Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 384 การทดสอบระดับปรมาจารย์
อัครการค้าสืออวี่นั่งไขว่ห้าง ขมวดคิ้วเล็กน้อยมองไปยังหลินเสวี่ยถิงที่อยู่ตรงหน้าหลินเสวี่นถิงยิ้มบางๆ สีหน้าแน่วนิ่งเขาเป็นญาติผู้น้องของหลินเสวี่ยเฟิง เป็นคนฉลาดเฉลียว ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเก่ง ครั้งนี้ถูกหลินจงมอบหมายให้มามอบของขวัญจากหลินสวินชิ้นหนึ่งให้สืออวี่ของขวัญนั้นผนึกอยู่ในกล่องหยกทรงสี่เหลี่ยมที่อยู่ในมือหลินเสวี่ยถิง“อย่าหาว่าข้าพูดอะไรไม่เกรงใจ เจ้าหลินสวินนี่ก็เห็นเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ เหตุใดถึงคิดส่งของขวัญให้ข้ากะทันหันเสียล่ะ”สืออวี่สงสัยเล็กน้อยหลินเสวี่ยถิงเอ่ยอย่างให้เกียรติ “ข้าน้อยเพียงเป็นธุระมาส่งให้ เรื่องอื่นไม่แน่ใจแล้ว คุณชายท่านเปิดกล่องหยกดูของขวัญที่อยู่ภายใน อาจพอดูอะไรออกนะขอรับ”สืออวี่พลันหัวเราะขึ้น สีหน้าแสดงความยโส “เจ้าคิดว่าอัครการค้าของข้ายังขาดสมบัติอะไรอีกหรือ เอาไปๆ กลับไปบอกหลินสวินว่าถ้าครั้งหน้ายังเห็นเป็นคนอื่นคนไกลเช่นนี้ ภายหลังก็ไม่ต้องมาพบข้าแล้ว”หลินเสวี่ยถิงกลับหัวเราะอย่างจนใจแล้วพูดว่า “ถ้าคุณชายไม่รับไว้ ข้าน้อยกลับไปคงรายงานภารกิจมิได้”สืออวี่ส่งเสียงหึหยัน “โอ้โห หลินสวินผู้นี้ตอนนี้มันขี้โมโหเสียจริงเชียว!”หลินเสวี่ยถิงรีบส่ายหัว “คุณชายเข้าใจผิดแล้ว น้องหลินสวินไม่ได้หมายความเช่นนั้น ถึงท่านจะไม่รับไป อย่างน้อยก็ขอให้ดูสักหน่อย ถ้าของขวัญภายในไม่สามารถทำให้ท่านพึงพอใจได้ เช่นนั้นข้านำกลับไปก็สามารถรายงานภารกิจได้แล้ว”สืออวี่พูดอย่างหมดความอดทน “ก็ได้ เจ้าเปิดสิ ข้าจะดูว่าเจ้าหลินสวินนี่มันจะเล่นลูกไม้อะไร”หลินเสวี่ยถิงเปิดกล่องหยกนั้นออกทันทีชั่วพริบตา แสงวิญญาณสีฟ้าเข้มเยียบเย็นพลันปรากฏขึ้น เต็มไปด้วยไอเย็นยะเยือกบาดกระดูก พาให้ห้วงอากาศจับตัวเป็นน้ำค้างแข็งขึ้นชั้นหนึ่งหืมในตอนแรกสืออวี่ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพียงคิดจะดูสักครั้งแล้วไล่หลินเสวี่ยถิงกลับไป ในใจยังรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำที่เห็นเป็นคนอื่นคนไกลของหลินสวินเล็กน้อยแต่เมื่อได้เห็น ตาเขาก็มองค้างอยู่เช่นนั้น จ้องตรงไปในกล่องหยก ไม่อาจเบนสายตาไปได้แม้แต่น้อยเห็นกระบองสำริดคู่หนึ่งวางนิ่งอยู่ในกล่องหยก กระบองสำริดยาวสองฉื่อสี่ชุ่น หนาเท่าลำเทียน ทั้งเล่มประทับไปด้วยลายสลักวิญญาณคลุมเครือซับซ้อน เต็มไปด้วยแสงวิญญาณสีฟ้าเข้มเยียบเย็นพาให้ใจคนหวาดหวั่นอาวุธที่สืออวี่ถนัดที่สุดก็คือกระบองสำริด ที่เขาใช้อยู่นั้นก็เป็นกระบองสำริดชั้นเลิศคู่หนึ่ง นามว่า ‘กระบองหยกผนึกมังกร’ ถูกหลอมขึ้นโดยปรมาจารย์สลักวิญญาณมีชื่อท่านหนึ่ง ล้ำค่าหาได้ยากแต่เมื่อเทียบกับกระบองสำริดคู่ที่อยู่ในกล่องหยกนั้น กลับพลันดูหมองกว่ามาก ถึงกับ…ไม่น่ามองเลยทีเดียว!สืออวี่ลุกขึ้นยืน นำกระบองสำริดคู่ที่อยู่ในกล่องหยกออกมาประเมินคร่าวๆ ดวงตาพลันฉายประกายวาบสมบัติวิญญาณ!สมบัติวิญญาณระดับปฐพีคู่หนึ่งนี่!ความตื่นเต้นที่ปกปิดได้ยากพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสืออวี่ ดวงตาเคลิบเคลิ้ม กระบองสำริดคู่นี้สมบูรณ์แบบไปแล้ว เพียงถืออยู่ในมือก็พาให้เกิดความรู้สึกใกล้ชิดผูกพันขึ้น“คุณชายพึงพอใจหรือไม่” หลินเสวี่ยถิงถามเสียงค่อย“พอใจ พอใจมากเลย ไอ้บ้าหลินสวินนี่สร้างความประหลาดใจพาให้ข้าคาดไม่ถึงเสียจริง!”สืออวี่หัวเราะเสียงดัง สีหน้าตื่นเต้นดีใจยิ่งสมบัติวิญญาณชั้นนี้พบเห็นได้น้อยนัก ไม่ใช่เพียงแค่ราคาสูง แต่ยังหาได้ยากยิ่ง สามารถพูดได้ว่าเป็นของที่ไม่อาจร้องขอได้!“สมบัตินี้มีนามว่าอะไร”“ยังไม่เคยตั้งชื่อขอรับ น้องหลินสวินบอกว่า ให้คุณชายตั้งชื่อเองถึงเหมาะสมที่สุด”“ฮ่าๆๆ เจ้าหลินสวินผู้นี้รู้ใจข้าดังคาด เช่นนั้นก็เรียกมันว่า ‘กระบองทรัพย์เมฆาคราม’ ก็แล้วกัน”“เยื้องย่างบนเมฆาคราม[1] ชื่อดียิ่ง!”หลินเสวี่ยถิงพูดไปยิ้มไปในใจเขาก็เกิดความภูมิใจที่ควบคุมไม่ได้ ราวกับได้รับเกียรติไปด้วยเรื่องทำนองเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับหนิงเหมิง กงหมิงและเย่เสี่ยวชี หลินสวินมอบ ‘ทวนเงินประสานเดือน’ หนึ่งเล่ม ‘พลองหินกล้า’ หนึ่งเล่ม รวมทั้ง ‘ดาบโค้งประดับวสันต์’ หนึ่งเล่มให้แต่ละคนล้วนเป็นสมบัติวิญญาณระดับปฐพีทั้งสิ้น!พาให้พวกหนิงเหมิงยินดีและประหลาดใจถึงที่สุด ชอบจนวางมือไม่ได้ ราวได้รับสมบัติล้ำค่าสูงสุดนี่ก็คือการตอบแทนจากหลินสวินด้วยช่วงนี้พวกสืออวี่ช่วยผสมโงอยู่ลับๆ พุ่งเป้ากดดันกิจการของสามตระกูลรองของตระกูลหลินอย่างธารประจิม คานเมฆา และยอดวายุครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ขุมอำนาจทั้งสามสายนี้ตกอยู่ในวังวนแห่งความยากลำบาก เกิดเรื่องยุ่งยากไม่ว่างเว้นมิตรภาพเช่นนี้มีหรือหลินสวินจะลืมได้ดังนั้นยามหลอมอาวุธวิญญาณ จึงตั้งใจหลอมอาวุธวิญญาณให้พวกเขาแต่ละคนโดยเฉพาะ ถือเป็นของขวัญจากใจของตนแน่นอนว่าหลินสวินก็หลอมดาบศึกใหม่ให้ตัวเองด้วย เป็นอาวุธระดับปฐพีนามว่า ‘วิญญาณม่วง’!ส่วน ‘ดาบเวทเรืองแสง’ แม้เป็นสมบัติวิญญาณแต่ก็เป็นเพียงสมบัติวิญญาณระดับมนุษย์ อานุภาพไม่อาจเติมเต็มหลินสวินที่มีปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลางได้…เกี้ยวสมบัติคันหนึ่งเคลื่อนออกจากภูเขาชำระจิต พาหลินสวินเดินทางไปยังภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณไม่นานเท่าใดนัก หัวหน้าตระกูลหลินแห่งธารประจิมหลินเทียนหลงก็ได้รับข่าวคราวนี้จิตใจเขาพลันสั่นรัว กัดฟันคำราม “ไอ้เด็กนี่มันโผล่หัวออกมาได้เสียที! ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป ให้ไปเชิญเจ้าบ้านสายคานเมฆาและยอดวายุมาโดยเร็ว มีเรื่องใหญ่ต้องหารือกัน!”ผ่านไปเพียงหนึ่งถ้วยชาหลินเนี่ยนซานและหลินผิงตู้ก็รีบร้อนมาถึง เมื่อรู้ว่าหลินสวินที่หดหัวอยู่ในภูเขาชำระจิตนับเดือนในที่สุดก็โผล่หัวออกมาแล้ว ทั้งสองก็ตื่นเต้นเช่นกันชีวิตของพวกเขาสามตระกูลทุกวันนี้น่าอนาถนัก กิจการที่อยู่ภายใต้การควบคุมก็ถูกขัดขวางอยู่บ่อยครั้ง ทุกเดือนเสียหายไปเกือบล้านเหรียญทอง ทำให้ในตระกูลของพวกเขาแต่ละสายมีเรื่องวุ่นวายไม่หยุดหย่อน เกิดเรื่องยุ่งยากไปทั่วทุกแห่ง ลำบากยากเข็ญไม่ได้กินไม่ได้นอนทั้งหมดนี้แม้เกิดจากกลุ่มอำนาจใหญ่อย่างพวกอัครการค้าร่วมกันลงมือ แต่ถ้าสืบสาวราวเรื่อง ก็ล้วนเป็นสิ่งที่หลินสวินมอบให้!ในสถานการณ์เช่นนี้พวกเขาจะไม่ชิงชังได้อย่างไรจนถึงตอนนี้ พวกเขาไม่หวังจะแย่งชิงภูเขาชำระจิตกลับมาอีกแล้ว คิดแต่ว่าจะฆ่าหลินสวินอย่างไรดี เพื่อคลี่คลายหายนะที่เกิดขึ้นตรงหน้าให้สิ้น!“ทุกท่าน ในที่สุดวันนี้เจ้าเด็กนี่ก็ออกจากภูเขาชำระจิต สำหรับพวกเราแล้วเป็นโอกาสดีที่สุดที่จะฆ่ามันอย่างไม่ต้องสงสัย”หลินเทียนหลงสีหน้าเย็นชาถมึงทึง จิตสังหารกระจายไปทั่ว “ทว่าข้างกายเขามีจูเหล่าซานกับหลินจงตามคุ้มครองตลอด ถ้าสู้โดยไม่คิดหน้าคิดหลังผลลัพธ์คงยากจะคาดเดา ไม่ทราบว่าทั้งสองมีแผนการรับมือหรือไม่”จูเหล่าซาน!เมื่อได้ยินชื่อนี้ ความฮึกเหิมของหลินเนี่ยนซานและหลินผิงตู้พลันลดลงไปกว่าครึ่ง เขาเป็นคนโหดเหี้ยมดุร้ายหาได้เปรียบผู้หนึ่ง สามารถกำราบฮวาเชียนเฉิงโดยง่าย กล้าต่อกรซึ่งหน้ากับฮวาชิงหลินหนึ่งในห้าพยัคฆ์ร้ายแห่งจักรวรรดิ ธรรมดาเสียที่ไหนส่วนหลินจง อย่าได้มองว่าเขาเป็นข้ารับใช้แก่ที่เฝ้าภูเขาชำระจิตผู้หนึ่ง ตัวเขานั้นก็เป็นผู้มีปราณระดับหยั่งสัจจะเช่นกัน!มีพวกเขาสองคนคอยคุ้มครอง แค่คิดก็รู้ว่าการฆ่าหลินสวินนั้นยากขนาดไหน“ถ้าสามารถเชิญผู้อาวุโสคนใดคนหนึ่งในสามสายตระกูลเราลงมือได้ ไม่แน่…ปัญหานี้อาจแก้ไขได้โดยง่าย”หลินเนี่ยนซานพูดขึ้นอย่างลังเล“ไม่ได้!”หลินเทียนหลงปฏิเสธโดยพลัน “พวกผู้อาวุโสต้องบัญชาการทั้งตระกูล หากลงมือไป แล้วในตระกูลเกิดเรื่องอะไรเข้า ผลลัพธ์นั้นยากคาดเดา แผนนี้เสี่ยงอันตรายเกินไป ทำเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด”“เช่นนั้น…เชิญพวกร้ายกาจระดับหยั่งสัจจะมาร่วมกันลงมือกับเราไหม” หลินผิงตู้เอ่ยขึ้นเสียงขรึม“ไม่ได้ ยังเสี่ยงไปอยู่ดี นี่ไม่ใช่เวลามาพังพินาศลงไปพร้อมกับหลินสวินเสียหน่อย” หลินเทียนหลงปฏิเสธอีกครั้งหลินเนี่ยนซานกับหลินผิงตู้ล้วนเงียบไป ในที่สุดโอกาสก็มาถึงแล้ว แต่กลับพบกับความท้าทายชิ้นใหญ่ยิ่ง นี่ทำให้พวกเขาไม่รู้จะทำเช่นใดดีเวลานี้เองข้ารับใช้คนหนึ่งก็มารายงานว่าหลินสวินไปยังภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณเมื่อได้ยินหลินเทียนหลงก็อึ้งไป “เจ้าเด็กนี่ไปทำอะไรที่นั่นกัน หรือว่าเขาคิดจะหานักสลักวิญญาณมารับใช้เขาอีก”ทว่าหลินเนี่ยนซานราวกับคิดอะไรออก หัวเราะเสียงดังแล้วเอ่ยปากออกมาว่า “ข้ามีวิธีแล้ว!”หลินเทียนหลงและหลินผิงตู้มองไปยังหลินเนี่ยนซานโดยพร้อมเพรียง “วิธีอะไร”“ข้ามีสหายคู่ใจอยู่คนหนึ่ง ตอนนี้ก็ดำรงตำแหน่งอยู่ในภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณนั่นล่ะ เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่แท้จริงผู้หนึ่งเลย ในมือมีอำนาจใหญ่โต ถ้าขอให้เขาช่วยลงมือ อาจถึงกับควบคุมหลินสวินนั่นได้อยู่หมัดโดยไม่เกิดรอยแผลเลยก็ได้นะ!”ดวงตาหลินเนี่ยนซานลุกโชน สีหน้าฮึกเหิม“คำพูดนี้เป็นจริงหรือ” หลินเทียนหลงเผยสีหน้ายินดีเช่นกัน“เฮอะๆ จุดนี้ข้ากล้ารับรองได้ เมื่อเข้าไปในภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ เจ้าจูเหล่าซานกับหลินจงก็ไม่มีทางคุ้มครองเจ้าเด็กนั่นได้แล้ว พวกเราเพียงส่งมารเฒ่าฉวี่ไปร่วมมือกับสหายรู้ใจผู้นั้นของข้า…”หลินเนี่ยนซานพูดถึงตรงนี้ ดวงตาก็ฉายแววเหี้ยมเกรียม “ถึงเวลานั้น หลินสวินต้องพบเจอเภทภัยยากหลบหนีแน่นอน!”“ไม่รู้ว่าสหายรู้ใจของเจ้าผู้นั้นคือ?” หลินผิงตู้อดถามไม่ได้“รอจัดการเรียบร้อยแล้ว พวกท่านสองก็รู้เอง”หลินเนี่ยนซานยิ้มบางๆ ปล่อยให้ทั้งสองสงสัยหลินเทียนหลงพลันตบโต๊ะ “เอาตามนี้ก็แล้วกัน ไม่มีเวลาให้เสียแล้ว ตอนนี้เริ่มลงมือกันเถอะ!”……ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ“พ่อหนุ่ม เจ้าก็มารับรองฐานะนักสลักวิญญาณหรือ” ชายชราคนหนึ่งมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างประหลาดใจ“ใช่”หลินสวินพยักหน้า“เหอะๆ เยี่ยมจริงๆ นักสลักวิญญาณฝึกหัดที่อ่อนวัยเช่นเจ้า ถ้าผ่านการรับรองก็จะได้เป็นนักสลักวิญญาณที่แท้จริง นั่นถือเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลเรื่องหนึ่ง”ชายชราพูดเจือรอยยิ้มว่า “มาเถอะๆ จ่ายค่าใช้จ่ายหนึ่งพันเหรียญทองแล้วรับป้ายไป…”ยังไม่ทันรอให้พูดจบ หลินสวินก็ยิ้มพลางส่ายหัว “ขออภัย ข้ามารับรองฐานะปรมาจารย์สสลักวิญญาณ”“อะไรนะ” ชายชราตื่นตะลึง ดวงตาเบิกกว้าง มีท่าทางไม่กล้าเชื่อหลินสวินยื่นป้ายแสดงฐานะนักสลักวิญญาณชั้นต้นออกไปแล้วพูดว่า “เชิญท่านดู”ชายชรารับป้ายไว้ในมือแล้วดูรอบหนึ่ง สีหน้าพลันเปลี่ยนไปอย่างประหลาด “ที่แท้ยังหนุ่มเช่นนี้ก็เป็นนักสลักวิญญาณแล้ว”ทันใดนั้นเขาก็ส่ายหัวไปมา พูดขึ้นด้วยสีหน้าทำใจเชื่อได้ยากว่า “แต่ว่า… แต่ว่าอายุน้อยขนาดนี้จะไปรับรองระดับปรมาจารย์สลักวิญญาณจริงหรือ เจ้าไม่ได้เข้าใจผิดนะ?”หลินสวินยิ้มแต่ไม่พูดอะไรเห็นเช่นนี้ชายชราก็สูดลมหายใจลึก ไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้วกวักมือเรียกข้ารับใช้ผู้หนึ่งมา สั่งความไปว่า “พาคุณชายท่านนี้ไปโถงทดสอบระดับปรมาจารย์”ข้ารับใช้อึ้งไป มองหลินสวินรอบหนึ่งด้วยสายตาประหลาด แต่สุดท้ายก็ยับยั้งความสงสัยในใจแล้วพาหลินสวินออกไป“เฮ้อ คนหนุ่มสมัยนี้ใจคอหุนหันพลันแล่นเสียจริง เป็นเพียงนักสลักวิญญาณชั้นต้น นักสลักวิญญาณชั้นกลางหรือชั้นสูงก็ไม่ใช่ กลับกล้ามาร้องเอะอะจะขอรับการรับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณ นี่…นี่มันจะน่าตลกเกินไปแล้ว”ชายชราหัวเราะเย้ยหยันพลางส่ายหัวเขาเข้าใจแล้ว เด็กหนุ่มผู้นั้นอ่อนวัยขนาดนี้ก็สามารถได้รับการรับรองเป็นนักสลักวิญญาณชั้นต้นได้ แปลว่าพรสวรรค์ในศาสตร์สลักรอยสลักวิญญาณย่อมดีมาก แต่นิสัยใจคอกลับคุยโวโอ้อวดเกินไป การรับรองปรมาจารย์สลักวิญญาณมันผ่านกันง่ายดายเสียที่ไหนบนเส้นทางการสลักวิญญาณ ไม่เคยมีเรื่องดีๆ อย่างการประสบความสำเร็จแบบก้าวกระโดดหรอก!………………………………………..[1] เยื้องย่างบนเมฆาคราม เป็นสำนวนจีน หมายถึงขึ้นตำแหน่งสูงได้โดยไม่เปลืองแรง
คอมเม้นต์