Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 902 แลกเปลี่ยนความรู้
ตอนที่ 902 แลกเปลี่ยนความรู้
แท้จริงแล้วเจดีย์สมบัติมีสีกระจกหยกเก่าคร่ำคร่า เพียงแต่รังสีที่อบอวลอยู่ก่อให้เกิดสีทองเจิดจรัส ดูยิ่งใหญ่ไพศาลแม้มันมีขนาดเพียงฝ่ามือ แต่ดูออกได้ไม่ยากว่าเจดีย์นี้มหัศจรรย์ถึงที่สุด ตัวเจดีย์มีแปดมุม แบ่งเป็นแปดส่วน ทุกส่วนเป็นหนึ่งภพภูมิ ปรากฏภาพสุริยันจันทราภูผาธารา ฟ้าเสถียรดินขนาน เทพธรรมบาลแลหมู่ดาวและสัตว์เทพบรรพกาลเป็นต้นประหนึ่งว่าร่องรอยแดนเทพบรรพกาลประทับอยู่บนตัวเจดีย์ มีกลิ่นอายทรงพลังที่บรรจุนิรันดร์กาลไว้!เพียงแต่น่าเสียดายที่เจดีย์นี้มีตำหนิเสียหาย ตำแหน่งยอดเจดีย์เดิมทีมีอักษรมรรคสลักไว้ แต่ตอนนี้เหลือเพียงอักษร ‘ไร้’ ไม่สมบูรณ์และลางเลือนตัวหนึ่งนี่ก็คือเจดีย์สมบัติไร้อักษร!สมบัติชั้นยอดที่ลี้ลับที่สุดชิ้นหนึ่งในมือของหลินสวิน เคยบรรจุมรรคคาถาที่เกี่ยวโยงกับปริศนาแห่งคีรีดวงกมล ไม่อาจสืบหาที่มาได้ทันใดนั้นโสมแก่เหมือนสังเกตได้ว่าไม่ชอบมาพากล รอยยิ้มบนใบหน้าชราแข็งทื่อ ออกจะตื่นตระหนก สาวเท้าจะหนีไปทันใด“คิดหนีหรือ สายไปแล้ว!”ยามเอ่ยปาก แสงมรรคทองนิลกาฬสายหนึ่งพลันเคลื่อนออกมาจากเจดีย์สมบัติไร้อักษรราวม้าห้อ ม้วนเบาๆ กลางอากาศแล้วพันธนาการโสมแก่ต้นนั้นไว้มันตระหนกจนแสงเปล่งประกายออกมาทั่วร่างอย่างท่วมท้น แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่ช่วยอะไร ใบหน้าชราเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ในที่สุดก็ถูกลากเข้ามาในเจดีย์สมบัติไร้อักษรตึง!ในชั้นหนึ่งของเจดีย์สมบัติ แสงมรรคทองนิลกาฬกดกำราบ โสมแก่ต้นนั้นรับรู้ได้ถึงสถานการณ์อันตราย เผยสีหน้าน่าสงสารร้องขอชีวิต แผ่จิตออกมาระลอกหนึ่งว่า ‘สหายตัวน้อยโปรดคลายโกรธ นี่เป็นการเข้าใจผิด’หลินสวินนัยน์ตาหดรัด ใจสั่นสะท้าน โอสถราชันไร้เทียมทานต้นนี้มีสติปัญญาด้วย!ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มหยัน “เมื่อกี้เจ้าไม่ได้เล่นสนุกดีหรือ เหตุใดตอนนี้ไม่ยิ้ม กลับเริ่มร้องขอชีวิตซะแล้วล่ะ”ตลอดทางที่ไล่ตามมาเมื่อกี้ โสมแก่ต้นนี้ท้าทายไม่ว่างเว้น ทั้งยังเผยรอยยิ้มเย้ยหยันและน่าชิงชังเช่นนั้น หลินสวินใจเย็นเช่นนี้ก็ยังถูกยั่วโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงหากไม่สนใจว่าอีกฝ่ายเป็นโอสถราชันไร้เทียมทาน และไม่ใช่ศัตรูคู่แค้น เขาก็คงบี้เจ้าโสมแก่ต้นนี้ให้ตายไปนานแล้ว‘สหายน้อย ข้าเป็นรากวิญญาณรากหนึ่งของเขาพยับคราม ตั้งแต่ตื่นรู้ก็ไม่เคยทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรมมาก่อน เมื่อครู่เพียงแต่เล่นกับสหายน้อยนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด ขอเจ้ามีน้ำใจกว้างขวางไว้ชีวิตข้าสักครั้งหนึ่ง’ โสมแก่เอ่ยปากอย่างน่าเวทนา“อย่าแม้แต่จะคิด!” วาจาหลินสวินแน่วแน่ โอสถกายสิทธิ์เช่นนี้หากไม่กินให้เรียบล่ะก็ เช่นนั้นก็คงเสียของนัก‘แม่งเอ๊ย ไอ้หนูอย่างเจ้าไม่แล้วไม่เลิกจริงๆ ใช่ไหม จะบอกเจ้าให้! เมื่อก่อนบนเขาพยับครามข้าก็เป็นคนร้ายกาจลือชื่อผู้หนึ่ง มีลูกศิษย์ลูกหานับไม่ถ้วน ขนาดอริยะเหล่านั้นยังต้องเคารพอยู่สามส่วน เจ้าชั่วตัวจ้อยแบบเจ้านับเป็นอะไรได้ ให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง รีบปล่อยข้าซะ อย่าก่อความผิดใหญ่หลวง หาไม่แล้ว เหนือฟ้าบนดินคงไม่มีใครช่วยเจ้าได้!’ทันใดนั้น โสมแก่ที่เดิมร้องขอชีวิตอย่างน่าเวทนาก็เปลี่ยนสีหน้า เท้าสะเอวทำท่าทางอย่างคนพาล ด่าทอใหญ่โตการเปลี่ยนแปลงนี้รวดเร็วนัก ทำให้หลินสวินอึ้งไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเจ้าโสมแก่นี่จะมีสองใบหน้าตู้ม!ที่ตอบกลับโสมแก่ไปคือแสงมรรคทองนิลกาฬสายหนึ่งกำราบลงมา ฟาดบนตัวเขาอย่างแรงเหมือนแส้ เล่นงานเขาจนร้องโอดโอยเสียงดัง พร่ำเอ่ยวาจาหยาบคายต่างๆ ไม่น่าฟังยิ่งนัก‘ข้าจะขึ้นคร่อมบรรพชนเจ้า ไอ้…’‘โอ๊ย เจ็บยันโคตรเจ้าแล้ว ไอ้ชิงหมาเกิด ไอ้…’นี่เป็นโอสถราชันไร้เทียมทานต้นหนึ่งเสียที่ไหน เป็นอันธพาลเฒ่าคนหนึ่งชัดๆ!ในที่สุดโสมแก่ก็ถูกกำราบจนน้ำตาแทบไหลออกมา ลมหายใจรวยริน เลิกด่าทอแล้วแต่มันยังคงไม่ยินยอม ท่าทางเหมือนอันธพาลเฒ่าโหดเหี้ยมอำมหิต กัดฟันกรอดแล้วเอ่ยว่า ‘เจ้ารอก่อนเถอะ เจ้ารอข้าก่อนเถอะ…’จากนั้นมันก็นอนแน่นิ่งไปเช่นนั้น ไม่เคลื่อนไหวแล้วมันในตอนนี้ค่อยเหมือนสมุนไพรแก่ต้นหนึ่ง ร่างขาวเปล่งปลั่งส่งกลิ่นสมุนไพรเข้มข้นกำจายออกมาหากไม่ใช่ไม่เหมาะแก่เวลา หลินสวินอยากจะตัดออกมาลิ้มลองสักชิ้นจริงๆ‘เจ้าหมอนี่มีฤทธิ์เดช ทั้งมีสติปัญญา มีชีวิตมาไม่รู้นานแค่ไหนแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะรู้ความลับของเขาพยับครามบางอย่าง อย่ารีบเอามันไปทำยาเลย…’เขาครุ่นคิดไปพลางเรียกจิตรับรู้กลับมา แล้วเก็บเจดีย์สมบัติไร้อักษรตอนนี้บริเวณที่เขายืนอยู่คือจุดสูงสุดของต้นโคมสำริดมรรคโบราณ กิ่งก้านสูงเทียมเมฆ เมฆหมอกสีม่วงโอบล้อม ใกล้กันนั้นว่างเปล่าไร้คนเบื้องล่างยังมีเสียงต่อสู้ห้ำหั่นดุเดือดแว่วมา เหล่าผู้แข็งแกร่งกำลังช่วงชิงศุภโชคต่างๆ กัน สังหารนองเลือดถึงที่สุด มีผู้แข็งแกร่งสิ้นชีพไปไม่ว่างเว้นน่าหดหู่เกินไปแล้ว!คนที่สามารถเหยียบย่างบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณล้วนเป็นบุคคลระดับผู้กล้าชั้นยอดในหมู่คนรุ่นเยาว์ ทุกครั้งที่สูญเสียคนหนึ่งไป สำหรับสำนักแห่งหนึ่งแล้วก็ไม่ต่างกับถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงครั้งหนึ่งแต่ตอนนี้เพื่อช่วงชิงศุภโชค ใครก็ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้แล้ว ประหัดประหารจนชีวิตหาไม่นี่ก็คือการช่วงชิงมหามรรค ศุภโชคที่ว่าก็มักจะมาพร้อมกับการนองเลือดและเคราะห์สังหาร!โครม!ฉับพลัน ท่ามกลางหมอกสีม่วงไกลออกไปก็มีเสียงฆ่าฟันดุเดือดดังขึ้นจิตรับรู้หลินสวินแผ่ออกไป ชั่วพริบตาก็สังเกตเห็นว่าเป็นการประลองระหว่างมู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวิน ผู้โดดเด่นแห่งยุคสองคนพวกเขากำลังช่วงชิงม้วนหนังสัตว์ม้วนหนึ่ง สิ่งนี้เปล่งรัศมีเทพสีเขียวแผ่วพลิ้ว ร่ายรำในห้วงอากาศ ท่ามกลางความคลุมเครือ มีเสียงธรรมระลอกแล้วระลอกเล่าดังลั่นจนคนหูหนวกยังได้ยินไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่ต้องเป็นมรดกเก่าแก่ที่ลี้ลับไม่อาจหยั่งถึงได้ชิ้นหนึ่ง!มิน่าเล่าถึงได้ดึงดูดให้เกิดการช่วงชิงระหว่างมู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวิน ขนาดหลินสวินยังออกจะใจเต้นด้วยความตื่นเต้นทั้งเสียงธรรมเลื่อนลอย ทั้งรัศมีเทพลอยละล่อง มรดกที่จดบันทึกไว้ในม้วนหนังสัตว์ม้วนนี้ เพียงคิดก็รู้ว่าไม่ธรรมดาขนาดไหนเพียงแต่ในที่สุดหลินสวินก็อดทนไว้ ไม่ได้ไปช่วงชิงเขากับสองคนนี้ไม่ได้ผิดใจหรือแค้นเคืองกัน อีกทั้งบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณนี้ยังมีศุภโชคชิ้นอื่นอีก ไม่คุ้มค่าที่จะยื่นมือไปร่วมด้วยหลินสวินตัดสินใจว่าจะไปดูที่อื่นเพียงแต่ตอนที่เขาเพิ่งหันตัวกำลังจะจากไป กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นสายหนึ่งก็โจมตีเข้ามาทันใดโครม!นั่นเป็นกระบี่มรรคลายสนเล่มหนึ่งที่โชติช่วงราวดวงระวี เปล่งประกายไพศาล มีอานุภาพม้วนกวาดฟ้าดิน ฟาดฟันลงมา น่าครั่นคร้ามยิ่งนักหลินสวินหลบไปอีกด้านโดยแทบจะเป็นไปตามจิตใต้สำนึกแต่ขณะเดียวกับที่เขาเคลื่อนไหว กระบองยาวที่รัดพันด้วยอสนีน่าพรั่นพรึงแท่งหนึ่ง มีอานุภาพบดขยี้ภูผาธารา ทำลายล้างจักรวาลก็พุ่งแหวกฟ้าออกมาจะหลบหนีก็ทำไม่ได้!การฆ่าฟันเช่นนี้เข้ามารวดเร็วนัก ทั้งร่วมมือกันอย่างเข้าขา เหมือนคำนวณอย่างแม่นยำไว้ก่อนแล้วว่าหลินสวินจะหลบไปที่นั่น“ย่า!” ในเวลาสุ่มเสี่ยงเช่นนี้ หลินสวินแผดเสียงราวอสนีในวสันตฤดู วงคลื่นเสียงสีทองเจิดจ้าแผ่กระจายออกมานี่เป็นความเร้นลับของเสียงคำรามผูเหลาเพียงแต่ต่างจากแต่ก่อน วงคลื่นเสียงสีทองนั้นพลันแปรสภาพเป็นผนึกหนาแน่น บังเกิดเงามายาของสัตว์เทพป้าเซี่ยตัวหนึ่ง ทั้งสี่เท้าเหยียบย่างไปบนอากาศ ผนึกบริเวณนี้เอาไว้!นี่คือผนึกป้าเซี่ย!ปริศนาวิชาลับที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงสองชนิด ถูกหลินสวินหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบในชั่วเสียงคำรามเดียว และสำแดงออกมาอย่างครึกโครมในตอนนี้ก็เห็นว่ากระบองยาวอสนีที่แหวกฟ้ามานั้นช้าลงในทันใด ความเร็วผ่อนลงดุจตกอยู่ในบึงโคลนหลินสวินถือโอกาสนี้หายตัวไปจากที่เดิม เคลื่อนออกไปไกลราวภูตผีโครม!กระบี่มรรคลายสนฟันลงมา ทำให้ห้วงอากาศในตำแหน่งที่หลินสวินเคยยืนอยู่ส่งเสียงระเบิด เกิดเป็นสภาวะทำลายล้างไร้รูปเปรี๊ยะ!กระบองยาวอสนีหลุดออกจากพันธนาการ ฟาดกระแทกลงกับพื้น แผ่พุ่งเป็นดอกไม้ไฟแสบตานับหมื่นพันบนพื้นคือกิ่งก้านต้นไม้โบราณแน่นขนัด หากเปลี่ยนเป็นโลกภายนอก เพียงแค่อานุภาพของกระบองนี้ก็สามารถซัดมหาบรรพตลูกหนึ่งให้ราบได้!เพียงคิดก็รู้ว่า หากเมื่อกี้หลินสวินตอบสนองช้ากว่านี้สักนิด ต้องถูกหนึ่งกระบี่หนึ่งกระบองนี้ประกบโจมตี ตกอยู่ในการกำราบโดยที่ไม่อาจโต้ตอบได้ ถึงขั้นอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัส!ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่ง เพียงชั่วพริบตาก็สิ้นสุดลง แต่ภยันตรายที่เกิดขึ้นภายในนี้กลับสามารถทำให้ผู้ฝึกปราณทุกคนล้วนพรั่นพรึงและก็ตอนนี้เอง เขาถึงเห็นผู้แข็งแกร่งสองคนที่ลอบโจมตีตนได้อย่างชัดเจน“เป็นพวกเจ้า!” ดวงตาสีดำของหลินสวินบังเกิดรังสีเย็นเยียบ ความโกรธและจิตสังหารปรากฏขึ้นบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลาไกลออกไป มู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินเข้ามาด้วยกันเมื่อกี้พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือดเพื่อชิงม้วนหนังสัตว์ม้วนนั้นอยู่ชัดๆ แต่ตอนนี้กลับร่วมมือกันอย่างแนบแน่นไม่ต้องคิดหลินสวินก็รู้ว่าการต่อสู้ระหว่างทั้งสองคนเมื่อกี้นี้ เป็นเพียงการเล่นละครตบตาเพื่อหลอกตน จุดประสงค์แท้จริงของพวกเขาคือการฉวยโอกาสตอนที่ตนไม่ได้เตรียมพร้อมมาฆ่าตน!นี่ทำให้ในใจหลินสวินบังเกิดไอสังหารที่ยากควบคุมได้ เมื่อครู่เขาเพิ่งตัดสินใจจะจากไป ไม่ต้องการแทรกแซง คิดว่าไม่ได้ผิดใจหรือแค้นเคืองสองคนนี้ ไม่คุ้มที่จะผูกความแค้นเพื่อช่วงชิงศุภโชคแต่จะคิดได้อย่างไรว่าชั่วพริบตาเดียวนี้เอง อีกฝ่ายกลับร่วมกันลงมือกับตนซะได้ อีกทั้งยังโหดเหี้ยมหาใดเทียบ เห็นได้ชัดว่าต้องการจะทำลายตน“สมกับเป็นเทพมารหลิน เพียงแค่พลังการตอบสนองเช่นนี้ก็น่าตื่นตะลึงแล้ว” มู่เจี้ยนถิงประสานมือสรรเสริญ เขาสวมชุดนักพรตทั้งตัว ผมเกล้าเป็นมวย รูปร่างงามสง่า“น่าประหลาดใจจริงๆ” เงาร่างเหลยเชียนจวินสูงใหญ่กำยำ หนวดเคราเผ้าผมสยาย สง่างามน่าเกรงขามข่มผู้อื่น“ทำไม” หลินสวินเสียงเย็นเฉียบ“แลกเปลี่ยนความรู้” มู่เจี้ยนถิงยิ้มบางๆ พลางเอ่ยปาก“ไม่ผิด เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้” ดวงตาเหลยเชียนจวินแผ่สายฟ้าเย็นเยียบเมื่อเห็นท่าทางของทั้งสอง หลินสวินก็รู้ว่าไม่มีทางได้คำตอบจากพวกเขาแน่ ต่อให้ซักไซ้อีกฝ่ายก็ต้องไม่บอกแต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้ไอสังหารในใจหลินสวินแรงกล้าขึ้นตลอดทางมานี้เขาระแวงพวกอวี่หลิงคง ซาหลิวฉาน จงหลีอู๋จี้ ชิงเหลียนเอ๋อร์ และจั๋วขวงหลันอยู่เสมอ ไม่คิดเลยว่า บุคคลระดับที่เรียกได้ว่าผู้กล้าแห่งยุคเช่นเดียวกันอย่างพวกมู่เจี้ยนถิงนี้ กลับพุ่งปลายหอกมาทางตนด้วยเช่นกันไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใด การเคลื่อนไหวเมื่อกี้ของทั้งสองคนก็ล้ำเส้นของหลินสวินแล้ว!“แลกเปลี่ยนความรู้หรือ”หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย ไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง ก้าวไปหนึ่งก้าว รัศมีเทพที่น่าหวาดหวั่นหาใดเทียบแผ่ออกมาจากรอบกาย เปล่งประกายราวอาทิตย์สีใสชั่วพริบตาเท่านั้น ท่าทางเขาก็เปลี่ยนไปแล้ว ราวกับเทพมารองค์หนึ่ง พลังขับเคลื่อนในร่างกายพลุ่งพล่าน ไต่ไปถึงสภาวะสูงสุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน“ก็ดี ข้าจะแลกเปลี่ยนความรู้กับพวกเจ้าดีๆ ก็แล้วกัน!”ผมสีดำของหลินสวินปลิวไสว กลิ่นอายราวห้วงน้ำเหวนรก ไอสังหารดุจกระแสวารีแผ่พุ่งออกมาจากร่างของเขา ปกคลุมไปทั่วบริเวณนี้อย่างมืดฟ้ามัวดินนันย์ตาของมู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินพากันหดรัด สังเกตได้ถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของหลินสวิน ทั้งสองคนสบตากันครั้งหนึ่งแล้วพากันออกโจมตีราวสื่อจิตถึงกันได้สวบ!คมกระบี่แสบตาพุ่งทะลุเมฆ โชติช่วงไพศาล ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี แขนเสื้อมู่เจี้ยนถิงโบกสะบัด พุ่งไปจู่โจมหลินสวินโดยไม่ลังเลประหนึ่งราชันมรรคกระบี่ที่มีไอพิฆาตสะท้านโลกาองค์หนึ่งเปรี้ยง!อีกด้านหนึ่ง มุมปากของเหลยเชียนจวินยกขึ้นอย่างเหี้ยมเกรียม มือใหญ่ถือกระบองอสนีเล่มนั้น ก้าวไปในห้วงอากาศราวพยัคฆ์ร้ายออกจากถ้ำ กลิ่นอายระเบิดออกมาอย่างรุนแรง——
คอมเม้นต์