Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 661 ท้าทายตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง

อ่านนิยายจีนเรื่อง Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 661 ท้าทายตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

นครต้องห้าม ร้านสมประสงค์
จั่วเป่าหลินนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ไม้พนักสูงซึ่งสร้างจากไม้จันทน์เมฆาทั้งแผ่น ปากกำลังคาบปล้องยาสูบที่แกะสลักจากหยกดำพลางพ่นควันออกมา
ด้านหลังเขายังมีสาวน้อยแรกแย้มสวยน่ารัก สวมอาภรณ์เผยเนื้อหนังนางหนึ่งกำลังช่วยนวดไหล่บ่าให้เขา
อีกฟากหนึ่งนักดนตรีผู้หนึ่งกำลังบรรเลงพิณ ทำนองเพลงขับขานไม่รู้จบ เรียบง่ายสง่างาม ทั่วห้องอุดมไปด้วยกลิ่นอายสงบดั่งบทกวีและภาพวาด
จั่วเป่าหลินเป็นเถ้าแก่ร้านสมประสงค์ เขาเป็นคนตระกูลรองของตระกูลจั่ว หนึ่งในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง
เขาไม่มีพรสวรรค์ด้านฝึกปราณเท่าไรนัก ถึงขั้นเห็นชัดว่าธรรมดาสามัญยิ่ง ในตระกูลเองไม่มีฐานะอะไร แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนตระกูลจั่ว
อาศัยแค่ฐานะระดับนี้ก็ทำให้เขากลายเป็นเถ้าแก่ร้านสมประสงค์แล้ว คนร่วมอาชีพพบเจอยังต้องเคารพนับถือถึงสามส่วน
แต่ละวันเขาแค่อาศัยกิจการค้า เงินทองก็เข้ามาเป็นกอบเป็นกำแล้ว ด้วยเหตุนี้ชีวิตจึงผ่านไปอย่างมีรสมีชาติ ถึงขั้นเรียกได้ว่าสุรุ่ยสุร่าย
ปึง!
ประตูห้องพลันถูกกระแทกเปิดออก ชายชราท่าทางราวผู้ดูแลคนหนึ่งพุ่งล้มลุกคลุกคลานเข้ามา ท่าทีราวกับไฟลนก้น
ทันใดนั้นบรรยากาศไพเราะเงียบสงบภายในห้องถูกทำลาย แม้แต่จั่วเป่าหลินยังถูกทำให้ตกใจ มือพลันสั่นระริก สะเก็ดยาสูบในปล้องสูบร่วงใส่ริมฝีปาก เจ็บจนเขาแยกเขี้ยวตะโกนเสียงกร้าว “ไอ้เวร! ลุกลี้ลุกลนเช่นนี้ ชิงไปตายรึไง!”
“นายท่าน เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!” ผู้ดูแลสีหน้าร้อนรนตะโกนลั่น
“หึ! เรื่องใหญ่อะไรกัน ฟ้าจะถล่มลงมารึไง”
จั่วเป่าหลินสูดหายใจลึก โบกมือไล่สาวน้อยแรกแย้มที่นวดไหล่และชายชราดีดพิณนั่นออกไป จากนั้นจึงขมวดคิ้วกล่าว “เหลาหม่า ไม่ใช่ข้าว่าเจ้า แต่หากบุตรสาวเจ้าไม่ใช่อนุภรรยาข้า อาศัยนิสัยใจร้อนอย่างเจ้า ข้าคงเฉดหัวเจ้าออกไปนานแล้ว!”
เหลาหม่าพลันเหงื่อออกเต็มหน้า ร่ำไห้โอดครวญ “นายท่าน มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นจริงๆ นี่ข้าเป็นห่วงแทนท่านหรอกหนา”
“อ้อ ลองบอกมาให้ละเอียดสิ”
จั่วเป่าหลินสงบใจยิ่ง เขาอิจฉาบรรดาคนใหญ่คนโตที่สุขุมมั่นคงและไม่แสดงอารมณ์มาตลอด
ดังคำว่า ‘ใจมีฟ้าร้องแต่ใบหน้าดุจทะเลสาบราบเรียบ’ นี่สิถึงจะเป็นบุคลิกของบรรดาคนใหญ่คนโต หากทันทีที่ประสบกับเรื่องเล็กน้อยก็ตระหนกตกใจเกินเหตุ นั่นคงเสียหน้าเกินไปแล้ว
“คือ… คนของตระกูลหลินมาอีกแล้ว หมายริบเอาร้านสมประสงค์ของพวกเราไป!” ผู้ดูแลเหลาหม่ามิอาจสงบใจ เอ่ยด้วยใบหน้าร่ำไห้คร่ำครวญ
“หึ! ตระกูลหลินนี่ไม่รู้จักดีชั่วซะจริง คิดหรือว่าหลังจากหลินสวินนั่นกลับมาจะสามารถทำตัวอันธพาลตามอำเภอใจ วางอำนาจบาตรใหญ่ได้”
จั่วเป่าหลินแค่นเสียงปรามาส เขาสงบใจยิ่งกว่าเดิม “นครต้องห้ามนี้ เขาตระกูลหลินเทียบกับตระกูลทรงอิทธิพลชั้นล่างยังไม่ได้ กับตระกูลจั่วของข้ายิ่งเป็นแค่เจ้าตัวเล็กๆ ไม่ควรค่าให้เหลือบแลสักนิด อาศัยพวกเขาคิดอยากชิงร้านสมประสงค์กลับคืน? ฝันเฟื่องสิ้นดี!”
“นายท่าน ท่าน… มิสู้ท่านออกไปลองดูหน่อยเถอะ ครานี้เห็นชัดว่าพวกเขาคิดเอาจริงแล้ว” เหลาหม่ายังคงตัวสั่นระริก ท่าทางหวาดกลัวสุดขีด
“เหลาหม่า เจ้านี่มันสงบใจหน่อยได้หรือไม่ หืม? แม้เป็นหลินสวินนั่นมาด้วยตนเองแล้วอย่างไร ต่อให้เขาจะร้ายกาจแค่ไหน มีหรือจะกล้าเปิดฉากเป็นศัตรูกับพวกเราตระกูลจั่ว”
จั่วเป่าหลินดูถูกเหลาหม่ายิ่งกว่าเดิม แทบอยากจะเฉดหัวไอ้แก่ไม่ได้เรื่องนี่ออกไป ล้วนเก็บอาการไม่อยู่สักนิด ช่างอับอายขายหน้าจริงๆ
“แต่ว่า…”
เหลาหม่ายังจะอธิบายอะไรก็ถูกจั่วเป่าหลินตัดบทอย่างหงุดหงิด “เหลาหม่า เจ้าเป็นทึ่มทื่อสายตาตื้นเขิน ไม่เข้าใจว่าอะไรที่เรียกว่าขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงสักนิด ในนครต้องห้ามแม้แต่ราชวงศ์ยังไม่กล้าล่วงเกินพวกเราโดยง่าย นับประสาอะไรกับหลินสวินเพียงคนเดียว”
พูดถึงตอนท้ายสุด เขาตวาดอย่างไม่ได้ดั่งใจ “จำไว้ นายท่านของเจ้าคือคนตระกูลจั่ว ในนครต้องห้ามมีไม่กี่คนที่กล้าหาเรื่องข้า!”
ตูม!
แต่เวลานี้เองข้างนอกพลันเกิดเสียงระเบิดอึกทึกสนั่นหู แม้ห่างออกไปไกล แต่ยังคงสะเทือนจนถ้วยชาในห้องนี้โงนเงน โต๊ะเก้าอี้สั่นระรัว
“หืม?”
จั่วเป่าหลินสีหน้าอึมครึมชั่วขณะ พลันผุดลุกขึ้น “หรือว่า… พวกเขากล้าลงมือจริงๆ งั้นรึ ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ!”
เพียะ!
พูดถึงตอนท้ายสุด เขาฟาดฝ่ามือหนึ่งใส่หน้าเหลาหม่าก่อนด่าว่า “ไอ้แก่เวรนี่ไม่เอาอ่าวซะจริง เกิดเรื่องใหญ่ระดับนี้ทำไมเจ้าไม่รีบบอก”
เหลาหม่ากุมใบหน้าอย่างน้อยใจ แทบร้องไห้ออกมา ตั้งแต่เข้ามาข้าก็บอกแล้วว่าเกิดเรื่องใหญ่ แต่เจ้าไม่เชื่อก็ช่างเถอะ ทำไมโยนความผิดให้ข้าซะอย่างนั้น
“ประเดี๋ยวค่อยมาคิดบัญชีกับเจ้า!”
เวลานี้จั่วเป่าหลินไม่อาจเงียบสงบ และไม่อาจเรียนรู้ความสงบแบบ ‘ใจมีฟ้าร้องแต่ใบหน้าดุจทะเลสาบราบเรียบ’ ดังเช่นบรรดาคนใหญ่คนโตอีกต่อไป
เขาราวไฟลนก้นเหมือนเหลาหม่าเมื่อครู่ รีบเร่งพุ่งออกไปพลางตะโกนลั่น “มารดามันเถอะ ข้าอยากดูนักว่าไอ้ตัวไหนไม่แหกตามอง ถึงกับกล้าวิ่งมาลำพองยังอาณาเขตของข้า เด็กๆ! จัดการเจ้าพวกนี้ให้ข้า! วันนี้… เอ้อ…”
เพียงแต่เขาราวกับเป็ดที่ถูกหนีบคอก็มิปาน เสียงพลันหยุดชะงักลง
ในครรลองสายตาเขา ในโถงใหญ่ร้านสมประสงค์ที่ใหญ่ยิ่ง บัดนี้ถึงกับเกลื่อนกลาดระเนระนาดไปทั่ว ทั้งโต๊ะเก้าอี้ โต๊ะคิดเงิน เครื่องประดับตกแต่ง กระทั่งบนผนังบนเสาหินล้วนเสียหายอย่างยากจินตนา
และบนพื้นดินมีแอ่งโลหิตนอง ร่างไร้วิญญาณมากมายก่ายกองยุ่งเหยิงอยู่ในนั้น ชวนประหวั่นตกตะลึง
เหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้คุ้มกันร้านสมประสงค์ ตอนนี้กลับตายหมดแล้ว!
“ถึงกับ… ถึงกับมีคนกล้าลงมือกับกิจการตระกูลจั่วของพวกเขา! พวกมันตระกูลหลินไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่ไหม!”
จั่วเป่าหลินสีหน้าเปลี่ยนเป็นคล้ำเขียวหาใดเปรียบ โมโหจนควันออกหู ความนิ่งสงบสุขุมอะไรถูกปัดหายไปนานแล้ว
สายตาเขาพลันมองเห็นมือสังหาร
ฝ่ายตรงข้ามสะดุดตายิ่งนัก รูปร่างราวภูผาสูงตระหง่าน ผ่าเผยเย้ยฟ้าท้าดิน สีหน้าเย็นเยียบเฉยชา ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสบายอารมณ์ มีกลิ่นอายกดดันพาให้ผู้คนหายใจลำบาก
ในมือเขาถือดาบศึกสีโลหิตที่ยังโชกเลือดเล่มหนึ่ง มุกโลหิตร่วงหล่นสู่พื้นและกระเซ็นแตกตัว สีแดงสดบาดตา
“จะ เจ้า… เจ้ากล้ามากนักนะ! เจ้ารู้ถึงผลของการกระทำเช่นนี้หรือไม่ เจ้ารู้ไหมว่าล่วงเกินตระกูลจั่วของข้าแล้วต้องจ่ายค่าตอบแทนสาหัสระดับใด”
จั่วเป่าหลินกรีดร้องอย่างโกรธแค้น แท้จริงในใจหวาดผวาเหลือจะเอ่ย
คนเหี้ยมโหดคนหนึ่งเยี่ยงนี้ ถึงกับบุกสังหารร้านสมประสงค์โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย สังหารจนเลือดนองท่วมแผ่นดิน น่าสยดสยองเกินไปแล้ว
สิ่งที่ตอบกลับเขาคือแสงดาบวูบหนึ่ง
หมดจดชัดเจนราวเชือดไก่ฆ่าลิง เพียงผลุบเดียวจั่วเป่าหลินก็ศีรษะแยกกับร่าง ต่อให้ตายไปแล้วเขาก็ยังไม่อาจเข้าใจ ว่าเหตุใดจึงมีคนที่ไม่หวั่นเกรงอะไรถึงเพียงนี้ บทจะลงมือก็ลงมือ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เอ่ยวาจาสักคำ
เพราะคำพูดมีค่าดั่งทอง หรือเป็นการปรามาสอย่างหนึ่งกันแน่
จั่วเป่าหลินไม่รู้ ว่าเขาได้ตายไปแล้ว
ส่วนเหลาหม่าซึ่งตามออกมายิ่งตกใจจนแผดเสียงคำหนึ่ง อ่อนแรงลมจับล้มลงกับพื้น
“ดาบดี!”
กระทั่งจากไปจูเหล่าซานจึงเช็ดคราบเลือดบนดาบศึกออก นัยน์ตาฉายแววชอบใจเสี้ยวหนึ่ง
ดาบศึกเล่มนี้คือสิ่งที่หลินสวินมอบให้แก่เขา นามว่า ‘ผลาญสวรรค์’ ได้ยินว่าเป็นสมบัติโบราณชิ้นหนึ่งซึ่งตกทอดมาจาก ‘เผ่าคชามาร’ แห่งส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณ กลิ่นอายสังหารแผ่กระจาย ต้องเป็นอาวุธดุดันอย่างหนึ่งแน่นอน

เหตุการณ์อย่างเดียวกันทยอยเกิดขึ้นหลายที่ในนครต้องห้าม
ร้านสมบัติขุมเจริญ
โรงยาสุวรรณมงคล
หอสุราสวนสำราญ
… กิจการตระกูลหลินซึ่งถูกสองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงจั่วและฉินยึดครองเหล่านี้ วันนี้ต่างล้วนต้อนรับการนองเลือด!
แต่ละขุมอำนาจที่เดิมกำลังสนใจการเคลื่อนไหวสองตระกูลจั่วและฉิน ไหนเลยจะคิดว่าผู้ที่ชิงลงมือก่อนจะเป็นตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต
ทันใดนั้นพวกเขาต่างตื่นตะลึง ฮือฮากันยกใหญ่
เมื่อคืนหลินสวินบุกสังหารสามตระกูลรองของตระกูลหลิน เหตุการณ์นองเลือดชวนตระหนกก่อนหน้ายังพอเข้าใจได้ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องภายในตระกูลหลินของพวกเขา
แต่ใครเล่าจะคาดคิด เพิ่งผ่านไปคืนเดียว ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตก็ออกจู่โจมอย่างแข็งกร้าวอีกครั้ง ลงมือกับกิจการซึ่งตระกูลจั่วและฉินครอบครอง
ทั้งยังลงมืออย่างแข็งกร้าว ใครเห็นต่างก็สังหารยกใหญ่ ไม่อ้อมค้อมและเจรจาแต่แรก!
“ตระกูลหลินนี่ยังไง บ้าไปแล้วรึ นั่นน่ะเป็นสองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงเชียวนะ พวกเขาถึงกับกล้าลงมือเช่นนี้เชียวรึ”
ผู้คนมากมายตื่นตระหนก ต่างไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
โดยเฉพาะขุมอำนาจใหญ่บางส่วนยิ่งตกอยู่ในความอึกทึกครึกโครม พวกเขาไม่คิดว่าคนอย่างหลินสวินจะบ้าไปแล้ว ในเมื่อเขากล้าทำเช่นนี้ จะเป็นเพราะมีที่พึ่งอยู่หรือไม่
“เจ้าหมอนี่หายไปครึ่งปี ความเหี้ยมโหดยังไม่ลดลงจากปีนั้น ถึงขั้นดูเหมือนจะโหดร้ายป่าเถื่อนยิ่งกว่า ฉีกหน้าตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงโดยตรง ตลอดเวลาที่ผ่านในจักรวรรดิ น้อยนักจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น!”
ผู้ฝึกปราณมากมายทอดถอนใจ ถูกความแข็งกร้าวของหลินสวินทำเอาหวาดหวั่น
หลินสวินในปีนั้นกล้าบีบบังคับหลิงเทียนโหวให้คุกเข่า กล้าตบหน้าองค์หญิงหลิงหวงต่อหน้าธารกำนัล
เขาในเวลานี้ยิ่งไปกันใหญ่แล้ว เพิ่งหวนคืนนครต้องห้ามก็ท้าท้ายตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง เห็นชัดว่าป่าเถื่อนดุดันเกินไปแล้ว!
“เจ้าเด็กนี่เกรงว่าครานี้คงจะสะดุดล้มครั้งใหญ่แล้ว ไม่ต้องพูดว่าเขาเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่ง และไม่ต้องพูดถึงว่าพลังต่อสู้เขาเก่งกาจเพียงใด ท้ายที่สุดเขาก็แค่คนคนหนึ่ง มีความมั่นใจอะไรไปท้าทายตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง”
“ขนาดราชันระดับสังสารวัฏยังล้วนไม่กล้าพูดเพ้อเจ้อว่าจะไปท้ารบตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงหนึ่งเลย!”
“ดูท่า สุดท้ายแล้วเขาก็ยังเด็กเกินไป คิดว่าประสบความสำเร็จบางส่วนก็สามารถแผลงฤทธิ์ในนครต้องห้ามได้ กลับไม่รู้ว่าตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงสามารถยืนหยัดในจักรวรรดิเป็นเวลาหลายพันปีจวบจนปัจจุบัน ที่อาศัยไม่ใช่เพียงพลังอันผิวเผินพวกนั้น สำหรับขุมอำนาจใหญ่เช่นนี้ การฆ่าหลินสวินคนเดียวไม่ใช่เรื่องยากอะไรแต่แรก”
และมีขุมอำนาจใหญ่บางส่วนสังเกตการณ์อย่างเย็นชาอยู่ข้างๆ ไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้ของหลินสวิน คิดว่าเขาดีใจกับชัยชนะจนเสียสติ นึกหรือว่าเพื่อแก้ปัญหาภายในตระกูลแล้ว ก็สามารถไปท้าทายตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงได้
นี่ช่างน่าขันเกินไปแล้ว!
อะไรคือตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง
นั่นคือสิ่งที่ต่อให้กวาดตามองทั่วนครต้องห้าม ยังเรียกได้ว่าเป็นสิ่งใหญ่โตมหึมา อิทธิพลแผ่ทั่วใต้หล้า ไม่ว่าเหนือวัดวาอารามหรือท่ามกลางสามัญชน ต่างมีพลังของพวกเขาดำรงอยู่!
กล่าวอย่างไม่โอ้อวดแม้แต่น้อย ในจักรวรรดิทุกวันนี้นอกจากขุมอำนาจอย่างราชวงศ์ สำนักศึกษามฤคมรกต ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณเหล่านี้ ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงก็นับว่าสูงสุด!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินกลับท้าทายสองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง ตระกูลจั่วและฉินอย่างแข็งกร้าว สำหรับคนภายนอกแล้วย่อมเป็นการไม่ประมาณตนเองอยู่บ้าง
และเพราะความปั่นป่วนโกลาหลซึ่งโหมกระพือจากเรื่องนี้ การไม่ยอมรับและเย้ยหยันต่อการกระทำของหลินสวินยิ่งมีมากขึ้น
เจ้า หลินสวิน เป็นผู้กล้ารุ่นเยาว์ซึ่งพบเห็นได้ยาก ครองอำนาจเหนือผู้คนระดับเดียวกัน มีฐานะเจิดจรัสมากมาย พาให้ใครๆ ต่างจับจ้องจริงดังว่า แต่หากคิดว่าอาศัยเพียงสิ่งเหล่านี้ก็สามารถท้ารบตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงได้ นั่นก็น่าขันเกินไปแล้ว
…………………….

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด