกทอดนี้ตกลงคืออะไรแน่ เหตุใดถึงซ่อนไว้ภายในเก้าศิลาประตูมังกร ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยถูกพบเข้า’หลินสวินสงสัย จิตใจจดจ่อเพื่อรับรู้ในชั่วพริบตาเท่านั้น เงาร่างชือน้ำแข็งตนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสมอง มันเคลื่อนตัวอย่างงดงามทั่วเก้าชั้นฟ้า ท่องไปอย่างโอหังบุ่มบ่าม พุ่งทะลุชั้นเมฆผลุบๆ โผล่ๆ ช่างเป็นภาพที่แท้จริงของของ ‘มังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นตัว’ เสียจริงในเวลาเดียวกันนี้เอง บทความปริศนาตกทอดคลุมเครือท่อนหนึ่งท่วมท้นขึ้นในจิตใจของหลินสวินราวกระแสน้ำ‘ก้าวย่างชือน้ำแข็ง มังกรเคราะห์ร่างแรก ใหญ่ได้เล็กได้ โผล่ได้ซ่อนได้ เมื่อใหญ่พลังจิตแก่กล้าดั่งทะลุเมฆหมอก เมื่อเล็กจะซ่อนรูปเร้นลักษณ์ เมื่อโผล่จะท่องไปอย่างโอหังกลางท้องฟ้าสุดหล้า เมื่อซ่อนจะเก็บงำภายในละอองเล็กในเขาพระสุเมรุ การเปลี่ยนร่างนี้คือเคล็ดลับแห่งการเคลื่อนกาย..’หนึ่งถ้วยชาให้หลังดวงตาหลินสวินฉายวาบขึ้น สีหน้าตกตะลึงก้าวย่างชือน้ำแข็ง!สิ่งตกทอดของมังกรเคราะห์ร่างแรก นี่ก็คือวิธีก้าวเท้าโบราณที่คลุมเครือซับซ้อนที่สุดท่าหนึ่ง ย่างขึ้นไปสามารถท่องไปในนภา ก้าวลงมาสามารถบทจรไปในสมุทรนที เมื่อใหญ่จะคายเมฆกลืนหมอก เมื่อเล็กจะสามารถซ่อนเร้นในเขาพระสุเมรุ!เมื่อฝึกถึงขั้นสูงสุด เหยียบย่างไปก้าวเดียวก็เสมือนชือน้ำแข็งทะยานฟ้า ถึงขั้นที่สามารถใช้โจมตีพิฆาตศัตรู!หลินสวินไม่เคยฝึกวิชาการเคลื่อนกายโดยสมบูรณ์มาก่อน แต่เขามีประสบการณ์ต่อสู้มากล้น จะดูความแข็งแกร่งของก้าวย่างชือน้ำแข็งนี้ไม่ออกได้อย่างไรย่อมขนานนามได้ว่าเป็นเคล็ดลับสุดยอดแห่งโลกา!เมื่อหลินสวินยังต้องการหยั่งรู้ ‘มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร’ นั้นอีก กลับค้นพบอย่างน่าตกใจว่า อักษร ‘เคราะห์’ นั้นราวกับถูกบดบังด้วยกำแพงไร้รูป ทำให้เขาหยั่งรู้ต่อได้ยาก“หรือว่าต้องสำเร็จย่างก้าวชือน้ำแข็งโดยสมบูรณ์เท่านั้น ถึงจะเรียนรู้สิ่งตกทอดถัดไปจากร่างแรกได้”หลินสวินพึมพำ ไม่นานนักก็ส่ายหัว ไม่คิดมากไปกว่านี้อีกผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกร ทั้งยังได้รับวิชาลับตกทอดโบราณอย่าง ‘มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร’ โดยเหนือความคาดหมายก็ทำให้หลินสวินพอใจแล้ววิธีการต่อสู้ที่เขาเชี่ยวชาญตอนนี้ขาดเพียงวิธีเคลื่อนตัวที่เหมาะสม พูดได้ว่า หลังจากมีก้าวย่างแห่งชือน้ำแข็งแล้ว ก็จะทำให้ฝีมือการต่อสู้ของเขาสมบูรณ์ขึ้นไปอีกขั้น……“นายน้อย ในที่สุดท่านก็ออกมาแล้ว”เมื่อหลินสวินเดินออกมาจากห้องฝึกปราณลับก็เห็นว่าหลินจงยืนรอตรงนั้นอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่สีหน้าของเขาเจือแววเป็นทุกข์ พาให้หลินสวินอดอึ้งไปไม่ได้“ลุงจง หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น”หลินสวินเอ่ยถาม“นายน้อย ตั้งแต่ท่านเริ่มปิดด่านเก็บตัว ตลอดสามวันมานี้ไม่รู้ว่ามีขุมอำนาจมากน้อยเท่าไรส่งคนมาเยี่ยมเยือน จนถึงตอนนี้แค่เทียบเข้าเยี่ยมก็ได้รับมากองโตแล้ว และด้วยขุมอำนาจเบื้องหลังเทียบเหล่านี้ล้วนไม่อาจดูเบาได้ จึงต้องให้ท่านตัดสินใจด้วยตนเองขอรับ”หลินจงพูดพลางนำหลินสวินเข้าไปในตำหนักชำระจิต นำเทียบเข้าเยี่ยมกองโตที่จัดระเบียบไว้ก่อนแล้วออกมา มันกองสูงเท่าครึ่งคน อย่างน้อยก็มีไม่ต่ำกว่าร้อยเทียบหลินสวินประหลาดใจ “เยอะขนาดนี้เชียวหรือ”เขาลองพลิกดู ก็เห็นว่ามีทั้งที่มาจากผู้มีอำนาจมากมายในนครต้องห้าม ทั้งจากขุนนางใหญ่ชายแดน หลากหลายที่มานักอีกทั้งนี่ยังเป็นส่วนที่ผ่านการคัดแล้วคัดอีกจากหลินจง ถ้าเอามาทั้งหมดจะต้องมีมากกว่านี้แน่!“นายน้อย ท่านคงไม่รู้ว่าตอนนี้ชื่อเสียงของท่านในนครต้องห้ามบรรยายได้ด้วยคำว่าดุจตะวันยามเที่ยงเท่านั้น! ผู้คนบนโลกใครเลยจะไม่รู้ว่า เจ้านายแห่งภูเขาชำระจิตของพวกเราเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณอายุน้อยที่ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า”ยามหลินจงเอ่ยปากมีความภูมิใจแฝงอยู่ในน้ำเสียง ทว่าจากนั้นเขาก็ทำหน้าลำบากใจ “แต่ก็เพราะเช่นนี้ แขกที่มาเยือนภูเขาชำระจิตของพวกเราในช่วงสองสามวันนี้จึงมีมากเสียเหลือเกิน บางคนไล่กลับไปยากนัก ถ้าท่านยังไม่ออกมาอีกล่ะก็ บ่าวคงกังวลใจจนกินไม่ลงแล้วขอรับ”หลินสวินชะงักไปเล็กน้อยค่อยโยนเทียบเข้าเยี่ยมทิ้ง กล่าวว่า “ข้าไม่ได้บอกไปแล้วหรือ ไม่ว่าใครก็จะไม่พบทั้งนั้น ต่อไปท่านอย่าได้สนใจของพวกนี้เลย”“เอ่อ นายน้อย เช่นนี้ดูไม่เหมาะกระมังขอรับ”หลินจงพูดขึ้นอย่างลังเล“ยามมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจไม่เห็นแม้เงาพวกเขา พอวันนี้มีเรื่องงดงามน่ายินดีกลับแย่งกันกระตือรือร้น เทียบเข้าเยี่ยมพวกนี้ไม่สนใจก็ไม่เห็นเป็นไร”หลินสวินกล่าวต่อ “แล้วอีกอย่าง ตอนนี้พวกเขามาเยี่ยมข้า ไม่ใช่ข้าขอร้องพวกเขาเสียหน่อย สิทธิ์ในการตัดสินใจอยู่ในมือข้า ข้าไม่สนใจพวกเขาแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า”“แต่…เช่นนี้จะถูกผู้อื่นตำหนิตระกูลหลินของพวกเราหรือไม่ขอรับ”หลินจงเอ่ย“ก็ปล่อยพวกเขาพูดไปสิ ลุงจง ข้าได้ตัดสินใจแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว”พูดถึงตรงนี้หลินสวินพลันนึกอะไรได้แล้วเอ่ยว่า “จริงสิ มีเรื่องหนึ่งที่ยังต้องขอแรงท่านเป็นธุระให้หน่อย”“เชิญนายน้อยพูดขอรับ”หลินจงรีบกล่าว“หลังจากนี้สามวัน เชิญปรมาจารย์อวี๋เป่ยโต้วแห่งภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ ปรมาจารย์เฉิงจิ่งแห่งสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ กับปรมาจารย์เสิ่นทั่วแห่งสำนักศึกษามฤคมรกตให้มาพร้อมกัน”หลินสวินกล่าวเสียงขรึม“เช่นนี้ดียิ่งนักขอรับ หลายวันนี้พวกเขาส่งคนมาเยี่ยมเยียนไม่ขาด ตั้งหน้าตั้งตาอยากจะพบท่านเร็วหน่อย”หลินจงพูดอย่างยินดีหลินสวินใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วถามขึ้นว่า “ลุงจง ท่านเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหลายวันมานี้ให้ข้าฟังที”หลินจงไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนเล่าสิ่งที่ได้พบเห็นในหลายวันนี้ออกมาโดยละเอียดได้รู้ว่าชื่อเสียงของตนในตอนนี้เลื่องลือไปทั่วทั้งนครต้องห้ามแล้ว ก่อให้เกิดความอึกทึกคึกโครมครั้งใหญ่ หลินสวินก็พลันหัวเราะ ไม่ใช่เพราะภูมิใจในตัวเอง แต่เพราะรู้สึกราวได้ยกภูเขาออกจากอกตั้งแต่วันนั้นที่เขาเข้ามาในนครต้องห้าม ในสถานการณ์ที่มีทั้งศึกในศึกนอก เขาก็ง่วนอยู่กับการเอาชีวิตรอดโดยตลอด วิ่งวุ่นไปทั่วทุกแห่ง ใช้สิ้นแรงกายแรงใจ ไม่เคยได้หยุดพักเลยแม้ขณะเดียวแต่ตอนนี้ ด้วยฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณ ในที่สุดก็หยัดยืนอย่างมั่นคงในนครต้องห้ามได้โดยสมบูรณ์ ทำให้สถานการณ์ของภูเขาชำระจิตดีขึ้นอย่างใหญ่หลวง หลินสวินจะไม่พึงพอใจได้อย่างไรที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ด้วยเรื่องนี้ทำให้หลินสวินมีอำนาจในการพูดมากขึ้น ล้วนเป็นผลดีที่ไม่อาจประเมินค่าได้ต่อการแก้ปัญหาเรื่องบรรลุขั้นของจูเหล่าซาน แก้มารพบเคราะห์ที่อยู่ในกายพญาแร้ง รวมทั้งการสร้างความมั่นคงและแผ่ขยายอำนาจของภูเขาชำระจิตในภายหลังนี่ ก็คือการยิงธนูนัดเดียวได้นกหลายตัวที่เขาเคยพูดกับพญาแร้ง!“นายน้อย บ่าวยังมีเรื่องจะแจ้งอีกเรื่องหนึ่งขอรับ”หลินจงพลันเอ่ยปาก “เมื่อวานนี้สายตระกูลรองธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุส่งคนมา บอกว่าหากให้พวกเขาได้กลับมายังภูเขาชำระจิต มีสิทธิ์ครอบครองอำนาจในตระกูลส่วนหนึ่งอีกครั้ง พวกเขาจะนำคนในตระกูลกลับมาโดยทันทีขอรับ”หลินสวินหรี่ตาลงอย่างประหลาดใจเล็กน้อย นิ่งไปครู่หนึ่งค่อยยิ้มหยันเอ่ยว่า “ดูท่าพวกเขาคงใกล้จะยืนหยัดต่อไปไม่อยู่แล้วล่ะสิ”หลินจงพูดพลางหัวเราะ “แน่นอนขอรับ ได้ยินว่ากิจการที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาสามตระกูล ทุกเดือนล้วนเสียหายไปหลายล้านเหรียญทอง โกลาหลไปทั้งสามตระกูล เสียงร้องด้วยความเคียดแค้นดังไปทั่วถนน เกิดเป็นสถานการณ์วุ่นวาย แต่ตอนนี้นายน้อยได้เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณโดยราบรื่น ชื่อเสียงสะเทือนนครต้องห้าม ยังผลให้ชื่อเสียงของภูเขาชำระจิตของพวกเราพลอยดีขึ้นตามไปด้วย ในสถานการณ์ที่ตนตกต่ำอีกฝ่ายกลับรุ่งเรืองเช่นนี้ พวกเขาจะนั่งติดที่อยู่ได้อย่างไรขอรับ”หลินสวินถามออกไปคล้ายขบคิด “ลุงจง ท่านคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้”หลินจงกุมมือ “ล้วนให้นายน้อยเป็นผู้ตัดสินใจขอรับ”หลินสวินชะงักเล็กน้อย พูดขึ้นอย่างเย้ยหยันว่า “ลุงจง เช่นนั้นท่านก็ไปบอกพวกเขาว่า คิดจะกลับภูเขาชำระจิตงั้นหรือ ง่ายมาก รับปากข้ามาสองข้อก็ได้แล้ว”หลินจงพูด “เงื่อนไขสองข้อไหนขอรับ”“ข้อแรก ให้พวกเขานำสมบัติที่ชิงไปจากภูเขาชำระจิตในตอนนั้น คืนมาให้หมด! ห้ามขาดแม้แต่ชิ้นเดียว!”น้ำเสียงหลินสวินพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา ดวงตาสีดำมีแต่แววเยียบเย็น “สอง ส่งตัวโจรที่ร่วมมือกับศัตรูภายนอก เข้ามาแบ่งฮุบสมบัติของตระกูลหลิน ไม่ว่าใคร ไม่ว่ามีฐานะใด ให้ฆ่าเสียให้เหี้ยน!”หลินจงใจกระตุกวูบ สีหน้ากลับตื่นเต้นหาใดเปรียบ พยักหน้าแล้วพูดว่า “ควรทำเช่นนี้ยิ่งขอรับ!”“ถ้าพวกเขารับปาก ข้ายินดีต้อนรับพวกเขากลับสู่ภูเขาชำระจิตทุกเมื่อ”หลินสวินสูดหายใจลึกแล้วพูดช้า ๆ ว่า “ถ้าไม่รับปาก ก็รอข้าไปเยือนถึงที่และสะสางเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเองทีหลัง!”“ขอรับ”หลินจงรับคำสั่งแล้วจากไปส่วนหลินสวินนั่งอยู่ในโถงใหญ่เพียงคนเดียว ครุ่นคิดครูหนึ่งแล้วเอ่ยเบาๆ “คิดจะให้ข้าอภัยให้พวกเจ้าง่ายๆ หรือ เสียสติเพ้อเจ้อ!”เขาเกลียดคนในตระกูลที่ทรยศในตอนนั้นมากจริงๆ ไม่รู้จักแก้แค้นให้คนในตระกูลที่สิ้นไป กลับสมคบกับคนนอกมาแบ่งสมบัติของตระกูลตน นี่มันควรได้รับพันดาบหมื่นเคราะห์!ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องพวกนี้ก็ทำให้จิตใจหลินสวินต้องกล้ำกลืนความแค้นที่ไม่อาจปิดบังได้ไว้ ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจะไว้ชีวิตอีกฝ่ายอย่างง่ายดายได้อย่างไรไม่นานนักหลินสวินก็ออกจากตำหนักชำระจิต เดินอ้อยอิ่งทั่วภูเขาเสียรอบหนึ่งทุกที่ที่เขาเดินผ่าน ไม่ว่าจะเป็นข้ารับใช้ชายหญิงหรือว่าคนจากสายแสงอุดรเหล่านั้น ล้วนโค้งคำนับให้ ใบหน้าแต้มไปด้วยความเคารพยำเกรงและชื่นชมยกย่องนั่นคือความเคารพสยบยอมที่มาจากภายในจิตใจ เห็นชัดว่าหลายวันมานี้พวกเขาก็ได้ยินวีรกรรมที่หลินสวินก่อในนครต้องห้ามมาแล้ว ดังนั้นท่าทีที่มีต่อหลินสวินย่อมแปรเปลี่ยนไปและในเวลานี้เอง หลินสวินถึงได้รับรู้ถึงความรู้สึกของการเป็นเจ้าแห่งยอดเขาหนึ่งอย่างแท้จริงแน่นอนว่านี่ยังห่างไกลกับที่เขาคาดไว้มากนัก อย่างน้อยรอให้เขาสะสางศึกในศึกนอกของตระกูลหลินได้อย่างแท้จริง ตัวเขาในตอนนั้นจึงจะเป็นนายแห่งตระกูลหลินอย่างเต็มภาคภูมิ!——
[1] ชือ (ชือเหวิ่น) ป้าเซี่ย เฉาเฟิง และปี้อั้น คือสี่บุตรมังกรจากบุตรมังกรทั้งเก้าที่มีรูปลักษณ์และนิสัยแตกต่างกันไป ทั้งนี้ลำดับและรายนามของบุตรมังกรทั้งเก้าล้วนมีบันทึกแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับผู้บันทึกในแต่ละตำรา
[1] ชือ (ชือเหวิ่น) ป้าเซี่ย เฉาเฟิง และปี้อั้น คือสี่บุตรมังกรจากบุตรมังกรทั้งเก้าที่มีรูปลักษณ์และนิสัยแตกต่างกันไป ทั้งนี้ลำดับและรายนามของบุตรมังกรทั้งเก้าล้วนมีบันทึกแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับผู้บันทึกในแต่ละตำรา
[1] ชือ (ชือเหวิ่น) ป้าเซี่ย เฉาเฟิง และปี้อั้น คือสี่บุตรมังกรจากบุตรมังกรทั้งเก้าที่มีรูปลักษณ์และนิสัยแตกต่างกันไป ทั้งนี้ลำดับและรายนามของบุตรมังกรทั้งเก้าล้วนมีบันทึกแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับผู้บันทึกในแต่ละตำรา
คอมเม้นต์