Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 730 สมบัติกระเทือนใจคน
ยามราตรี ณ ค่ายหมายเลขเจ็ดภายในเรือนหลังหนึ่งแสงโคมส่องสว่าง งานเลี้ยงกำลังดำเนินอย่างครึกครื้น“ฮ่าๆๆ วันนี้สะใจจริงๆ ศรเดียวของพี่จ่างซุนสังหารราชัน ข่มกองทัพศัตรูจนถอยร่น ทำพวกมันหนีหัวซุกหัวซุน ลุกลนดั่งสุนัขไร้เจ้าของ เหตุการณืยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทำให้ข้าเปิดโลกทัศน์โดยแท้!”ฉินฉู่หัวเราะร่าชนจอกกับจ่างซุนเลี่ยสถานการณ์ล่อแหลมเมื่อกลางวันคลี่คลายลง ศัตรูผลุนผลันล่าถอย ขจัดภัยคุกคามค่ายหมายเลขเจ็ดจนสิ้นด้วยเหตุนี้ในค่ำคืนนี้ ค่ายหมายเลขเจ็ดจึงตกอยู่ในความรื่นเริง ไม่เพียงแค่เรือนหลังนี้ สถานที่อื่นๆ ต่างก็กำลังเฉลิมฉลองยินดี“คุณชายเสี่ยวหลินเองก็ใช่ย่อย ถืออาวุธอัศจรรย์ออกโรงในช่วงเวลาสำคัญ มอบโอกาสพลิกฟ้าดินแก่พี่จ่างซุน มาๆๆ เขาดื่มให้เจ้าอีกจอก!”ฉินฉู่พูดพลางยกจอกสุรา อมยิ้มมองหลินสวิน“ผู้อาวุโสกล่าวชมเกินไปแล้ว” หลินสวินยกดื่มทีเดียวหมดเห็นบรรยากาศครื้นเครงปรองดอง สุขสันต์สมัครสมาน หลูเหวินถิงซึ่งอยู่ด้านข้างกลับทนดูฉินฉู่ไม่ได้อยู่บ้างเขาสื่อจิตกล่าวกับหลินสวิน ‘เจ้าหนู เจ้าอย่าได้ถูกความกระตือรือร้นของเจ้าแก่นี่ทำเอาลุ่มหลงเชียว ก่อนหน้านี้ยามเขามาที่ค่ายยังมีอคติต่อเจ้านัก’หลินสวินพลันเลิกคิ้ว สื่อจิตถาม ‘หืม? คำพูดนี้หมายความอย่างไร’หลูเหวินถิงกล่าว ‘ไม่ใช่ว่าข้ายุแยงตะแคงรั่ว เพียงแต่สีหน้าท่าทางของฉินฉู่ผู้นี้น่าเกลียดเหลือทน เจ้าคงไม่รู้ว่าท่าทีก่อนหน้านี้ของเขาเลวร้ายมากเพียงใด เพิ่งมาถึงค่ายก็กล่าวหาว่าเจ้าก่อเรื่องมากเกินไป เป็นเพราะหลายวันนี้เจ้าทำอึกทึกจนเกินไป จึงก่อให้เกิดคลื่นลมการศึกวันนี้’‘กระทั่งภายหลังเห็นกองทัพศัตรูประชิดพรมแดน เขายิ่งเสนอความคิดเน่าๆ หมายเอาทุกอย่างไปลงที่เจ้าคนเดียว ยังดีเวลานั้นแม่ทัพจ่างซุนปฏิเสธหนักแน่น ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เหอะๆ…’คำพูดยังไม่จบ แต่ความนัยเปิดเผยชัดเจนหลินสวินหรี่นัยน์ตาดำลง สีหน้ายังคงราบเรียบดังเก่า แต่สายตาที่มองไปยังฉินฉู่เปลี่ยนเป็นเย็นชาไม่น้อยจริงดังว่าคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ!‘แต่นี่ล้วนเป็นเรื่องเล็ก เจ้าเข้าใจดีก็พอ อย่าได้แพร่งพราย ไม่ว่าอย่างไรฉินฉู่นั่นก็เป็นราชันคนหนึ่ง ไม่ควรหาเรื่องเขาง่ายๆ’หลูเหวินถิงกังวลว่าหลินสวินจะเก็บอาการไม่อยู่ กล่าวเตือนหนึ่งประโยคหลินสวินผงกศีรษะเพียงแต่เดิมทีหลินสวินไม่อยากคิดเล็กคิดน้อย แต่ไม่คิดเลยว่ายามงานเลี้ยงใกล้สิ้นสุด จู่ๆ ฉินฉู่จะกระแอมคราหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาพลางกล่าว “ตอนนี้ระยะเวลาก่อนเปิดช่องทางมุ่งสู่จักรวรรดิเหลือเพียงไม่ถึงสามเดือน ศัตรูก็เริ่มกระเหี้ยนกระหือรือเหมือนก่อนหน้านี้ หวังอาศัยโอกาสนี้ก่อศึก”“พวกเจ้าเองก็รู้ ยามนี้เสบียงวัตถุดิบของค่ายทั้งแปดแห่งจักรวรรดิเรามีไม่มาก เวลานี้หากศัตรูเปิดศึกใหญ่ สำหรับพวกเราจะต้องเป็นวิกฤติร้ายแรงหาใดเปรียบ!”จ่างซุนเลี่ยพยักหน้า “ไม่ผิด เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นข้อพิสูจน์หนึ่ง เสบียงวัตถุดิบของพวกเรามีจำกัด ไม่สามารถเปิดใช้ค่ายอริยะแปดวิทูรโดยง่าย ศัตรูเล็งจุดนี้ไว้ ถึงได้กล้าระดมกำลังพลมาเยือน”ฉินฉู่ยิ้มน้อยๆ สายตามองไปยังหลินสวิน “ดังนั้นข้าอยากขอให้คุณชายเสี่ยวหลินช่วยเรื่องหนึ่ง หากเจ้ารับปาก อาจสามารถช่วยจักรวรรดิเราคลี่คลายปัญหาตรงหน้านี้ ทำให้ผู้ฝึกปราณของค่ายทั้งแปดแห่งจักรวรรดิสามารถยืดหยัดถึงเวลาเปิดช่องทางครั้งต่อไป”จ่างซุนเลี่ยเห็นดังนี้ หัวคิ้วพลันขมวดมุ่นอย่างยากสังเกตเห็น ตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากลอยู่บ้างส่วนหลูเหวินถิงยิ่งส่งสายตาให้หลินสวิน คล้ายกำลังบอกหลินสวินว่าต้องระมัดระวัง อย่ารีบตกปากรับคำเด็ดขาด“อ้อ ผู้อาวุโสลองว่ามาเถิด” หลินสวินสีหน้าสำรวมฉินฉู่กล่าวจริงจังเคร่งขรึม “ข้าอยากยืมศรและธนูในมือคุณชายเสี่ยวหลินมาใช้สักครั้ง ด้วยพลานุภาพของมหาสมบัติไร้เทียมทานคู่นี้ เพียงพอให้สยบสัตว์ประหลาดเฒ่าของเผ่าพ่อมดเถื่อน ทำให้พวกมันไม่กล้ามายุ่งวุ่นวาย”พูดอ้อมไปอ้อมมา ที่แท้ก็เพื่อสิ่งนี้!ส่วนลึกในนัยน์ตาดำของหลินสวินวาบแววเย็นชา สุดท้ายเขาก็แน่ใจว่าที่หลูเหวินถิงพูดมาล้วนไม่ผิด วันนี้ในงานเลี้ยง การแสดงออกอย่างกระตือรือร้นของฉินฉู่ที่มีต่อตนนั้น เกรงว่าก็เพื่อเสนอข้อเรียกร้องออกมาในเวลานี้ไม่รอให้หลินสวินเอ่ยปาก จ่างซุนเลี่ยก็ขมวดคิ้วตั้งคำถาม “ทำอย่างนี้เกรงว่าคงไม่เหมาะกระมัง มหาสมบัติเช่นนี้จะให้ยืมโดยง่ายได้อย่างไร”ฉินฉู่กล่าวอย่างครัดเคร่งเปี่ยมคุณธรรม “พี่จ่างซุน ข้าทำเช่นนี้ล้วนเพื่อผู้ฝึกปราณในค่ายทั้งแปดแห่งจักรวรรดิ เชื่อว่าหากแม่ทัพแต่ละท่านของค่ายอื่นรู้เรื่องนี้ จะต้องหวังให้คุณชายเสี่ยวหลินช่วยเหลือพวกเราเช่นกันแน่ๆ”เขาหยุดไปชั่วขณะค่อยกล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้นแค่ขอยืมใช้ รออีกสามเดือนหลังเปิดช่องทางสู่จักรวรรดิแล้ว สมบัติล้ำค่าคู่นี้แน่นอนว่าต้องส่งคืนเจ้าของ”“ไม่ทราบว่าคุณชายเสี่ยวหลินสามารถตัดใจยอมชั่วคราว เห็นแก่ส่วนรวมยื่นมือเข้าช่วยจักรวรรดิเราหรือไม่” สายตาเขามองไปยังหลินสวินเขาทำท่าทางห่วงใยผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิ คิดเพื่อส่วนรวม ท่าทีผดุงคุณธรรม คำพูดก้องกังวาน ทำให้จ่างซุนเลี่ยไม่อาจโต้แย้งอยู่บ้างแต่จ่างซุนเลี่ยรู้ว่าเจ้าหมอนี่ไม่มีทางไม่เห็นแก่ตัวคิดเพื่อส่วนรวมเช่นนี้แน่!หากเจ้าหนูนี่ให้ยืมศรธนูคู่นี้จริง หลังจากนั้นตัวแปรที่อาจเกิดขึ้นคงมากเหลือเกิน ดั่งคำว่าสมบัติกระเทือนใจคน นับประสาอะไรกับสมบัติพลิกฟ้าเช่นนี้ก็แม้แต่จ่างซุนเลี่ยเองยังใจเต้นไม่หยุด วัดจากจุดนี้ยิ่งทำให้เขากล้ามั่นใจ ว่าแม้เป็นราชันระดับสังสารวัฏเผชิญหน้าศรธนูคู่นี้ เกรงว่าคงเกิดความคิดไม่สมควรมากมายเต็มไปหมด!หากให้ฉินฉู่ยืมล่ะก็ อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันอย่าง ‘อ้อยเข้าปากช้าง’ เป็นแน่!“ขออภัย เรื่องนี้ข้าคงช่วยไม่ได้”เหนือความคาดหมายจ่างซุนเลี่ย หลินสวินไม่มีความลำบากใจแม้เพียงเสี้ยว เอ่ยปากปฏิเสธตรงๆ เห็นชัดว่าตรงไปตรงมายิ่ง‘เจ้าหนูนี่ห้าวหาญซะจริง!’ จ่างซุนเลี่ยแอบชื่นชมทว่านี่กลับทำให้ฉินฉู่รับมือไม่ทันอยู่บ้าง ไม่ทันไรสีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นไม่ใคร่น่าดู กล่าวเสียงต่ำ “คุณชายเสี่ยวหลิน เรื่องนี้พัวพันกับความปลอดภัยของค่ายทั้งแปดแห่งจักรวรรดิ ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิ จะไม่สนใจใยดีเชียวรึ”นี่มันเอา ‘คุณธรรม’ มาขู่กันแล้ว!ในใจหลินสวินเกิดความสะอิดสะเอียนอย่างบอกไม่ถูกทันใด ไอ้แก่นี่น่ารังเกียจเกินไปแล้ว เห็นอยู่ทนโท่ว่าละโมบสมบัติของเขา ยังดันทุรังพูดเรื่องคุณธรรมจักรวรรดิ ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!หลินสวินหัวเราะเย็นชา “เหอะ หรือว่าหากขาดความช่วยเหลือจากข้าไป ค่ายทั้งแปดแห่งจักรวรรดิก็ไม่อาจยืนหยัดต่อเชียวรึ หลายพันปีที่กองทัพจักรวรรดิของเราสามารถกรำศึกบนสมรภูมิกระหายเลือดมาจนตอนนี้ เกรงว่าคงไม่ใช่อาศัยสมบัติในมือข้าผู้แซ่หลินกระมัง”หากเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น เมื่อเผชิญหน้ากับการร้องขอของราชันผู้หนึ่ง ถึงแม้ในใจจะอึดอัดก็กลัวแต่ว่าจะต้องยอมจำนนแต่หลินสวินไม่ใช่เช่นนั้น นี่ทำให้ฉินฉู่ยิ่งรู้สึกเสียหน้า ในใจบังเกิดโทสะอยู่บ้าง ท่าทีก็เปลี่ยนเป็นไม่เกรงใจขึ้นมา “คุณชายเสี่ยวหลิน เจ้าทำเช่นนี้เห็นแก่ตัวเกินไปแล้ว หากแพร่งพรายออกไป เกรงว่าคงทำให้ผู้ฝึกปราณทั้งจักรวรรดิต่างผิดหวัง!”“ฉินฉู่ เจ้าจะมากไปแล้ว! สมบัติเป็นของเขา มีสิทธิ์อะไรจะยืมมาให้ได้” จ่างซุนเลี่ยไม่อาจทนดูต่อไป ส่งเสียงตะโกนลั่นบรรยากาศครึกครื้นกลมกลืนในงานเลี้ยงอันตรธานหายไป เปลี่ยนเป็นกดดันและครัดเคร่งอยู่บ้างกลับเห็นฉินฉู่หยัดร่างขึ้น สีหน้าเคร่งขรึม แววตาดั่งอสนีบาต กล่าวเย็นชา “มีสิทธิ์อะไร? ก็สิทธิ์ที่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความปลอดภัยของค่ายทั้งแปดแห่งจักรวรรดิน่ะสิ! เจ้าจ่างซุนเลี่ยอาจไม่สนใจใยดี แต่ข้าไม่สามารถ! วันนี้ข้ายอมล่วงเกินพวกเจ้า แต่อย่างไรก็ต้องทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ!”จ่างซุนเลี่ยเองก็ตบโต๊ะลุกขึ้น โกรธจัดจนกลายเป็นหัวเราะ “นี่เจ้าคิดแย่งกันซึ่งหน้ารึ”“ไม่ ข้าแค่ใช้วิธีการของตนเอง ทำให้คุณชายเสี่ยวหลิน ‘ช่วย’ ค่ายทั้งแปดแห่งจักรวรรดิเราครั้งหนึ่ง!”ฉินฉู่น้ำเสียงกังวานมีพลัง จากนั้นเขาเหลือบมองจ่างซุนเลี่ยวูบหนึ่ง “พี่จ่างซุน วันนี้เจ้าใช้พลังกายไปไม่น้อยคงเหนื่อยแล้ว ข้าว่าเจ้าอย่าขัดขวางข้าดีกว่า”ในเสียงเจือแววเตือนและข่มขู่จ่างซุนเลี่ยโกรธจนหน้าเขียว ด่าว่า “เจ้านี่แม่งคิดจะลงมือในถิ่นข้ารึ”ฉินฉู่กล่าวสีหน้าไร้อารมณ์ “คุณธรรมมาก่อน แม้ข้าไม่ปรารถนาแต่กลับไม่อาจไม่ทำ ขอพี่จ่างซุนโปรดเข้าใจ”หลินสวินพลันเอ่ย “เรียนถามผู้อาวุโส ท่านมาจากตระกูลฉินในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงของจักรวรรดิหรือ”ฉินฉู่ชะงักไป ก่อนพยักหน้ากล่าว “ไม่ผิด แต่นั่นเป็นเรื่องรอง ในสมรภูมิกระหายเลือดนี้ฐานะข้ามีเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือผู้ฝึกปราณที่ยินยอมหลั่งเลือดพลีชีพเพื่อปกป้องดินแดนแห่งจักรวรรดิ!”‘มิน่าล่ะ ที่แท้ไอ้แก่นี่ก็เป็นคนตระกูลฉิน…’ นัยน์ตาดำของหลินสวินเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นยิ่งกว่าเดิมสองตระกูลฉิน จั่วก็คือศัตรูคู่อาฆาตของพวกเขาตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต!“เช่นนั้นข้ากลับสงสัยนัก ว่าเพื่อผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิที่กรำศึกหลั่งเลือดในสมรภูมิกระหายเลือดเหล่านี้ ตระกูลฉินของท่านสามารถมอบทรัพย์สินและกำลังทั้งหมดให้ได้หรือไม่”หลินสวินตาต่อตา ฟันต่อฟันทว่าเขายังประเมินความหน้าด้านของฉินฉู่ต่ำไป ก็เห็นฝ่ายหลังสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวเสียงขรึมเด็ดเดี่ยว “หากจักรวรรดิต้องการ ตระกูลฉินของข้ามีหรือจะปฏิเสธ”แม้แต่จ่างซุนเลี่ยและหลูเหวินถิงยังทนฟังต่อไปไม่ไหว นี่เห็นชัดว่าโกหกตอแหลและพูดไปเรื่อย แม้แต่คนปัญญาอ่อนยังดูออกว่ากำลังปั้นน้ำเป็นตัวแต่หลินสวินกลับคล้ายจะเชื่อ ปรบมือกล่าวชื่นชม “ผู้อาวุโสห้าวหาญจริงดังคาด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้พวกเราร่างหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร ข้าให้ยืมสมบัติในมือ แต่ท่านต้องรับรองว่าหลังจากสามเดือนเมื่อช่องทางมุ่งสู่จักรวรรดิเปิดออก จะนำทรัพย์สินและกำลังทั้งหมดของตระกูลฉินเข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือดเป็นอย่างไร”“แน่นอนว่าข้า…”ฉินฉู่กำลังรับปาก คิดว่าถึงอย่างไรก็แค่สัญญาฉบับหนึ่ง สำหรับเขาและตระกูลฉินที่อยู่เบื้องหลังหาใช่ข้อผูกมัดอะไรแต่แรกแต่ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากล เพราะยามนี้การแสดงออกของจ่างซุนเลี่ยถึงกับนิ่งสงบยิ่ง ความคิดที่จะขัดขวางสักนิดล้วนไม่มี กระทั่งยังดูเหมือนหวังให้ตนทำเช่นนี้อยู่บ้างนี่เห็นชัดว่าผิดปกติเกินไปแล้ว!ฉินฉู่เปลี่ยนประเด็นทันที กล่าวว่า “เรื่องนี้สามารถเจรจารายละเอียดภายหลัง ตอนนี้ข้าแค่อยากถามสักประโยค คุณชายเสี่ยวหลินยังยืนกรานไม่ยอมช่วยเหลือเรื่องนี้หรือไม่”แววเย็นเยียบในนัยน์ตาเขาไหวเคลื่อน เจือความข่มขู่ คล้ายว่าขอเพียงหลินสวินพูดไม่คำเดียว เขาก็จะลงมือทันทีจ่างซุนเลี่ยถอนใจออกปาก “หากเจ้าลงนามเป็นลายลักษณ์อักษร ข้ากลับยินดีผลักดันเรื่องนี้ยิ่ง น่าเสียดาย เจ้าฉินฉู่ดันไม่กล้า นี่ก็พิสูจน์แล้วว่าคุณธรรมที่เจ้าพูดถึงเมื่อครู่ แม่งแค่ข้ออ้างที่เทียบอึหมายังไม่ได้!”ทันใดนั้นกลิ่นอายทั่วร่างเขาพลันเปลี่ยนเป็นพิฆาตและดุดัน กดดันหาใดเปรียบ นัยน์ตาดุจปลายดาบจับจ้องฉินฉู่ “วันนี้หากเจ้ากล้าลงมือใช้กำลัง ข้ายอมสู้จนตายก็ไม่ยอมให้เจ้าสมปรารถนา หากไม่เชื่อเจ้าลองดูได้เลย!”…………………
คอมเม้นต์