Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 332
เวลาผ่านไป หลินสวินนั่งรอจนใกล้หมดความอดทนทันใดนั้นคนที่นั่งข้างๆ ก็เอ่ยขึ้น “ไอ้หนุ่ม ถ้าทนไม่ไหวก็อย่ามารอเลย เจ้าคิดว่าคุณชายสามแห่งอัครการค้าจะเจอได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ”หลินสวินเงยหน้าขึ้นมอง เป็นชายวัยกลางคนไว้หนวดคนหนึ่งกำลังยิ้มให้ตนอยู่“เหตุใดจึงว่าเช่นนั้นเล่า” หลินสวินถามกลับเรียบๆ“หึๆ ถามอย่างนี้เพราะเจ้ายังเด็กอยู่สินะ ลองหันไปดูฐานะของคนอื่นๆ ที่นั่งรออยู่สิ”ชายไว้หนวดวางท่าอวดเบ่งว่าเป็นผู้มากประสบการณ์กว่า คำพูดแฝงนัยกลายๆ ว่า ขนาดคนที่นั่งในที่นี้ที่ล้วนมีฐานะดีกว่าเขา ก็ยังทำได้เพียงนั่งรอ เขาซึ่งเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดา จะมีคุณสมบัติใดให้ไม่ต้องรอหลินสวินหลุดยิ้ม คร้านจะต่อความยาวสาวความยืดกับอีกฝ่าย เพียงแค่นั่งรอเข้าพบสืออวี่เท่านั้น ก็ทำให้คนผู้นี้กล้าสั่งสอนเขาแล้วอย่างนั้นหรือชายวัยกลางคนไว้หนวดคล้ายไม่พอใจกับท่าทางของหลินสวิน แค่นหัวเราะใส่ “ไอ้หนุ่ม อย่าอวดดีนักเลย โลกนี้โหดร้าย หากไม่รู้จักสงวนท่าทีบ้างจะเป็นภัยเอานะ”พลันคนทั้งห้องก็หัวเราะครืนอาจเพราะนั่งรอจนเบื่อ เมื่อได้ยินชายวัยกลางคนไว้หนวดสั่งสอนเด็กใหม่อย่างหลินสวินแล้วจึงให้ความสนใจเป็นอย่างมาก“เฮ้ พี่ชาย จะว่าอย่างนี้ก็ไม่ถูก อย่าไปว่าน้องชายท่านนี้สิ ท่านไม่เห็นว่าเขาน่าสงสารบ้างหรือ ที่อยากมาเข้าพบคุณชายสามก็เพราะอยากทำความรู้จักจากนั้นจะได้สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองอย่างไรเล่า”“ปัดโธ่! เด็กที่ไม่มีแม้แต่ความอดทนในการรอ ยังคิดจะมีชื่อเสียงอีกหรือ น่าขันนัก”ผู้ฝึกตนในห้องรับรองพากันเหน็บแนมหลินสวิน พวกเขาเห็นว่าหลินสวินอยู่ในชุดเสื้อผ้าธรรมดา ไม่คล้ายคนมีฐานะโดดเด่นอะไร จึงกล่าววาจาหยอกเย้าเสียดสีอย่างหนักหลินสวินลอบปลงในใจ ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มอยู่น้อยๆ กวาดตามองคนอื่นรอบห้อง “พวกท่านเก่งกาจขนาดนี้ ก็ยังต้องนั่งรอเหมือนข้าเลยไม่ใช่หรือ”ประโยคเดียวนั้นทำให้ทุกคนนิ่งค้างทำหน้าไม่ถูกเด็กหนุ่มยังคงยิ้มว่า “ข้าเด็กแล้วอย่างไร พวกท่านลองกลับมาเป็นเด็กเหมือนข้าให้ดูหน่อยเถิด อย่าคิดว่าแก่แล้วใช้ชีวิตไม่สมใจจนต้องมาลงกับคนอื่นเช่นนี้ พูดให้น่าฟังก็คงต้องบอกว่าไม่รู้จักรักตัวเอง แต่ถ้าขัดหูหน่อยต้องเรียกว่าไม่รู้จักละอาย!”หากไล่เรียงความสามารถในการลับฝีปากแล้ว หลินสวินก็ไม่เคยแพ้ใครคำพูดนี้พาให้ผู้ฝึกตนพวกนั้นหน้าเปลี่ยนสี เปี่ยมด้วยโทสะ ไม่รู้จักรักตัวเอง? ไม่รู้จักละอาย?เด็กหนุ่มคนนี้กล้าด่าพวกเขา!“บังอาจ!”ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งตบโต๊ะลุกยืน “ระวังปากพาซวย”หลินสวินนั่งนิ่ง ปากยังคงว่า “เป็นอย่างไรเล่า โดนจี้ใจดำก็เลยจะลงไม้ลงมืออย่างนั้นสินะ ข้าแค่พูดความจริงก็ทำให้พวกท่านโมโหซะแล้ว ท่านใช้ชีวิตล้มเหลวจริงๆ ถ้าข้าเป็นท่านคงจะไม่มัวพูดพล่าม แต่คงบีบคอฆ่าตัวตายไปเลยดีกว่า จะได้ไม่เปลืองทรัพยากรบนโลกเปล่าๆ”ทุกคนตะลึง เด็กคนนี้ปากร้ายนัก!“เจ้า!”ผู้ฝึกปราณที่ตบโต๊ะคนนั้นหน้าแดงก่ำ สะบัดเสียงหยิบกระบี่จ่อหันไปทางหลินสวินหลินสวินเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “โง่งม ที่นี่คืออัครการค้านะ ท่านแน่ใจหรือว่าจะลงมือ อยากตายไม่ต้องรีบหรอก แต่ถ้าความใจร้อนของท่านสร้างความเดือนร้อนแก่คนอื่น…”ผู้ฝึกปราณคนอื่นหน้าเปลี่ยนสี แม้จะไม่ยินยอม แต่พวกเขาต้องยอมรับว่าหลินสวินพูดถูก ต่อสู้กันในอัครการค้าเท่ากับไม่อยากมีชีวิตอยู่ชัดๆทันใดนั้นชายชุดเขียวคนหนึ่งในที่นั้นก็เอ่ยปราม “สหายใจเย็นก่อน อย่าไปถือสาเด็กคนหนึ่งเลย เขาไม่ได้รับการสั่งสอน หรือท่านก็เป็นเช่นเดียวกันกับเขาเล่า”ผู้ฝึกปราณคนนั้นหอบหายใจข่มอารมณ์ตัวเองไว้ในที่สุด เขาเก็บกระบี่เข้าฝักแล้วทิ้งตัวนั่ง สีหน้ายังคงครึ้มเขียวเห็นชัดว่ากำลังใคร่ครวญ ว่าหลังออกจากอัครการค้าแล้วจะจัดการหลินสวินอย่างไรหลินสวินคร้านจะสนใจเขาเช่นกัน มองชายชุดเขียวที่เข้ามาห้ามแล้วเอ่ยว่า “นี่สุนัขจากบ้านใครกันเล่า กินไม่อิ่มก็เลยออกมาเห่าคนเล่นหรือ”ชายชุดเขียวคนนั้นบันดาลโทสะ “ข้าเข้ามาปรามเพราะหวังดี เจ้ากลับกล้าด่าข้าเป็นสุนัขอย่างนั้นหรือ”หลินสวินหัวเราะ “ไม่ใช่ ข้าด่าสุนัขต่างหาก”ชายชุดเขียวโกรธจนเส้นเอ็นปูดบนขมับ กระเด้งตัวลุกยืน “วันนี้ถึงข้าจะถูกไล่ออกไป ก็ขอฆ่าเด็กปากร้ายอย่างเจ้าสักครั้งเถิด!”คนอื่นรีบลุกขึ้นห้าม “พี่ชายอย่าใจร้อน เมื่อครู่ท่านบอกว่าอย่าถือสาเด็กไม่ใช่หรือ ทำไมตัวท่านถึงทนไม่ได้เสียเองเล่า”ชายชุดเขียวถูกปรามเอาไว้ แต่หลินสวินกลับกระแนะกระแหนต่อ “ดูสิ แบบนี้เรียกสุนัขผดุงคุณธรรม ด่าผู้อื่นไม่ได้รับการสั่งสอนได้ แต่ตัวเองโดนบ้างกลับรับไม่ได้ อย่างนี้สู้สุนัขไม่ได้ด้วยซ้ำ”“ปล่อยข้า ข้าจะฆ่าเขา! ข้าจะฆ่าเขา!” ชายชุดเขียวโวยวาย ท่าทีดั่งหากไม่ได้สังหารหลินสวินก็จะไม่หายแค้นผู้ฝึกปราณเหล่านั้นยิ้มขื่น พวกเขาก็ไม่อยากห้าม แต่หากอัครการค้าทราบเรื่องแล้วพวกเขาพลอยโดนหางเลขไปด้วยจะทำอย่างไรขณะเดียวกันพวกเขาต่างตระหนักได้ว่าเด็กหนุ่มอย่างหลินสวินนั้นไม่เหมือนกับคนอื่น เขาไม่ใช่คนที่จะรังแกได้โดยง่ายเลย“พวกท่านอย่าห้าม ให้เขาลงมือเลย” หลินสวินยังคงนั่งนิ่ง คำพูดคำจาฉะฉาน “ข้าก็อยากรู้ว่าสุนัขผดุงคุณธรรมที่ทั้งโง่ทั้งไม่ได้รับการสั่งสอนอย่างนี้จะกัดเนื้อข้าได้หรือไม่”อั่ก!ชายชุดเขียวกระอักเลือดเพราะโทสะ เขาไม่เคยเจอเด็กที่ไร้มารยาทแถมยังปากจัดขนาดนี้มาก่อน“น้องชาย เจ้าสงบปากสงบคำทีเถิด การสร้างศัตรูไปทั่วไม่ใช่เรื่องดี”“นั่นสิ เรื่องใดยอมได้ก็ยอมบ้าง”ผู้ฝึกตนเหล่านั้นปวดหัว“ขออภัย ข้ายังเด็กไม่รู้ความแล้วยังทะนงตนนัก ไม่รู้จักสงบเสงี่ยมท่าที จะสร้างศัตรูก็ช่วยไม่ได้”เพราะสถานะที่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน ต้องพบกับปัญหาภายในตระกูล แม้ภายนอกของเขาจะดูไม่เป็นไร แต่ในใจของหลินสวินกลับหนักอึ้งนัก ในยามนี้ยังถูกผู้ฝึกปราณที่รอเข้าพบสืออวี่พูดจาดูถูกดูแคลน จะให้เขาทนได้อย่างไรหากรู้จักหลินสวินย่อมรู้ว่าเขาไม่ใช่คนยอมเสียเปรียบใครดังนั้นสงครามน้ำลายเมื่อครู่เขาจึงใส่ออกมาไม่ยั้ง ถือเป็นการระบายอารมณ์อย่างหนึ่ง เพียงแต่หลังจากที่เขากล่าวออกไปแล้ว สำหรับผู้ฝึกปราณเหล่านั้นกลับไม่ต่างไปจากการโดนท้าทาย ต่อว่าทั้งหมู่ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นโมโห เด็กคนนี้อวดดีเกินไปแล้วพลันพวกเขาจึงไม่ห้ามชายชุดเขียวอีก สายตาต่างมองไปที่หลินสวินด้วยไอสังหาร ท่าทางเอาเรื่อง“โอ้ เหตุใดท่าทางเปลี่ยนไปแล้วล่ะ คนไม่มั่นคงในอุดมการณ์อย่างพวกท่านจะยังทำตัวเป็นคนดีได้อีกหรือ แล้วต่างอะไรกับหญ้าบนกำแพงหรือ[1]” หลินสวินนั่งอยู่ตรงนั้น เอ่ยคำพูดไม่ไว้หน้า“ข้าจะฆ่าเจ้า!”ในที่สุดชายชุดเขียวก็ลงมือ ขยับกายไหววูบ ฟันกระบี่มาทางหลินสวินปัง!ตอนนั้นเองประตูห้องรับรองถูกถีบออก เด็กหนุ่มในชุดขาวหน้าตาหล่อเหลาเดินเข้ามาแย่แล้ว!ทันทีที่เห็นเด็กหนุ่มคนนั้น นัยน์ตาชายชุดเขียวก็หดรัดโดยพลัน ร้องเสียงหลงชะงักกายกลางคันกระบี่ในมือของเขาห่างจากศีรษะของหลินสวินไปเพียงสามชุ่น แต่กลับคล้ายถูกจัดวางไว้ไม่ไหวติงคุณชายสาม! ขะ เขามาได้อย่างไรยามนี้คนในห้องรับรองที่รับรู้สถานะของผู้มาใหม่ต่างพากันตกใจ เบิกตากว้าง ทั้งร่างเย็นวาบ โทสะในใจหายไปที่ใดไม่ทราบหลินสวินยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับกายไปไหน ท่าทางเงียบสงบคล้ายไม่กังวลกระบี่ที่ห่างจากศีรษะเพียงสามชุ่นนั่นเลยแต่ครั้นเห็นสืออวี่ที่แต่งกายในชุดสีขาวสง่าผ่าเผยเหมือนที่ผ่านมาก็กลอกตาอย่างอารมณ์เสีย “แอบฟังอยู่ข้างนอกสนุกดีไหมเล่า”เมื่อประโยคนี้ดังออกไป ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นต่างสะท้าน เด็กคนนี้อยากตายหรือ เหตุใดจึงกล้าค่อนแคะคุณชายสามสืออวี่ไม่มีท่าทีไม่พอใจ กลับยักไหล่หัวเราะร่า “ข้าแค่อยากรู้ ว่าไม่เจอกันสองปีเจ้าจะเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่ ไม่คิดว่าคนจะไม่เปลี่ยน แต่ปากกลับร้ายเช่นนี้”คราวนี้ผู้ฝึกปราณพวกนั้นดั่งโดนฟ้าฝ่า ตระหนักได้ทันทีว่าเด็กปากเสียคนนั้นรู้จักกับคุณชายสามอยู่ก่อนแล้วอีกทั้งดูท่าว่าทั้งคู่จะมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย…ครั้นคิดถึงเมื่อครู่ที่พวกเขาพากันดูถูกเหยียดหยาม คิดว่าหลินสวินไม่รู้ความ ไม่รู้จักกระทั่งการอดทนรอ พวกเขาล้วนอยู่ไม่สุข รู้สึกเหมือนยกหินทับเท้าตัวเองหากเปลี่ยนเป็นพวกเขาที่รู้จักสืออวี่อยู่แล้ว ใครจะยังมานั่งทนรอกันเล่าซวยล่ะ คราวนี้เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว!เหล่าผู้ฝึกปราณแทบอยากร่ำร้อง ต้องโทษที่พวกเขาดูคนจากภายนอก มีตาแต่ไร้แวว มองสหายของคุณชายสามเป็นเด็กน่ารังแกไปเสียได้คนที่มีท่าทีแปลกที่สุดก็คือชายชุดเขียวที่ตะลึงค้างในท่าจับกระบี่ไม่ไหวติงอย่างกับรูปปั้น“พี่ชาย อยู่ท่านี้คงจะเหนื่อย ข้าเข้าใจอารมณ์ของท่านนะ แต่ว่าขอพูดอะไรอีกสักหน่อย คราวหลังอย่าเป็นสุนัขผดุงคุณธรรมอีกเลย ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกคนหมายหัวเอาได้” หลินสวินถอนหายใจชายชุดเขียวคนนั้นพยักหน้าหงึกหงักคล้ายยอมรับความผิดจากใจจริงหลินสวินไม่อยากดื้อดึงเอาความ เตือนด้วยความหวังดีว่า “เก็บกระบี่เถิด ท่านทำเช่นนี้มันน่าอายนะ”………………………………….[1]หญ้าบนกำแพง ใช้เปรียบเทียบคนโลเล เอนเอียงไปมาตามอำนาจ คล้ายต้นหญ้าบนกำแพงที่เอนไปตามแรงลม
คอมเม้นต์