Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 732 ความแยบยลแห่งการยืมพลังสะท้อนพลัง
เปลี่ยนเป็นคนอื่นกล้ายัดเยียดให้ตนเช่นนี้ ฉินฉู่คงซัดฝ่ามือใส่ฝ่ายตรงข้ามให้ตายนานแล้ว นี่ช่างเป็นการกระตุกหนวดเสือ อยากตายจนทนไม่ไหวถึงอย่างไรเขาฉินฉู่ก็คือราชันคนหนึ่ง! กวาดมองทั่วใต้หล้าล้วนเรียกได้ว่าเป็นยอดผู้ยิ่งใหญ่ร้ายกาจแต่ตอนนี้เผชิญหน้าการ ‘ยัดเยียด’ ของจ้าวซิงเย่ เขากลับไม่กล้าบันดาลโทสะแม้แต่น้อย ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวเกินไป ไม่เพียงฐานะสูงส่งเกินเอื้อม แม้แต่พลังแท้จริงล้วนเรียกได้ว่าเป็นปราดเปรื่องเอกอุดม!ฉินฉู่ไม่คลางแคลงแม้แต่น้อย หากตนกล้าเผยความไม่พอใจใดๆ ฉากจบคงร้ายแรงมากกว่าตาย!ในใจฉินฉู่อัดอั้น ข่มกลั้นเจียนกระอักเลือด สีหน้าเริ่มเขียวพูดไม่ออกอยู่เนิ่นนาน ท่าทางกระอักกระอ่วนคับแค้นนั่นกระตุ้นให้หลินสวิน จ่างซุนเลี่ยสาแก่ใจอีกครา“แม่ทัพจ้าว ท่านคงไม่ได้กำลังล้อเล่นกระมัง” อัดอั้นอยู่นานฉินฉู่ก็เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน ใบหน้าชราเก้กังยิ่งกลับเห็นจ้าวซิงเย่เลิกคิ้วเรียวยาวดำสนิทราวสีหมึกขึ้น ริมฝีปากแดงเม้มเบาๆ กล่าวอย่างไม่พอใจ “แม่ทัพฉินฉู่ เมื่อครู่ข้าเป็นตัวแทนจักรวรรดิคารวะเจ้าครั้งใหญ่ เจ้าคิดว่าข้ากำลังล้อเล่นหรือ”น้ำเสียงยับคงเนินนาบดังเดิม แต่กลับประหนึ่งกระบี่คมกริบเล่มหนึ่งจ่อคอหอย ทำฉินฉู่แข็งทื่อไปทั้งตัว สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนท้ายที่สุดฉินฉู่กัดฟันกรอด สูดหายใจลึกก่อนกล่าวเสียงขรึม “แม่ทัพจ้าวกังวลมากไปแล้ว ในเมื่อข้าผู้แซ่ฉินเคยลั่นวาจานี้ แน่นอนว่าต้องปฏิบัติตามอย่างสุดความสามารถ ทว่าเรื่องนี้พัวพันใหญ่หลวง อาศัยข้าคนเดียวไม่อาจเป็นแกนนำตระกูลฉิน รอหวนคืนจักรวรรดิ ข้าจะหารือกับตระกูลจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสมโดยเร็ว”สีหน้าเขาถมึงทึง ใครต่างก็รู้ว่าเขาอัดอั้นโกรธแค้นจนแทบระเบิดเห็นดังนี้จ้าวซิงเย่พยักหน้ายินดีในบัดดล “เช่นนั้นคงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว งั้นข้าขออวยพรล่วงหน้าให้แม่ทัพฉินฉู่ประสบความสำเร็จโดยเร็ว!”ฉินฉู่จากไปแล้ว พร้อมความกลัดกลุ้มและอึดอัดเต็มอก เขากังวลว่าหากไม่จากไปอีก ต้องโกรธจนกระอักเลือดตายแน่พอนึกถึงว่าครานี้แค่เพื่อ ‘ยืมใช้’ ศรธนูคู่หนึ่งเท่านั้น กลับเป็นการหาเรื่องใส่ตัว ขโมยไก่ไม่ได้แถมยังเสียข้าวสารอีกกำมือ ทำเอาเขาโกรธจนแทบอยากจะตบปากตัวเองแม่งเอ๊ย!…“ขอบคุณแม่ทัพจ้าวที่ยื่นมือช่วยพวกเราคลี่คลายปัญหา”ในเรือน จ่างซุนเลี่ยเก็บรอยยิ้มพร้อมคำนับอย่างจริงจัง ราตรีนี้หากไม่ใช่จ้าวซิงเย่มาเยือน ผลที่ตามมาคงคาดเดาไม่ได้อยู่บ้าง“ไม่ต้องเกรงใจ แม่ทัพฉินฉู่มีใจเพื่อมวลชนทำให้ข้าชื่นชมยิ่งนัก หากพูดว่าเป็นการคลี่คลายปัญหา มิสู้พูดว่าเป็นการผลักดันเรื่องดีงามเสียยังดีกว่า”จ้าวซิงเย่กล่าวง่ายๆ นางนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสบายอารมณ์ รูปโฉมงดงามปานล่มเมือง นัยน์ตาดำขลับใสกระจ่าง ผิวพรรณขาวยิ่งกว่าหิมะ ยากจินตนาโดยแท้ว่าหญิงสาวงดงามยิ่งยวดเช่นนี้ ไยจึงถูกตั้งฉายาว่า ‘ราชินีกระหายเลือด’หากไม่เห็นกับตาตนเองหลินสวินคงคาดไม่ถึง ราชันระดับสังสารวัฏผู้หนึ่งอย่างฉินฉู่ ยามเผชิญหน้ากับจ้าวซิงเย่ ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่กล้าพูดเหลวไหลแม้คำเดียวบางทีนี่ต่างหากที่เรียกว่าพลังอำนาจยิ่งใหญ่แท้จริง!“แม่ทัพจ้าวคิดจริงหรือว่าตระกูลฉินจะทำตามสัญญานี้”จ่างซุนเลี่ยสงสัยกลับเห็นจ้าวซิงเย่ยิ้มเล็กน้อย ริมฝีปากอวบอิ่มดุจสีเพลิงยกโค้งเป็นรัศมีหยิ่งผยองสายหนึ่ง “หากพวกเขากล้าทำเช่นนั้น ก็อย่าโทษที่ข้าจะไปทวงถามถึงถิ่นด้วยตัวเอง!”คราวนี้ในที่สุดหลินสวินและจ่างซุนเลี่ยก็มั่นใจ ที่แท้จ้าวซิงเย่ไม่ได้กำลังล้อเล่น!สวรรค์ นี่มันหมายลงดาบทำลายตระกูลฉินชัดๆ!หลินสวินสูดหายใจเย็นเยียบ ในใจรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ก่อนเขามักถูกคนมองว่าใจกล้าและแข็งกร้าว แต่เมื่อเทียบกับจ้าวซิงเย่สตรีผู้งดงามและน่ากลัวนางนี้ เรียกได้ว่าเป็นเด็กน้อยกับจอมขมังเวทชัดๆ ไม่อาจสู้ได้เลย!จ่างซุนเลี่ยอดเหลือบมองหลินสวินวูบหนึ่งไม่ได้ คล้ายกำลังแอบนำหลินสวินและจ้าวซิงเย่มาเปรียบเทียบกันว่าความกล้าของใครมากกว่ากัน…“ผิดคาดรึ”จ้าวซิงเย่ยิ้มเยาะ นางเคาะปลายนิ้ว กล่าวด้วยท่าทีสมเหตุสมผล “อย่าลืมสิ ข้าเองก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง และสิ่งที่ผู้หญิงถนัดที่สุดก็คือก่อกวนปั่นป่วนและเจ้าคิดเจ้าแค้น”จ่างซุนเลี่ยหัวเราะออกมาคราหนึ่ง ในใจมีความสุขบนทุกข์ของคนอื่น และรู้สึกสงสารและเวทนาฉินฉู่อยู่บ้าง หากเจ้าหมอนี่รู้เรื่องพวกนี้จะร้องไห้ออกมาไหมนะหลินสวินกลับกำลังทอดถอนใจ ผู้หญิง? ใครจะกล้ามองแม่ทัพใหญ่แห่งจักรวรรดิผู้มีฉายาว่า ‘ราชินีกระหายเลือด’ เป็นผู้หญิงทั่วไปกัน“เจ้าหนุ่มน้อย สามารถให้ข้ายืมศรธนูของเจ้ามาใช้หรือไม่” ทันใดนั้นนัยน์ตาคู่งามของจ้าวซิงเย่มองมาทางหลินสวิน กล่าวข้อเรียกร้องหนึ่งออกมานี่ทำให้นัยน์ตาจ่างซุนเลี่ยหดรัดลง มึนงงและประหลาดใจอยู่บ้างจ้าวซิงเย่กลับท่าทางราบเรียบนิ่งสงบ นางมองหลินสวินเงียบๆ ไม่ได้เผยแรงกดดันอะไร“ได้” หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนสบสายตากล่าวกับจ้าวซิงเย่อย่างเยือกเย็น “แต่ว่าข้ามีเงื่อนไขหนึ่ง”จ่างซุนเลี่ยตกใจจนแทบปิดปากหลินสวิน เวลานี้ยังกล้ามีเงื่อนไขกับจ้าวซิงเย่? ไอ้เด็กนี่มันช่างกล้าหาญนัก!กลับเห็นนัยน์ตางามดำสนิทและเป็นประกายของจ้าวซิงเย่หรี่ลงเล็กน้อย มุมปากยกน้อยๆ กล่าวคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “อ้อ ลองว่ามาสิ”“หากวันหนึ่งท่านแม่ทัพมุ่งหน้าไปตระกูลฉินเพื่อทวงคำสัญญาด้วยตนเอง ขอท่านพาผู้น้อยไปด้วย ข้าแค่อยากไปดูหน่อยก็เท่านั้น”หลินสวินกล่าวเงื่อนไขเหนือคาดหมายออกมา ทำให้จ่างซุนเลี่ยชะงักไปเล็กน้อย ในใจประหลาดใจ เจ้าเด็กนี่คิดจะทำอะไร แม้แต่เรื่องเช่นนี้ยังหมายผสมโรงด้วยหรือจ้าวซิงเย่หลุดขำออกมา นัยน์ตาคู่งามเปี่ยมด้วยความรู้สึกพิกล ยิ้มร่าจ้องมองหลินสวินตั้งแต่หัวจรดเท้า คล้ายหมายทำความรู้จักใหม่อีกรอบครู่ใหญ่นางจึงพยักหน้า “ได้สิ”หลินสวินยิ้ม ส่งมอบธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามให้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย“มากสุดสิบวัน จะส่งคืนเจ้าของ”นี่คือคำมั่นสัญญาของจ้าวซิงเย่ดึกแล้ว ไม่นานหลินสวินก็ขอลากลับ“จริงดังคาด เจ้าเด็กนี่เป็นพวกหน้าเลือดคนหนึ่ง อาศัยความคิดอันลุ่มลึกและเล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้ ต่อไปใครหาเรื่องเขาคงปวดกบาล”มือหยกขาวกระจ่างเรียวนาวของจ้าวซิงเย่ลูบธนูวิญญาณไร้แก่นสารในมือ นัยน์ตางามกลับมองไปยังทิศทางที่หลินสวินจากไป มุมปากปรากฏเป็นรัศมีโค้งที่คล้ายมีคล้ายไม่มี“หน้าเลือด? ข้ากลับเห็นว่าเจ้าเด็กนี่ใจกล้าคับฟ้า” จ่างซุนเลี่ยนึกถึงบางเรื่องที่หลินสวินก่อขึ้นในหลายวันนี้ ก็เอ่ยทอดถอนใจออกมาอย่างอดไม่อยู่แต่ทันใดนั้นเขาพลันกล่าวพลางมุ่นคิ้ว “แต่จากนิสัยของเขา นึกไม่ถึงว่าครานี้จะให้ยืมสมบัติคู่นี้อย่างยินดี ทำให้ข้าคาดไม่ถึงยิ่งนัก”จ้าวซิงเย่เหลือบมองเขาวูบหนึ่ง “เจ้าคิดว่าข้าเอารัดเอาเปรียบเขาหรือ”ไม่รอคำตอบ จ้าวซิงเย่ก็ยิ้มกล่าวอย่างนึกสนุก “หากไม่ใช่คราวนี้ข้าต้องการอาวุธสังหารคู่นี้ไปกระทำการเรื่องหนึ่ง ข้าคงไม่ยอมตกปากรับคำเงื่อนไขที่เขาเสนอนั่น”จ่างซุนเลี่ยอึ้งไป เขาใคร่ครวญโดยละเอียดอยู่ครู่ใหญ่ก็เข้าใจในบัดดล ตบต้นขาดังฉาด “ที่แท้เป็นเช่นนี้ เจ้าเด็กนี่รอบจัดซะจริง!”อันที่จริงเรื่องราวเรียบง่ายมาก แม้พูดว่าก่อนหน้านี้จ้าวซิงเย่บีบให้ฉินฉู่ศิโรราบ ไม่อาจไม่รับปากทำตามคำพูดที่เคยกล่าวแต่ไม่ว่าใครต่างรู้ว่า คิดจะให้ตระกูลฉินซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงของจักรวรรดิทุ่มเททรัพย์สินและกำลังทั้งมวลอุทิศแก่จักรวรรดิจนสิ้น นั่นไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้แต่แรกเพราะนี่ไม่ต่างอะไรกับการทำลายตระกูลฉินอย่างสิ้นเชิง ต่อให้เป็นจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน เกรงว่าก็ยังไม่กล้าทำเช่นนี้โดยง่ายถึงอย่างไรท้ายที่สุดตระกูลฉินก็เป็นหนึ่งในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง เส้นสนกลในมากมาย อำนาจล้นฟ้า อิทธิพลในจักรวรรดิก็มีมากเกินไป หากพวกเขากลายเป็นสุนัขจนตรอก ต้องก่อให้เกิดความโกลาหลและวุ่นวายที่ไม่อาจคาดเดาได้เป็นแน่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เงื่อนไขที่หลินสวินเสนอจึงมีนัยลึกซึ้งยิ่งเขาขอติดตามจ้าวซิงเย่มุ่งหน้าไปตระกูลฉินด้วย เพื่อดูว่าจ้าวซิงเย่จะใช้ ‘วิธี’ ใดทวงสัญญา นี่ส่งผลกระทบอย่างไร้ร่องรอยต่อการกระทำของจ้าวซิงเย่ ด้วยว่าหากว่าจ้าวซิงเย่คิดเปลี่ยนใจ ก็ต้องใคร่ครวญอย่างหนัก“ถึงตอนนั้น หากข้าไม่ลงดาบกับตระกูลฉิน ก็จะถูกเจ้าเด็กนี่ดูแคลน และเป็นการผิดต่อความช่วยเหลือที่เขาให้ข้า ‘ยืมสมบัติ’”“แต่หากข้าไปก็เท่ากับตกหลุมพรางเจ้าเด็กนี่ เป็นไปตามความคิดเขาอย่างราบรื่น นี่ไม่ต่างอะไรกับการยืมดาบฆ่าคน เพียงแต่ความคิดของเจ้าเด็กนี่ซ่อนเร้นไว้ลึกยิ่ง ไม่ทิ้งร่องรอย นี่ทำให้ข้าหมายจับจุดอ่อนเขายังยากนัก”บนใบหน้างามและมีเสน่ห์ของจ้าวซิงเย่เจือความทอดถอนใจเสี้ยวหนึ่ง “วิธีนี้ร้ายกาจยิ่ง ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องพลังปราณและรากฐานของเขาในปัจจุบัน แค่จุดที่ว่าเขาอายุน้อยเท่านี้ก็ชำนาญการยืมพลังสะท้อนพลัง ยืมดาบฆ่าคนเช่นนี้ ในบรรดารุ่นเดียวกันน้อยคนนักที่ทัดเทียมได้ เจ้าว่าสัตว์ประหลาดตัวจ้อยที่ทั้งหน้าเลือด ทั้งมีพรสวรรค์น่าตะลึงยิ่งยวดเช่นนี้ ต่อไปหากเติบใหญ่ขึ้น ใครยังจะกล้าแส่หาเรื่องเขา”จ่างซุนเลี่ยตะลึงงัน เขาไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้มาก่อน แต่เมื่อคิดดูอย่างถี่ถ้วน กลับพบว่าที่จ้าวซิงเย่กล่าวมาทั้งหมดหาได้เกินจริงแม้เพียงเสี้ยว ถึงขั้นชี้ให้เห็นถึง ‘อัตลักษณ์’ บางส่วนของเด็กนั่นอย่างตรงจุดตรงประเด็น“ยังดี ถึงแม้เขาจะผงาดโดยสมบูรณ์ก็ไม่มีทางเป็นศัตรูของจักรวรรดิ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เจ้าเด็กนี่คงกลายเป็นจอมอหังการพิฆาตใต้หล้าคนหนึ่งแน่”จ้าวซิงเย่กล่าวถึงตรงนี้จึงหยัดร่างขึ้น ชุดคลุมนกกระเรียนสีดำขับเน้นความนุ่มนวลงดงามบนเรือนร่างสูงโปร่งของนางให้ชวนตะลึง“การกระทำของฉินฉู่แม้เหลือทนอยู่บ้าง แต่คำพูดเขากลับไม่ผิด เสบียงวัตถุดิบที่เหลืออยู่ของพวกเราค่ายทั้งแปดแห่งจักรวรรดิมีจำกัด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ช่วงเวลาก่อนถึงการเปิดช่องทางสู่จักรวรรดิครั้งต่อไปคือสิ่งยากข้ามผ่านโดยไม่ต้องสงสัย”บนใบหน้าขาวกระจ่างของนางเจือแววไตร่ตรองวูบหนึ่ง “ก็เหมือนคลื่นลมที่เกิดขึ้นวันนี้ พวกราชันวิญญาณเร้นยกทัพใหญ่มา จุดประสงค์ดูเหมือนเพื่อจัดการเด็กนั่น แต่อันที่จริงพวกมันแค่หมายฉวยโอกาสนี้เปิดศึกใหญ่เท่านั้น”“ไม่ผิด หากพวกมันระดมกำลังทั้งหมดทำศึกในช่วงนี้ ผลที่ตามมาจะต้องร้ายแรงยิ่ง”จ่างซุนเลี่ยหน้านิ่วคิ้วขมวด ในฐานะที่เขาเป็นผู้นำแห่งค่ายหมายเลขเจ็ด ย่อมเข้าใจความรุนแรงของสถานการณ์ตรงหน้ายิ่งกว่าคนอื่นเป็นธรรมดา“ดังนั้นเพื่อคลี่คลายวิกฤตินี้ หนทางเพียงหนึ่งเดียวก็คือการเล่นใหญ่กับพวกมันสักตั้ง!”จ้าวซิงเย่ยกธนูวิญญาณไร้แก่นสารในมือขึ้น นัยน์ตาคู่งามจับจ้องสายธนูแดงก่ำดั่งโลหิตนั่น ชั่วพริบตาพลานุภาพชวนประหวั่นยากอธิบายอบอวลแผ่ขยายออกจากร่างนางในใจจ่างซุนเลี่ยสั่นสะท้าน ราวเห็นภูเขาศพทะเลเลือดไร้สิ้นสุดปรากฏ ในจุดที่จ้าวซิงเย่ยืนอยู่ ใต้ฝ่าเท้าคือกระดูกขาวหนาแน่นไม่มีที่สิ้นสุดจ้าวซิงเย่ในตอนนี้มีลักษณะของ ‘ราชินีกระหายเลือด’ อย่างหนึ่ง พลานุภาพเช่นนั้น หลายปีที่ฆ่าฟันกรำศึกมา เคยทำทั้งสมรภูมิกระหายเลือดสั่นสะเทือนไม่ใช่เพียงคราเดียว!………………
คอมเม้นต์