Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 387 ความขยันสามารถชดเชยพรสวรรค์ได้
เก้าศิลาประตูมังกรมีที่มาอันลึกลับ เล่ากันว่ามีมาตั้งแต่โบราณจวบจนวันนี้ ไม่รู้เนิ่นนานเท่าไรเก้าศิลานี้ถูกมองว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณที่มีความลับซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง แสดงให้เห็นถึงลักษณ์ประหลาดอันลึกลับมากมายของรอยสลักวิญญาณที่วิเศษที่สุดคือ หากนักสลักวิญญาณสามารถผ่านการทดสอบของเก้าศิลาประตูมังกร ก็เท่ากับมีคุณสมบัติและฐานะเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณอย่างเต็มตัวในขณะนี้หูหลินชวนก็เข้ารับการทดสอบนี้!“คราวก่อนหูหลินชวนพลาดศิลาหลักที่หก ก็ไม่รู้ว่าคราวนี้เขาจะผ่านไปได้กี่หลัก”มีคนพูดขึ้นด้วยสุ้มเสียงแผ่วเบา“ไม่จำเป็นต้องเดาหรอก อย่างไรหูหลินชวนก็แก่แล้ว ความสามารถถูกงัดออกมาใช้จนหมดแล้ว ความหวังที่คราวนี้จะทำสำเร็จต่ำมาก”และมีบางคนที่มั่นใจมากเก้าศิลาประตูมังกร ในทุกหลักศิลาล้วนเป็นมิติลึกลับ และในทุกมิติลับก็ล้วนมีรอยสลักวิญญาณประหลาดแตกต่างกันออกไปถ้าอยากผ่านการทดสอบของแต่ละศิลา ภายในเวลาหนึ่งถ้วยชาจะต้องเข้าใจและยึดกุมแก่นของรอยสลักวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์แบบหนึ่งลาย จากในรอยสลักพิสดารนั้นจนกระทั่งสามารถผ่านการทดสอบทั้งเก้าศิลา จึงจะเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณอย่างแท้จริงแม้ดูเหมือนง่ายแต่ความจริงไม่ง่ายเลยสักนิด ตั้งแต่ศิลาหลักที่หนึ่ง รอยสลักวิญญาณพิสดารที่แฝงอยู่นั้นจะเปลี่ยนเป็นคลุมเครือขึ้น ยิ่งยากต่อการหยั่งถึงขึ้นเรื่อยๆอีกทั้งเวลาในการหยั่งถึงรอยสลักวิญญาณพิสดารในแต่ละหลักก็มีจำกัด เพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้นเท่านี้ก็พอจะรู้ว่า การจะผ่านการทดสอบทั้งเก้าศิลานั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นมากเพียงใดยิ่งศิลาหลักที่เก้าที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘ศิลาแห่งคูน้ำสวรรค์’ รอยสลักวิญญาณพิสดารที่ซ่อนอยู่เรียกได้ว่าวิปริต ราวกับคูน้ำสวรรค์ขนาดใหญ่ที่ยากจะข้ามผ่านมันไปได้!นักสลักวิญญาณที่เข้าร่วมการทดสอบที่ผ่านๆ มา มีมากมายที่เรียกได้ว่าเป็นบุคคลมากความสามารถ แต่เกือบทั้งหมดพ่ายแพ้ให้กับศิลาหลักที่เก้าสามารถพูดได้อย่างไม่เกินจริงว่า นักสลักวิญญาณที่ผ่านการทดสอบจนถึงศิลาหลักสุดท้ายนั้นน้อยยิ่งกว่าน้อย!และนี่ก็เป็นหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ในปัจจุบันมีปรมาจารย์สลักวิญญาณน้อยมากแม้หลินสวินจะเข้าใจทั้งหมดนี้ แต่ก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์อย่างแท้จริง ทำให้เขาในยามนี้เพ่งสมาธิไปที่เก้าศิลาประตูมังกรโดยไม่สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่นๆไม่ทันไรรุ้งวิเศษสีทองสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นบนศิลาหลักที่หนึ่งพร้อมเสียงอื้ออึงประหลาด เปล่งประกายแสบตาประหนึ่งสายฟ้าสีทองนี่หมายความว่าหูหลินชวนสามารถหยั่งถึงรอยสลักวิญญาณที่ซ่อนอยู่บนศิลาหลักที่หนึ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วหนึ่งลาย!ทุกคนต่างไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ เพราะแม้หูหลินชวนจะพ่ายแพ้กลับไปหลายครั้ง แต่ประสบการณ์นั้นมากมาย ถ้าแม้แต่ศิลาแรกยังไม่สามารถผ่านได้ต่างหากถึงจะเรียกว่าแปลกหนึ่งถ้วยชาผ่านไปสุดท้ายหูหลินชวนหยั่งถึงรอยสลักวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์แบบห้าลาย บนศิลาหลักแรกจึงปรากฏรุ้งสีทองต่อเนื่องกันห้าสาย ดูมหัศจรรย์เป็นอย่างมากเหล่านักสลักวิญญาณที่เฝ้าดูอยู่รอบๆ ต่างกำลังประเมินผลการทดสอบจากจำนวนรุ้งทองบนหลักศิลา“เท่าที่ข้ารู้มา สถิติสูงสุดของศิลาหลักแรกคือรุ้งทองเก้าเส้น หูหลินชวนทำได้ถึงห้าเส้นถือว่าไม่เลวเลย”มีคนพูดขึ้นแต่เสียงหนึ่งปฏิเสธขึ้นมาทันควัน “ตาเฒ่าคนนี้เข้าร่วมการทดสอบไปตั้งหลายครั้งแล้ว ถ้าแค่นี้ยังทำไม่ได้ต่างหากถึงจะเรียกว่าแปลก”คนมากมายต่างถากถางอย่างอดไม่อยู่มีเพียงหลินสวินที่สีหน้าเรียบเฉย ประสบการณ์มากมายก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของความสามารถเช่นกัน ดังคำที่ว่าความขยันสามารถชดเชยพรสวรรค์ได้ นี่ไม่ควรค่าให้เอามาล้อเลียนการทดสอบศิลาหลักที่สองได้เริ่มขึ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนคราวนี้ด้วยเวลาหนึ่งถ้วยชา เขาสามารถหยั่งถึงรอยสลักวิญญาณสมบูรณ์แบบสี่ลายจนผ่านการทดสอบครั้งนี้ไปได้จากนั้นหูหลินชวนก็ผ่านการทดสอบของศิลาหลักที่สาม สี่และห้าไปได้อย่างราบรื่น เพียงแต่รอยสลักวิญญาณที่หยั่งถึงอย่างสมบูรณ์แบบมีเพียงแค่ประมาณสองลายเท่านั้นตอนที่หูหลินชวนเริ่มทดสอบศิลาหลักที่หก ผู้คนต่างเงียบและเพ่งสมาธิไปที่แท่นประตูมังกรก่อนหน้านี้หลายครั้ง หูหลินชวนล้วนพ่ายแพ้ให้กับศิลาหลักที่หก ครั้งนี้…เขาจะผ่านการทดสอบไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่ยากมาก!คนส่วนใหญ่ต่างตระหนักได้ว่าสถานการณ์ของหูหลินชวนไม่ดีนัก ดังจะเห็นได้จากผลการทดสอบในห้าศิลาแรก ที่จำนวนรุ้งทองมีแนวโน้มว่าน้อยลงเรื่อยๆเวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ จนเกือบจะครบหนึ่งถ้วยชาแล้ว แต่บนศิลาที่หกยังคงไร้การเคลื่อนไหว ทำให้หลายคนต่างอดส่ายหน้าและถอนหายใจไม่ได้และก็มีคนที่เผยรอยยิ้มราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้แม้แต่หลินสวินยังขมวดคิ้วอย่างห้ามไม่อยู่ ในใจรู้สึกกังวลแทนหูหลินชวนวู้ม!และในตอนที่ใกล้ครบหนึ่งถ้วยชา บนศิลาหินหลักที่หกพลันเกิดเสียงอื้ออึง พร้อมกับรุ้งทองที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางสายตาประหลาดใจ ตื่นตะลึงและไม่อยากจะเชื่อของทุกคนถึงกับ… สำเร็จแล้ว!เสียงฮือฮาดังไปทั่วพวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นกับหูหลินชวนในวินาทีสุดท้าย!หลินสวินแอบโล่งอก แต่เขาไม่คิดว่าเป็นเพียงปาฏิหาริย์ เพราะถ้าไร้ซึ่งความพยายามและความทุ่มเทของหูหลินชวน ก็ไม่มีทางทำได้ถึงขั้นนี้ถ้าจะบอกว่าเป็นปาฏิหาริย์ ก็ควรเรียกว่าผลตอบแทนในความพยายามจากฟ้าดีกว่า!แต่ที่น่าเสียดายคือ สุดท้ายหูหลินชวนก็ยังล้มเหลวให้กับการทดสอบของศิลาหินหลักที่เจ็ดบนแท่นประตูมังกร แสงประกายเลือนหายไปกลับคืนสู่ความเงียบเชียบ เงาร่างของหูหลินชวนสะท้อนเด่นอยู่ในสายตาของทุกคนเขาลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นหลั่งท่วมตัว ผมยาวสีเทาตกลู่แนบอยู่บนใบหน้าอันผอมซูบ ดูสะบักสะบอมและอ่อนแรงแต่แววตาของเขากลับสว่างไสวอย่างถึงที่สุด ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ ราวกับไม่ได้เสียใจกับความล้มเหลวเลยสักนิดเพราะสำหรับเขาแล้ว สามารถผ่านการทดทดสอบศิลาหินหลักที่หกได้ ก็ถือเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งในชีวิตแล้ว!นักสลักวิญญาณจำนวนไม่น้อยเห็นท่าทางแบบนี้ของหูหลินชวนแล้วประทับใจเป็นอย่างมาก พลันอดปรบมือให้เขาไม่ได้ ความเพียรพยายาม ความมุ่งมั่น และความเด็ดเดี่ยวในการไล่ตามสิ่งที่ต้องการของหูหลินชวนถือว่าน่านับถือมาก!หลินสวินเองก็กลั้นยิ้มไม่อยู่ ความพากเพียรสามารถชดเชยพรสวรรค์ได้ ไม่ว่าพรสวรรค์จะน้อยเพียงใด พื้นฐานจะมีจำกัดอย่างไร ขอเพียงแค่ไม่ย่อท้อก็ย่อมสามารถก้าวหน้าได้เช่นกันแม้จะเป็นเพียงก้าวเล็กๆ แต่ก็ยังเป็นความก้าวหน้า ไม่ใช่นิ่งอยู่กับที่ ยิ่งไม่ใช่ถอยหลัง!ภายในเรือนใหญ่อีกหลังเห็นผลงานของหูหลินชวนแล้ว เสิ่นทั่วหัวหน้าอาจารย์เรือนสลักวิญญาณแห่งสำนักศึกษามฤคมรกตอดชื่นชมไม่ได้ “หูหลินชวนคนนี้…ก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง!”เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา ก็ทำให้คนไม่น้อยเห็นด้วยบนโลกนี้ผู้คนมากมายต่างให้ความสนใจกับพวกอัจฉริยะ อิจฉาพวกอัจฉริยะ เคารพนับถือพวกอัจฉริยะ แต่น้อยคนนักที่จะสังเกตว่า บนโลกนี้พวกอัจฉริยะนั้นมีเป็นส่วนน้อย แต่ผู้ฝึกปราณธรรมดาๆ อย่างหูหลินชวนต่างหากที่มีมากกว่าทว่าในจำนวนคนอันมากมายมหาศาลนั้น จะมีเสียกี่คนที่ต่อให้พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่เคยยอมแพ้เช่นหูหลินชวน“เสียดายที่วิถีปราณนั้นแสนจะรันทด ศาสตร์การสลักรอยสลักวิญญาณก็ยิ่งโหดร้ายยิ่งกว่า แม้หูหลินชวนคนนี้จะมีความพยายาม แต่ความสำเร็จในชีวิตนั้น เกรงว่าจะหยุดอยู่เพียงศิลาหลักที่หกของประตูมังกรแล้ว”คนใหญ่คนโตผู้หนึ่งทอดถอดใจนี่คือความจริง ทำให้คนอื่นๆ ไม่สามารถปฏิเสธได้……หูหลินชวนเดินลงจากแท่นท่ามกลางเสียงปรบมือของทุกคนแต่ในขณะนั้นเองกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “คนฉลาดย่อมรู้จักประมาณตน ไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องคำนึกถึงความสามารถ”คนพูดคือฉู่อวิ๋นคง เขายังคงพูดเสียงเรียบต่อ “สำหรับข้า การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการไม่รู้จักประมาณความสามารถของตัวเอง คำว่าไม่รู้จักตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาก็เป็นเช่นนี้แหละ”ทุกคนต่างอึ้งไปตามๆ กัน กว่าหูหลินชวนจะผ่านการทดสอบมาจนถึงศิลาหลักที่หกไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุใดต้องทำลายขวัญกำลังใจกันเช่นนี้?เห็นเพียงสีหน้าของหูหลินชวนเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังจากอึ้งงันไปครู่ก็ส่ายหน้าแล้วหมุนตัวจะเดินจากไป เขาถูกหัวเราะเยาะแบบนี้มานานปีจนชินไปนานแล้ว“หูหลินชวน แม้คำพูดข้าอาจจะรุนแรงไป แต่ที่พูดก็เพราะหวังดีกับเจ้า อยากให้เจ้าเลิกฝันลมๆ แล้งๆ อย่าได้ดันทุรังจนกลายเป็นการทำร้ายตัวเอง” ฉู่อวิ๋นคงพูดขึ้นอีกครั้งเห็นเช่นนี้ทุกคนต่างไม่พอใจอยู่บ้าง ฉู่อวิ๋นคงอายุปูนนี้แล้ว เหตุใดจึงยังพูดจาทิ่มแทงผู้อื่นเช่นนี้นี่ทำให้พวกเขานึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ที่ฉู่อวิ๋นคงพูดจาถากถางด่าว่าหลินสวินแบบนี้เช่นกันหูหลินชวนไม่ได้สนใจ ไม่นานก็หายไปจากโถง“เหอะๆ ตัวเองไม่มีความสามารถ ยังคิดจะดึงคนอื่นลงมาตกต่ำด้วย วันนี้ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ”จู่ๆ หลินสวินก็หัวเราะเสียงเย็นขึ้นมาเขารังเกียจฉู่อวิ๋นคงเข้าไส้แล้วจริงๆ ไม่พูดถึงเรื่องใช้ความอาวุโสข่มผู้อื่น ยังจงใจพูดจาทิ่มแทงคนอื่นอีก คนพรรค์นี้อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้โดยไม่ถูกฆ่าตาย ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งแล้ว“เจ้าเด็กบ้า เจ้าหมายถึงใคร!?”เมื่อเห็นว่าเป็นหลินสวินอีกแล้ว สีหน้าของฉู่อวิ๋นคงก็มืดทะมึนโดยพลัน หนี้ใหม่แค้นเก่าทะลักท่วมใจ ทำให้เขาชิงชังจนอยากตบหลินสวินให้ตายคามือไปเสียเลยทุกคนอดตะลึงไม่ได้ แอบคิดว่าหลินสวินช่างใจกล้าอย่างยิ่ง ท้าทายคนตระกูลฉู่ครั้งแล้วครั้งเล่า หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ใครเล่าจะกล้า?“ข้าว่าถ้าตาแก่ไม่ยอมตายอย่างเจ้ามีความสามารถจริง ก็ลองไปทดสอบบนแท่นประตูมังกรสักหน่อยเป็นไร แม้ผู้อาวุโสหูหลินชวนจะไม่ได้มีพรสวรรค์ แต่เขามีความพยายาม ทว่าตาแก่ไม่ยอมตายอย่างเจ้าอายุปูนนี้แล้ว ปรมาจารย์สลักวิญญาณหรือก็ไม่ใช่ มีคุณสมบัติอะไรไปว่าคนอื่น”หลินสวินพูดเสียงเย็นโดยไม่รักษาน้ำใจ “คนอย่างเจ้า หากไม่ใช่เพราะมีตระกูลฉู่คอยคุ้มกะลาหัว คงถูกฆ่าตายไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว!”“เจ้า!”ฉู่อวิ๋นคงโกรธจนตัวสั่น ใบหน้าเห่อแดงแทบจะกระอักเลือดคนอื่นๆ ต่างเผยสีหน้าแปลกประหลาด ทว่าเพราะเกรงอำนาจตระกูลฉู่จึงไม่กล้าส่งเสียงหัวเราะออกมา แต่ไม่ว่าอย่างไร คำพูดของหลินสวินก็ทำให้พวกเขารู้สึกสะใจมากในโถงใหญ่อีกห้อง แม้แต่เหล่าบุคคลชั้นแนวหน้าอย่างพวกอวี๋เป่ยโต้ว เฉิงจิ่ง เสิ่นทั่วต่างก็มีสีหน้าแปลกประหลาด หลินสวินคนนี้… ช่างกล้าพูดจริงๆ!ส่วนเฟิงชิงโยวนั้นหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่นานแล้ว รอยยิ้มราวกับบุปผาที่ผลิบานหลังฝนตก ในความบริสุทธิ์ใสแฝงความงดงามน่ารักนางพลันรู้สึกว่านิสัยไม่กลัวฟ้าดินของหลินสวินก็น่าสนใจดี“หลินสวิน เมื่อครู่เจ้าเอ่ยลบหลู่ข้า มาตอนนี้ยังพูดจาท้าทายผู้อาวุโสตระกูลฉู่ของข้า เจ้าคิดว่าตระกูลฉู่เราไม่กล้าทำอะไรเจ้าจริงๆ งั้นหรือ”ฉู่ไห่ตงพลันลุกขึ้นด้วยสีหน้าเย็นเยียบ สายตาคมปลาบราวกับใบมีดเขาจ้องหลินสวินก่อนจะพูดออกมาทีละคำ “อีกเดี๋ยวเรามาสู้กันในการทดสอบบนแท่นประตูมังกร! ความจริงจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าใครกันแน่ที่โง่เขลาไร้ยางอาย ใครกันแน่ที่เป็น…ไอ้โง่!”
คอมเม้นต์