Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 310
“มีอะไร เหตุใดลุกลนเช่นนี้นี้” ฉือฉางเหมยตำหนิองครักษ์กลืนน้ำลายว่าเสียงสั่น “ทัพหน้ารายงานมาว่า ภารกิจ…ภารกิจ…”“ภารกิจเป็นอย่างไร” ใครบางคนร้อนรนถาม“ภารกิจพลิกผันขอรับ” องครักษ์รวบรวมลมหายใจแล้วว่าให้จบพลิกผัน?หลายคนตกใจเมื่อได้ยินดังนั้น แต่ในใจกลับไม่คิดว่าหนักหนาอะไร แค่พลิกผันไป มิใช่ล้มเหลวเสียหน่อย เหตุใดต้องตกใจถึงเพียงนี้ฉือฉางเหมยถอนหายใจโล่งอก ภารกิจครั้งนี้นางสั่งให้ยกกองกำลังทั้งหมดไปล้อมรอบนอกเมืองมังกรเหลือง หากยังล้มเหลวอีกครั้งก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว“เจ้าใจเย็นๆ ก่อน ค่อยๆ เล่ามา” ฉือฉางเหมยบอกองครักษ์พยักหน้า “ก่อนหน้านี้ไม่นาน ผู้บัญชาการใหญ่ของทัพหน้าส่งข่าวมาว่าเป้าหมายปลอมตัวออกมาจากเมืองมังกรเหลือง…” เขารายงานข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับออกมาเมื่อได้ยินว่าเสี่ยวมู่ตามตัวหลินสวินได้ หลายคนก็เอ่ยชมนางยกใหญ่ แต่เมื่อได้ยินว่าเป้าหมายตัวคนเดียวสังหารกองกำลังของพวกเขาไปมากมายก็อึ้งงันไปตามๆ กันเรื่องราวหลังจากนั้น เมื่อหลินสวินใกล้จะฝ่าวงล้อมออกมาได้ เรือรบวีรชนม่วงทั้งห้าลำไล่โจมตีเขาจนต้องกระโดดลงแม่น้ำ ทุกคนรวมทั้งฉือฉางเหมยหน้าเขียวครึ้มเสียอาการ บรรยากาศในห้องเริ่มอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ จนแทบหายใจไม่ออก มีเพียงเสียงขององครักษ์ที่ยังดังกังวานอยู่“เดิมทีคิดว่าแม้เป้าหมายไม่ตาย เขาก็คงบาดเจ็บสาหัส กองกำลังจึงดำน้ำลงไปดู แต่ไม่คิดว่าผู้ฝึกปราณห้าสิบคนที่ดำน้ำลงไปจะถูกสังหารจนหมดสิ้น”เพล้ง!ฟังมาถึงตรงนี้ แก้วน้ำชาในมือของฉือฉางเหมยก็แหลกละเอียดกลายเป็นเศษผงร่วงกราวลงพื้นโดยที่นางไม่รู้ตัว สายตาของนางแน่นิ่ง ใบหน้างามเขียวครึ้ม หว่างคิ้วขมวดมุ่นด้วยโทสะยอดฝีมือผู้ฝึกปราณสองพันกว่าคนกับอาวุธอย่างดี ทั้งยังมีเรือรบวีรชนม่วงอีกห้าลำ กองกำลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้ยังสังหารเป้าหมายไม่ได้ ไม่ได้เรื่องจริงๆ!ภายในห้องเงียบสงัด ไม่มีใครกล้าสบตาฉือฉางเหมย พวกเขารู้ดีว่าฉือฉางเหมยใกล้จะโมโหจนสุดขีดแล้ว ในยามนี้หากพูดไม่เข้าหู คงจะถูกนางฆ่าไอด้ง่ายๆฉือฉางเหมยใกล้จะควบคุมตัวเองไม่อยู่ นางเกลียดที่หลังจากสวี่เชียนจิ้งจากไปแล้ว ข่าวคราวที่มาจากทัพหน้าล้วนไม่เคยทำให้นางยินดีได้เลยสักครั้ง โดยเฉพาะครั้งนี้ ที่กองกำลังจำนวนมหาศาลขนาดสามารถต่อกรกับผู้แข็งแกร่งระดับมหาสมุทรวิญญาณได้ แต่สุดท้ายก็ยังทำอะไรเป้าหมายไม่สำเร็จ ผู้ใหญ่ในตระกูลจะมองนางเช่นไร คนอื่นๆ จะมองตระกูลฉืออย่างไร ขายหน้าที่สุด!ฉือฉางเหมยแทบอยากจะพุ่งไปอยู่ทัพหน้าเสียเอง ไม่ช้านางก็สงบสติลง ความโกรธเป็นการแสดงออกว่าตัวเองไร้ความสามารถ สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือทำความเข้าใจเรื่องราวเบื้องหลังทั้งหมด“นอกจากพวกนี้ ยังมีข่าวอื่นอีกหรือไม่” ฉือฉางเหมยพยายามความคุมอารมณ์และน้ำเสียงของตน“มีขอรับ จากการประเมินสถานการณ์คาดว่าเป้าหมายน่าจะบรรลุปราณขั้นผสานดินแล้ว พลังต่อสู้แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมากเป็นเท่าตัว”องครักษ์หวาดหวั่น เกรงว่าฉือฉางเหมยจะบันดาลโทสะฆ่าคนตาย จึงตอบกลับด้วยความระมัดระวัง “นอกจากนี้ ทราบมาว่า ภารกิจครั้งนี้ไม่ใช่เพราะพวกเราไม่ลงแรง แต่เพราะว่าศัตรูแข็งแกร่งเกินไป แม้พวกเราจะพยายามจนสุดความสามารถแล้วก็ยังทำไม่สำเร็จ”ปั่ก!แก้วชาลอยกระทบหัวองครักษ์อย่างแรงจนร่างของเขาซวนเซ มีเลือดไหลจากหน้าผากไม่ใช่ฉือฉางเหมยลงมือ แต่เป็นบุตรหลานจากตระกูลใหญ่คนหนึ่งข่มโทสะไม่ไหว ตะคอกว่า “เพราะว่าศัตรูแข็งแกร่งเกินไปอย่างนั้นหรือ!? เหตุผลบ้าอะไรกัน”“พอแล้ว”ฉือฉางเหมยเอ่ยขึ้นสองคำ ชายที่ระบายโทสะเมื่อครู่แน่นิ่งไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก“ทัพหน้าบอกมาอย่างนี้จริงๆ หรือ” ฉือฉางเหมยถามองครักษ์รับรองด้วยชีวิตว่าเป็นความจริง “ผู้บัญชาการใหญ่ทัพหน้าคือตู้ซิงชวน ข้ารู้จักเขาดี ในเมื่อเขาพูดอย่างนี้แล้วก็ย่อมเป็นความจริง”ฉือฉางเหมยนวดหว่างคิ้วด้วยความเหนื่อยล้า “บอกตู้ซิงชวนว่าทำต่อไป รายงานครั้งหน้าข้าต้องการบันทึกจากเหยี่ยวสอดแนมทั้งหมด”ตอนนี้ข้อมูลอาจจะไม่ใช่ความความจริง หากได้เห็นรายละเอียดกับตาถึงจะรู้ชัดว่าเป้าหมายแข็งแกร่งแค่ไหนองครักษ์รับคำสั่งแล้วจากไปบรรยากาศในห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งฉือฉางเหมยเม้มปากคล้ายกำลังคิดอะไร ใบหน้าคมสวยปกคลุมไปด้วยไอหมอกครึ้มที่มองไม่เห็น เหล่าผู้ช่วยที่มาจากตระกูลใหญ่ต่างมองหน้ากันไปมา ทนอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ไม่ไหว“มันเรียกว่าพลิกผันอะไรกัน นี่มันล้มเหลวอีกครั้งแล้วชัดๆ” ใครบางคนพึมพำตาคมของฉือฉางเหมยปราดมองจนคนผู้นั้นตัวแข็งทื่อ อึกอักว่า “ขะ…ข้าแค่บ่นไปอย่างนั้นเอง”“แค่บ่นหรือ ข้าว่าพวกเจ้าก็ไม่ได้มีความสามารถอะไร เก่งแต่บ่นนั่นแหละ” ฉือฉางเหมยเอ่ยเสียงเย็นประโยคนั้นทำเอาเหล่าผู้ช่วยทั้งหลายนิ่งเป็นหุ่น สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น“อย่าลืมที่ข้าเคยพูดไว้ หากภารกิจครั้งนี้ล้มเหลว พวกเจ้า…จะไม่ได้รับการยกโทษจากข้า”ฉือฉางเหมยพูดพร้อมลุกขึ้นยืน เปิดประตูเดินออกไป ทิ้งไว้เพียงเหล่าผู้ช่วยที่ยืนนิ่งงัน…ปราสาทรัตติกาล“น้องซย่าจื้อ ข้าทำอะไรผิด เหตุใดเจ้าจึงจะฆ่าข้า”เสียงหนึ่งถามขึ้นท่ามกลางความมืดมนหากมองดีๆ แล้ว จะเห็นว่าที่ตรงนั้นมีเด็กชายอายุสิบกว่าปียืนอยู่ เขาอยู่ในชุดสีขาวราวหิมะ ริมฝีปากแดงสด ดวงตาคู่นั้นสว่างไสวดุจดวงดาว หว่างคิ้วมีปานรูปดอกบัวสีม่วงเด่นชัดติดตัวมาตั้งแต่เกิดแม้อายุจะยังน้อย แต่รอบกายของเขากลับมีแสงสีม่วงโอบล้อมปานทวยเทพ เด็กชายคนนี้คือผู้ครอบครองปราณดอกบัวม่วงกลางทะเลทอง ฉือฉางเฟิง เพียงแต่ตอนนี้ที่ลำขอของเขามีรอยนิ้วมือสีแดงปรากฏอยู่ ตรงข้ามกันนั้นคือประตูที่ถูกปิดแน่น ฉือฉางเฟิงมองประตูบานนั้นด้วยความไม่สบอารมณ์นักก่อนหน้านั้นทุกครั้งที่มาหาซย่าจื้อ แม้นางจะไม่สนใจแต่ก็ไม่เคยปฏิเสธตัวเองเช่นนี้ มาครั้งนี้เขายังไม่ทันพูดอะไร ซย่าจื้อก็พุ่งเข้ามาบีบคอเสียแล้ว หากไม่ใช่ราชินีแห่งรัตติกาลมาได้ทันเวลา คอของเขาคงขาดไปแล้วฉือฉางเฟิงมั่นใจว่าซย่าจื้อคิดจะฆ่าตัวเขาจริงๆ ทำให้เขาทั้งตกใจและโมโห รับไม่ได้กับเรื่องทั้งหมดยามนี้ราชินีแห่งรัตติกาลขังซย่าจื้อไว้ในห้อง แต่ฉือฉางเฟิงยังไม่ถอดใจ เขาไม่ได้จะแก้แค้น เพียงแต่อยากถามว่าเพราะอะไร“ข้าไม่เพียงจะฆ่าเจ้า ข้ายังอยากจะฆ่าพี่สาวของเจ้าด้วย” น้ำเสียงราบเรียบเย็นชาดังกังวานออกมาจากในห้อง จากนั้นก็เงียบหายไป“จะ เจ้าอยากฆ่าพี่สาวข้าด้วยอย่างนั้นหรือ”ฉือฉางเฟิงผงะ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเอ่ยด้วยโทสะ “ซย่าจื้อ เพราะอะไร มันต้องมีเหตุผลสิ เจ้าบอกข้าได้หรือไม่”ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ มีเพียงเสียงสะท้อนของเขาลอยกลับมา“ได้ เจ้าไม่บอกข้า เช่นนั้นข้าจะสืบเอาเอง หากรู้ต้นเหตุแล้วข้าจะจัดการมันทิ้งเสีย”ฉือฉางเฟิงกัดฟัน หันหลังเดินออกไปเช่นกันนั้นในปราสาทรัตติกาล ชายชราท่าทางใจดีนั่งอยู่ท่ามกลางห้องที่ว่างเปล่า ลูบจี้สีดำทรงคล้ายดาบโบราณขนาดประมาณสามชุ่นมันคือสมบัติที่เขาพกติดตัวมาครึ่งชีวิต ร่วมรบเรียงใต้หล้า และพบปะกับยอมฝีมือมามากมาย“เด็กตระกูลฉือนั่นกลับไปแล้ว” ทันใดนั้นเสียงหนักแน่นก็ดังขึ้นชายชรานิ่งสักพักแล้วยิ้มบาง “คุณหนูกลัวว่าเขาจะสร้างปัญหาให้กับหลินสวินหรือขอรับ”“ไม่ได้กลัว มันเป็นเรื่องที่ต้องเกิดอยู่แล้ว”“ขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไปที่หอดูดาวหลวง เพื่อถามพวกเขาว่าถ้าคนของทางนั้นตุกติกนอกข้อตกลง ใครจะรับผิดชอบ” ชายชราว่าเสียงอ่อนโยน“รบกวนแล้ว”“ไม่รบกวนขอรับ คำนวณจากเวลาแล้ว หากหลินสวินยังมีชีวิตอยู่ อีกไม่นานเขาก็คงมาถึงนครต้องห้าม ข้าจะใช้โอกาสนี้ออกไปสืบข่าวด้วย”“เจ้ากลับมาแล้วเข้าไปดูซย่าจื้อด้วย ข้าว่านางรู้เรื่องอะไรบางอย่าง ไม่อย่างนั้นวันนี้คงไม่คิดจะฆ่าฉือฉางเฟิง”ดวงตาฝ้าฟางของชายชราปรากฏความซับซ้อน “คงมีเพียงเรื่องเกี่ยวกับหลินสวินเท่านั้นที่ทำให้นางเป็นเช่นนี้นี้”ชายชราเก็บจี้หยกรูปดาบ ลุกออกไปจากห้อง…ริมแม่น้ำชายสวมงอบหน้าตาอึมครึมไม่พูดจา เขาคือคนที่ฉือฉางเหมยเรียกว่าตู้ซิงชวน เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของภารกิจครั้งนี้เขาได้รับคำสั่งจากฉือฉางเหมยให้จับตาดูต่อไป แต่ผ่านมาเจ็ดวันแล้ว กลับไม่มีข่าวคราวของเป้าหมายแม้แต่น้อย แต่ตู้ซิงชวนมั่นใจว่าเป้าหมายยังอยู่ในแม่น้ำแห่งนี้พวกเขาจัดกำลังไว้ตลอดแนวแม่น้ำ หากเป้าหมายปรากฏตัวก็จะพบได้ในทันที จึงเป็นไปไม่ได้ที่เป้าหมายจะหนีรอดออกไป‘ใกล้จะไม่ไหวแล้ว’ ตู้ซิงชวนรำพึงในใจ เจ็ดวันมานี้พวกเขาสูญเสียทรัพยากรเป็นจำนวนมาก เสบียงที่เหลืออยู่ก็ใกล้จะหมดลงแล้วการไม่พบตัวเป้าหมายทั้งๆ ที่ผ่านมาเจ็ดวันแล้ว ทำให้ผู้ฝึกปราณทั้งหลายเริ่มกระวนกระวายอยู่ไม่สุข ความมุ่งมาดในการต่อสู้ลดลงเรื่อยๆ นี่ต่างหากที่น่ากลัว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป สถานการณ์มีแต่จะย่ำแย่ลง’จะทำอย่างไรดี’ ตู้ซิงชวนคิดไม่ตก
คอมเม้นต์