Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 422 ลำนำแห่งผู้กล้า
เดิมทีผู้ที่อยู่ในที่นั้นล้วนเป็นผู้ฝึกปราณ ไม่ว่าจะอ่อนเยาว์หรือสูงวัย ความมั่นคงทางอารมณ์ล้วนไม่สามารถถูกกระทบกระเทือนได้โดยง่ายแต่บทเพลงที่หลิ่วชิงเยียนแต่งขึ้นนี้พิเศษนัก ในศาสตร์ดนตรีมีวิชา ‘สุรเสียงผกาจุติ’ จังหวะในเพลงยิ่งใหญ่รุ่มรวย หายากยิ่งนักควรรู้ว่าในตำนาน เมื่อครั้งบรรพกาลมีผู้มีความสามารถสูงใช้ดนตรีเพื่อเข้าถึงหนทางแห่งการฝึกปราณ ร้องออกมาเพียงเสียงเดียวก็สามารถบดขยี้ภูผานที สลายดวงดารา!จากจุดนี้ก็รู้ได้ว่า ความลี้ลับของศาสตร์แห่งดนตรีก็มิได้ธรรมดาเด็ดขาดนอกจากนี้ กลุ่มนักดนตรีที่มากับหลิ่วชิงเยียนล้วนเป็นปรมาจารย์ที่คร่ำหวอดในศาสตร์การดนตรีมานานปี เครื่องดนตรีที่ใช้ก็ล้วนไม่ธรรมดาเมื่อพวกเขาแสดงด้วยกัน ท่วงทำนอนนี้ถึงได้สะเทือนจิตใจคนเช่นนี้ พาให้ทุกคนในที่นั้นล้วนซาบซึ้งเพราะสิ่งนี้ ดำดิ่งลงไปอย่างไม่สามารถถอนตัวได้ภายในโถง เสียงดนตรีบรรเลงสู่จุดสูงสุด ใบหน้าของหลิ่วชิงเยียนแฝงความรู้สึกฮึกเหิมเปล่งปลั่งรางๆ ริมฝีปากนางแย้มออก เสียงร้องราวเสียงสวรรค์ ใช้การออกเสียงกังวานอันเป็นเอกลักษณ์เหมาะเจาะกับรูปปากวิจิตร เปล่งเสียงสวรรค์ออกมาอย่างงดงามธาราธารโคจรคล่อง ไหลเวียนว่องมโหฬารมังกรซ่อนทะยานห้อ กรงเล็บล้อระบำหาญพยัคฆ์น้อยร้องคำราม ล้วนครั่นคร้ามร้อยชีวินอินทรีแรกโผผิน ธุลีดินละล่องลอยบุปผางามผลิเคลื่อนคล้อย งามหยดย้อยละลานตา!เหนือศีรษะจรดฟ้า ใต้บาทาจรดดินมากเรื่องราวให้ผ่านผิน ทะลวงถิ่นอันกว้างไกลอนาคตราวห้วงสมุทร ไพศาลดุจไร้เขตเอยทุกถ้อยทุกคำราวลมฟ้าสะท้านสะเทือน ภูผานทีพากันสั่นไหว พาให้ผู้คนในโถงตำหนักประหนึ่งได้เห็นว่าบนสนามรบนองเลือดนั้น ขุนศึกจักรวรรดิเรือนพันหมื่นกายอาบด้วยแสงอุษา เท้าเหยียบย่ำลงบนศพของศัตรูราวกับมองเห็นบ้านเมืองของจักรวรรดิที่เรืองรอง มีชีวิตชีวากระปรี้กระเปร่า ราวดรุณที่ได้เกิดใหม่ท่ามกลางกองเพลิงกำลังผุดขึ้นอย่างแข็งกล้า ย่างเท้ามุ่งหน้า พาให้ไพรีรอบทิศขวัญฝ่อ!ความรู้สึกที่แผดเผาลุกโชนนั้น บทเพลงที่สั่นสะเทือนจิตวิญญาณนั้น นำพาให้ทุกคนบ้างหวั่นไหว บ้างตื่นเต้น บ้างตั้งหน้าตั้งตาคอย บ้างทอดถอนใจ…หลินสวินเองก็ถูกชักนำไปด้วยอย่างที่สุด เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกไหวสะท้านไปกับศาสตร์การดนตรี อารมณ์ราวแผดเผาฮึกเหิม เกิดเป็นเสียงระงมแข็งกล้าท่วงทำนองนี้ยิ่งใหญ่ไพศาล เกรียงไกรหาใดเทียมคำร้องนี้งดงามไร้ตำหนิ สะท้อนแสงเรืองรองให้แก่กัน!ทันใดนั้นท่วงทำนองหยุดชะงักชั่วขณะ ในชั่วพริบตาทั้งโถงตำหนักแว่วเสียงอ้อยอิ่ง มีเพียงความเงียบสงัด ฝูงชนที่นั่งอยู่เพียงรู้สึกว่าในใจพลันถูกกดทับ คล้ายมีความรู้สึกที่ใกล้ปะทุ แต่กลับยากระบายออกมาได้และในเวลานี้เอง ดวงตาสุกสกาวของหลิ่วชิงเยียนเปล่งประกายขึ้น ทั้งกายอบอวลไปด้วยพลังที่ยากบรรยายสายหนึ่ง ขับร้องสองท่อนสุดท้ายออกมาจากริมฝีปากงามงดนัก จักรวรรดิวัยเยาว์แห่งข้า เยาว์วัยไม่แก่เฒ่าดุจท้องนภา!ห้าวหาญนัก จักรวรรดิวัยเยาว์แห่งข้า หาญกล้ายิ่งยงดุจผืนปฐพี!สองท่อนนี้เหมือนฟ้าผ่ากระแทกกระทั้นลงกลางประตูใจในฉาดเดียว ดึงความรู้สึกที่ถูกกดทับของทุกคนในที่นั้นให้ปะทุออกมาจนสิ้นดั่งน้ำที่ท่วมปริ่มเขื่อน ซัดสาดไหลเชี่ยวเกรียงไกร!ดั่งภูเขาไฟที่ปะทุคลั่ง เอ่อล้นบรรพตนที!ทุกคนล้วนรู้สึกว่าจิตวิญญาณสั่นเทิ้ม จิตใจกระวนกระวายไม่เป็นตัวเอง สองท่อนสุดท้ายนี้ราวกับแต้มจุดเพิ่มลงบนภาพที่งดงาม ทำให้ทั้งบทเพลงยิ่งเลิศล้ำขึ้นไปอีก ถึงระดับที่ ‘เสียงประสานฟ้าดิน หมื่นวิญญาณร่วมขับขาน’บทเพลงนี้จบลง แต่เสียงยังลอยอ้อยอิ่ง สะท้อนก้องในโสตประสาทสีหน้าของทุกคนล้วนตกอยู่ในภวังค์ จิตใจไหวกระเพื่อม พวกคนหนุ่มสาวยิ่งหายใจหอบยกใหญ่ สั่นเทิ้มไปทั้งตัวนี่ก็คือบทเพลงใหม่ของหลิ่วชิงเยียน ใช้วิธีการด้านดนตรีชนิดหนึ่ง แสดงการขับร้องที่เรียกได้ว่าน่าตื่นตาตื่นใจสะท้อนก้องตำหนักกลาง“ลำนำนี้ควรมีเพียงบนสวรรค์เท่านั้น ในโลกนี้จะได้ยินสักกี่ครั้งนะ!”ผ่านไปครู่ใหญ่มีผู้ชราคนหนึ่งเอ่ยทอดถอนใจ พริบตาก็ดึงดูดเสียงเห็นชอบ ปรบมือชื่นชมเซ็งแซ่ไม่หยุดหย่อนจริงแท้แน่นอน บทเพลงใหม่เพลงนี้ ไม่ว่าจะเป็นท่วงทำนองหรือเนื้อเพลงที่เขียนขึ้น ล้วนเรียกได้ว่าน่าตื่นตาตื่นใจเกินธรรมดา กอปรกับเสียงร้องปานเสียงสวรรค์ของหลิ่วชิงเยียนที่จมลึกถึงก้นบึ้งจิตวิญญาณ ความสามารถในการสั่นสะท้านจิตใจคนที่แสดงออกมานั้น ย่อมไปถึงขั้นที่ไม่เคยมีมาก่อนมิเช่นนั้นกลุ่มคนใหญ่คนโตกับพวกผู้กล้ารุ่นเยาว์ในที่นี้ ย่อมไม่มีทางหวั่นไหวเช่นนั้นชั่วขณะหนึ่งสายตาที่ฝูงชนมองไปยังหลิ่วชิงเยียนก็พากันเปลี่ยนไป ยิ่งชื่นชมและเทิดทูน ถึงกับร้อนรุ่มและคลั่งไคล้สตรีงดงามที่มีพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถ ใครจะไม่ชื่นชมได้เล่าขนาดหลินสวินในใจยังทอดถอนใจอย่างยิ่ง“ทักษะเข้าขั้น เนื้อเพลงและทำนองไพเราะ หายากยิ่งนัก เด็กๆ จัดหาที่นั่งให้พวกเขา”บนบัลลังก์ จักรพรรดินีเอ่ยชมเมื่อหลิ่วชิงเยียนนั่งลง จักรพรรดินีก็ถามขึ้นอีก “เพลงนี้มีนามว่าอะไร”หลิ่วชิงเยียนพูดขึ้นด้วยความเคารพ “ขอองค์จักรพรรดินีพระราชทานนามเพคะ”จักรพรรดินีใคร่ครวญครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ที่จักรวรรดิจื่อเย่าของเรายืนหยัดถึงทุกวันนี้ ให้กำเนิดผู้เก่งกล้าสามารถไม่รู้เท่าไร พวกเขาโรมรันในสนามรบ หลั่งเลือดต่อสู้เพื่อปกปักษ์ผืนดินของจักรวรรดิเรา สร้างคุณูปการที่ไม่อาจสูญสลายได้แก่จักรวรรดิ”“และตอนนี้ที่จักรวรรดิของเรารุ่งเรืองแข็งกล้า เปิ่นจั้ว[1]เห็นว่าเหล่าผู้เยาว์แห่งจักรวรรดิล้วนมีใจทุ่มเทเพื่อบ้านเมือง เช่นนี้สามารถขนานนามได้ว่าเป็นผู้กล้าแห่งจักรวรรดิ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ให้เพลงนี้ชื่อว่า ‘ลำนำผู้กล้า’ ดีหรือไม่”เสียงของจักรพรรดินีเพิ่งเงียบลง ก็มีคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งปรบมือสรรเสริญ “ดียิ่งพ่ะย่ะค่ะ จักรวรรดิกว้างใหญ่ไพศาล ผู้กล้ารุ่นเยาว์มากเกินคณา เหมือนภาพลักษณ์ในปัจจุบันของจักรวรรดิเรา เต็มไปด้วยชีวิตชีวา เหมือนดำรงอยู่เทียมฟ้า ราวกับไร้ซึ่งเขตแดน บทเพลงนี้ใช้คำว่าผู้กล้ามาตั้งเป็นชื่อ เรียกได้ว่าเหมาะเจาะพอดีพ่ะย่ะค่ะ”ทันใดนั้นคนใหญ่คนโตผู้อื่นในที่นั้นก็เริ่มเอ่ยเซ็งแซ่ สรรเสริญไม่หยุดปากอาจมีความแคลงใจว่าประจบ แต่เมื่อหลินสวินได้ยินชื่อ ‘ลำนำผู้กล้า’ กลับรู้สึกว่าสมชื่อนัก ลงตัวมาก“ขอบพระทัยองค์จักรพรรดินีที่พระราชทานนามเพคะ”หลิ่วชิงเยียนกล่าวขอบคุณ นางเองก็พอใจมากเช่นกัน คำว่าผู้กล้าสะดุดตาเพียงไหน เหมาะเจาะพอดีกับบทเพลงที่นางแต่งโดยสมบูรณ์“ไม่ทราบว่าคุณหนูชิงเยียนคิดได้อย่างไร ถึงได้แต่งเพลงที่เกรียงไกรเร้าใจเช่นนี้ได้ ขนาดเนื้อที่แต่งขึ้นยังน่าเกรงขาม ช่างเยี่ยมยอดจริงๆ”มีคนเอ่ยถามพลางยิ้มหลิ่วชิงเยียนพูดขึ้น “เรียนตามความจริงว่า ที่แต่งเพลงนี้เป็นเพียงความพลุ่งพล่านในใจชั่วขณะหนึ่ง แต่เนื้อเพลงนี้ไม่ได้ออกมาจากมือข้า แต่เป็นฝีมือของปรมาจารย์ซูซานสือเจ้าค่ะ”พูดถึงตรงนี้หลิ่วชิงเยียนก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “จะว่าไป ที่เนื้อเพลงนี้แต่งออกมาได้อย่างราบรื่น ก็เกี่ยวข้องกับคุณชายหลินที่อยู่ที่นี่ด้วย”ฝูงชนพากันตะลึงงัน เรื่องนี้จะไปเกี่ยวพันกับเจ้าหนูหลินสวินนี่อีกได้อย่างไรหลินสวินก็ประหลาดใจเช่นกัน พลันนึกขึ้นได้ว่าก่อนที่จะเข้ามายังตำหนักกลาง หลิ่วชิงเยียนก็เคยบอกว่า เพราะตนถึงได้มีลำนำผู้กล้านี้ แต่หลินสวินนึกไม่ออกว่าตนเคยช่วยหลิ่วชิงเยียนไว้เมื่อใด“นี่มันเรื่องอะไรกัน”มีคนถามอย่างอดไม่ได้“ตอนนั้นข้าเชิญท่านอาจารย์ซูมาช่วยแต่งเติมเนื้อเพลง อาจารย์ซูกลับลงมือไม่ได้เสียที ถึงขนาดที่จิตใจหม่นหมองยิ่ง ภายหลังยามข้ากับอาจารย์ซูนัดกันที่หอเมฆทะยาน พลันได้ยินทั่วนครเลื่องลือเรื่องคุณชายหลินสวินไปทั่ว ล้วนยกย่องเขาว่าเป็นผู้เก่งกล้าสามารถ ถึงกับทำให้อาจารย์ซูมีแรงบันดาลใจ เพียงยกพู่กันก็เขียนเนื้อเพลงนี้เสร็จเจ้าค่ะ”ได้ยินหลิ่วชิงเยียนเล่าที่มาที่ไปออกมาอย่างไม่สะดุด สีหน้าฝูงชนก็อดประหลาดไปไม่ได้ เช่นนี้ก็ได้หรือจะบังเอิญไปแล้วกระมังแต่บางครั้งเรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ โดยเฉพาะกับผู้ที่แต่งเนื้อเรียบเรียงทำนอง เมื่อยามหมดไฟจิตใจกระวนกระวาย ทุ่มเทแรงใจแค่ไหนก็เขียนไม่ออก แต่เมื่ออารมณ์บังเกิด เรื่องเล็กน้อยที่ไม่สนใจเรื่องหนึ่งก็พาให้อารมณ์เอ่อล้นราวน้ำพุได้เห็นได้ชัดว่า เนื้อเพลงลำนำผู้กล้าก็เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้แม้ฝูงชนจะเข้าใจจุดนี้ แต่เมื่อคิดว่าเนื้อเพลงที่มาเติมเต็มบทเพลงที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเช่นนี้กลับมาจากหลินสวิน ในใจก็รู้สึกซับซ้อนอยู่บ้างนี่ก็หมายความว่า หากบอกว่าลำนำผู้กล้านี้แต่งขึ้นให้หลินสวินโดยเฉพาะ ก็ไม่มีใครกล้าคัดค้าน!แต่เจ้าหลินสวินผู้นี้…คู่ควรกับเกียรติยศยิ่งใหญ่เช่นนี้หรือนี่พาให้ลูกหลานตระกูลใหญ่รุ่นเยาว์ไม่สบายใจยิ่งส่วนหลินสวิน เมื่อได้รู้ทุกอย่างนี้ก็อดตะลึงไปไม่ได้ ทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง เรื่องนี้จะบังเอิญเกินไปแล้วถึงตอนนี้ การแสดงหน้าพระพักตร์ของหลิ่วชิงเยียนก็จบลงงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาดำเนินต่อไป มีผู้ที่ดื่มเหล้าถวายพระพรจักรพรรดินี ทั้งยังมีการแสดงร้องรำทำเพลงที่จัดขึ้นโดยเฉพาะ บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นคึกคักยิ่งนักส่วนหลินสวินกลับนั่งโดดเดี่ยวอยู่เช่นนั้น ดื่มด่ำชาวิญญาณ ‘มังกรปักษาเพลิงหลอมรูปมงคล’ ถ้วยนั้น น้ำชาเข้มข้นกลมกล่อมสีม่วงอ่อนไหลลงคอ กลิ่นหอมกระจายไปทั่วต่อมรับรส แปรสภาพเป็นธารอุ่นมหาศาลไหลเข้าไปภายในร่างชั่วอึดใจเท่านั้น หลินสวินก็รู้สึกได้ว่าพลังปราณที่ติดคอขวดไม่เคยกระดิกแม้สักนิดก่อนหน้า เวลานี้กลับมีเค้าลางเคลื่อนไหวพัลวันชาดี!ส่วนลึกในดวงตาหลินสวินฉายแววโรจน์ ตั้งแต่ก่อนหน้าที่เขาเข้ารับตำแหน่งอาจารย์ในสำนักศึกษามฤคมรกต พลังปราณของเขาก็ติดอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลางเต็มขั้น พบกับอุปสรรคขวางทาง ไม่อาจบรรลุได้เดิมทีต้องอาศัยการฝึกปรือและวาสนา จึงจะงัดอุปสรรคที่ขวางพลังปราณออก บรรลุขั้นโดยราบรื่นได้ ใครจะคิดว่า เวลานี้เพียงดื่มชาก็เกิดผลดีเช่นนี้ ทำให้หลินสวินยินดีเกินคาดหลินสวินอดไม่อยู่กวาดตามองไปรอบๆ กลับพบว่านอกจากตนแล้ว ไม่มีผู้ใดที่มีท่าทีเปลี่ยนไปเมื่อดื่ม ‘มังกรปักษาเพลิงหลอมรูปมงคล’ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง หลินสวินก็พอจะเข้าใจได้ว่าเพราะพลังปราณของตนนั้นเต็มแน่นถึงขีดสุดแล้ว ขาดเพียงตัวปลดปล่อยก็จะบรรลุได้และการดื่มชานี้บางทีอาจมีประโยชน์มาก แต่พลังของมันก็เป็นเพียงการมอบโอกาสปลดปล่อยพลังเท่านั้น!คิดถึงตรงนี้หลินสวินก็ดื่มชาในถ้วยรวดเดียวจนหมด หลังจากนั้นก็ไม่แคลงใจอีก เริ่มสงบใจปรับลมหายใจ พินิจภายในตน แม้ในโถงตำหนักกำลังมีงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาอย่างครึกครื้นก็มิได้สนใจโอกาสงัดอุปสรรคการฝึกปราณทิ้งเช่นนี้ หากพลาดไป ครั้งหน้าก็ไม่รู้จะได้มีโอกาสอีกเมื่อไรไม่นานนักเสียงของหัวหน้าเผิงก็ดังขึ้นในโถง “งานฉลองพระชนมพรรษาขององค์จักรพรรดินีครั้งนี้ เพื่อกระตุ้นให้ผู้เก่งกาจรุ่นเยาว์ทุกท่านจดจ่อกับการฝึกปราณ หล่อหลอมผู้มีความสามารถที่จะเป็นเสาหลักให้จักรวรรดิมากยิ่งขึ้น องค์จักรพรรดินีมีพระราชดำริเป็นพิเศษให้นำสมบัติล้ำค่าบางส่วนมาเป็นของรางวัล”เมื่อเอ่ยถ้อยคำนี้ออกมา บรรยากาศในที่นั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดผู้กล้ารุ่นเยาว์อย่างซ่งอี้ ฉือฉางเฟิง ไป๋หลิงซี อวิ๋นฝูเฉิน เว่ยฉือเจ๋อต่างดวงตาเปล่งประกาย สีหน้าฮึกเหิมในที่สุดก็มาแล้ว!พวกเขารอเวลานี้มานานแล้ว!“ทว่า อยากได้รางวัลก็ต้องดูหน่วยก้านของแต่ละคนด้วย”หัวหน้าเผิงพูดพลางก้าวออกมาข้างหน้า ดวงตาสูงวัยกวาดมองฝูงชนในโถงตำหนักแล้วพูดว่า “เวลานี้หากใครสนใจของรางวัล ล้วนสามารถลุกขึ้นไปท้าคู่ต่อสู้ที่ตนหวังจะประมือด้วยที่สุดได้ ขอแค่ชนะก็จะได้รับรางวัล!”………..[1] เปิ่นจั้ว เป็นคำเรียกแทนตัวเองของผู้สูงศักดิ์
คอมเม้นต์