Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 333
ในห้องที่เรียกได้ว่าโอ่อ่า สืออวี่นั่งอยู่บนเบาะรองที่ทำจากขนแมวป่าเมฆาม่วงเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ “ข้าไม่คิดเลยว่าคนนิสัยอย่างเจ้าจะมาหาข้าก่อน ข้าตกใจเลยนะเนี่ย”“ข้าไม่เห็นว่าเจ้าจะมีท่าทีตกใจเลย”หลินสวินมองสำรวจสืออวี่ ไม่เจอกันเพียงสองปีเขามีปราณถึงขั้นผสานฟ้าแล้ว ลมหายใจมั่นคงและโอนอ่อนมากขึ้น ดังคาด ไม่เพียงตัวเขาเองที่พัฒนาในเส้นทางฝึกปราณอยู่ตลอด แม้แต่พวกพ้องในตอนนั้นต่างพากันก้าวกระโดดไปไกลหลินสวินจำได้ว่าตอนที่สืออวี่บรรลุปราณในทะเลสาบจิตผสานนั้น เขาได้หล่อหลอมพลังวิญญาณระดับหนึ่งที่มีชื่อว่ากระแสธารช้างเผือก ในยามนั้นท้องฟ้าเกิดปรากฏการณ์เป็นกระแสธารสีเงิน หากคาดการณ์เช่นนี้ การที่สืออวี่จะบรรลุปราณถึงขั้นผสานฟ้าก็ย่อมสมเหตุสมผลที่ข้างโต๊ะมีสองร่างอรชรของหญิงสาวผิวขาวดุจหิมะนั่งคุกเข่าปรนนิบัติรินน้ำชา ตระเตรียมผลไม้ให้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มชานั้นคือ ‘ดาวตกร่ายแสงทอง’ เป็นชาชั้นดีจากห้องเครื่องในวัง ใบชาสีเขียวอ่อนแช่อยู่ในน้ำแร่วิญญาณ มองดูเพลินตาคล้ายแสงสีทองของดาวตกเปล่งประกายระยิบระยับ รสชาติอ่อนชุ่มคอ กลิ่นหอมละมุนบางเบาแค่เพียงชาจอกเดียวก็แพงหูฉี่แล้ว เพราะชาชนิดนี้เป็นชาที่ใช้ในห้องเครื่องของราชวัง หาซื้อข้างนอกไม่ได้ส่วนผลไม้ที่อยู่ข้างๆ นั้นมีผลดาวตกที่เก็บมาจากแดนเหนืออันหนาวเหน็บ มีผลท้อสะท้านวิญญาณจากใต้ภูเขาไฟ กระทั่งมีของหายากที่หลินสวินไม่เคยรู้จักมาก่อนอีกมากมายเห็นได้ว่าชีวิตของสืออวี่ บุตรชายคนที่สามของเทพเศรษฐีแห่งอัครการค้านั้นอู้ฟู่เพียงใด เพียงแค่ชากับผลไม้ที่ดื่มกินก็ไม่ใช่ของที่คนมีเงินธรรมดาจะซื้อกินได้แล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนนำมาเพื่อต้อนรับหลินสวิน หากเป็นคนอื่นสืออวี่ก็ไม่คิดจะนำของเหล่านี้ออกมาแน่นอน“หลังจากออกมาจากค่ายกระหายเลือด ข้าก็คิดมาตลอดว่าหากเจอกันอีกครั้งเจ้ากับเจ้างั่งหนิงเหมิงจะมีปราณถึงขั้นใด”สืออวี่จิบชาพลางเอ่ยว่า “ตอนนี้ข้าหายห่วงแล้ว อย่างน้อยปราณของเจ้าก็ยังต่ำกว่าข้าเหมือนตอนอยู่ในค่ายกระหายเลือด ส่วนเจ้างั่งหนิงเหมิงนั่นก็คงตามข้าไม่ทันหรอก”หลินสวินยิ้มบางๆ กล่าว “ระดับปราณสูงต่ำไม่สำคัญหรอก หากวัดด้วยพลังต่อสู้เจ้าคิดว่าจะชนะได้อย่างนั้นหรือ”สืออวี่หัวเราะร่า “จะบอกเจ้าให้ว่าสองปีนี้ข้าฝึกยุทธ์อยู่เสมอ หากเจ้าคิดจะใช้พลังต่อสู้มาข่มข้าเหมือนตอนค่ายกระหายเลือดล่ะก็ เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว”หลินสวินเลิกคิ้ว “อ้อ ลองดูสักตั้งเป็นอย่างไร”สืออวี่ชะงัก “ตอนนี้เลยน่ะหรือ”“ใช่” หลินสวินตอบสืออวี่จ้องหลินสวินนิ่งอยู่สองนานก่อนส่ายหน้า “ไม่ได้ มีที่ไหนจะต่อสู้กันยามพบหน้า ข้าไม่ใช่เจ้างั่งหนิงเหมิงเสียหน่อย มาๆ ดื่มชาๆ อย่ามัวพูดเรื่องเสียบรรยากาศอยู่เลย”หลินสวินไม่วายหลุดยิ้ม ไม่ดึงดันต่อ สืออวี่ก็เป็นเสียแบบนี้ ฉลาดเฉลียวระวังตัว ไม่ยอมแสดงฝีมือง่ายๆ เหมือนกับแนวการต่อสู้ของเขาที่หากไม่สู้ก็ไม่เป็นไร แต่หากได้ลงมือย่อมถึงตายนั่นเอง“ว่ามาสิ เหตุใดถึงได้ใช้ป้ายประจำตัวของพี่ใหญ่มาหาข้าได้” สืออวี่ถามด้วยสงสัยหลินสวินเล่าเรื่องที่เขาได้รู้จักกับสือซวนสายตาของสืออวี่เต็มไปด้วยความแปลกใจ “แม้ข้าจะไม่ชอบพี่ใหญ่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขามองคนได้แม่นยำเสมอ”หลินสวินยิ้ม “พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”สืออวี่โบกมือใส่ “ไม่เอ่ยถึงเขาดีกว่า เราไม่ได้เจอกันได้ง่ายๆ ต้องดื่มให้จุใจถึงจะถูกต้อง ชิงเสวี่ย เหลียนเยวี่ย พวกเจ้าไปเตรียมสุรากับสำรับ เอาสุราเลือดมังกรที่ข้าเก็บไว้มาด้วยล่ะ”“เจ้าค่ะ” สองสาวงามยิ้มเล็กน้อยก่อนออกไปทำงานที่ได้รับมอบหมายหลินสวินส่ายหัวว่า “ครั้งนี้ข้ามาเพราะมีธุระ สุรามื้อนี้ค่อยดื่มวันหลังเถอะ”สืออวี่ชะงัก “ด่วนมากหรือ”หลินสวินพยักหน้าคุณชายสืออวี่ตบมือกับโต๊ะ “เช่นนั้นก็จัดการธุระก่อน”เขารู้จักนิสัยของหลินสวินดี รู้ว่าปกติแล้วอีกฝ่ายไม่มีทางปฏิเสธคำเชิญของตัวเอง ที่หลินสวินทำเช่นนี้ย่อมเพราะมีเรื่องลำบากแน่นอน“ข้าอยากขายของจำนวนหนึ่งให้เจ้า” หลินสวินบอกเป้าหมายของตัวเองทันที “ของพวกนี้พิเศษอยู่บ้าง เป็นทรัพย์หลังศึกของข้า หากขายให้คนอื่น หนึ่งคือเกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่กล้ารับ สองคือข้าไม่อยากให้คนอื่นได้อะไรง่ายๆ”สืออวี่ให้ความสนใจ “ของอะไรหรือ จำนวนมากหรือไม่”หลินสวินกวาดตามองรอบๆ ลุกขึ้นยืนแล้วหยิบแหวนเก็บของก่อนสะบัดมือเบาๆเสียงเคร้งคร้างดังขึ้นเมื่ออาวุธวิญญาณ อุปกรณ์ป้องกันและหน้าไม้หลากหลายชนิดปรากฏกองกันเป็นภูเขาจนกินพื้นที่กว่าครึ่งของห้องโถง แสงวิญญาณสว่างไสวคล้ายที่ตรงนั้นเป็นภูเขาแห่งสมบัติสืออวี่ตะลึง กระเด้งตัวลุกขึ้นเดินไปสำรวจพลางถามอย่างแปลกใจ “หลินสวิน เจ้าปล้นกองทัพมาหรือ”หลินสวินตอบไม่ยี่หระ “ประมาณนั้น”ยอดฝีมือสามพันคนจากตระกูลฉือก็ไม่ต่างอะไรกับกองทัพนัก สิ่งของเหล่านี้ก็ล้วนได้มาจากผู้ฝึกปราณเหล่านั้น อาวุธวิญญาณกว่าพันชิ้น อุปกรณ์ป้องกันกว่าร้อยชุด หน้าไม้อีกประมาณเจ็ดร้อยอัน ล้วนเป็นของดีไม่มีเสียหาย ส่วนของที่ชำรุดนั้นหลินสวินโยนทิ้งไปบ้างแล้ว บ้างก็นำมาใช้ในยามต่อสู้สืออวี่สังเกตทรัพย์หลังศึกเหล่านั้น เขาหรี่ตาเพ่ง “ตระกูลฉือหรือ”หลินสวินพยักหน้าสืออวี่มองหลินสวินด้วยสายตาแปลกไป “เจ้ามันบังอาจเกินฟ้าไปแล้วถึงกล้าต่อกรตระกูลฉือ!”ในใจของเขาสั่นวาบ อาวุธต่อสู้เหล่านี้ล้วนเรียกได้ว่าเป็นของชั้นดี แล้วยังประทับตราของตระกูลฉือ ไม่มีทางหาซื้อจากร้านตลาดได้ แต่หลินสวินกลับครอบครองของเหล่านี้ไว้มากมาย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาสังหารคนของตระกูลฉือไปเยอะเพียงใด“เป็นอย่างไร เจ้ารับไว้ได้หรือไม่” หลินสวินถามสืออวี่เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ตลกแล้ว บนโลกนี้มีของอะไรที่อัครการค้าไม่กล้ารับบ้าง แต่เจ้าคิดว่าทรัพย์หลังศึกพวกนี้สำคัญหรือชีวิตเจ้าสำคัญกว่ากัน”เขามองหลินสวินท่าทางคร่ำเครียด “เจ้าแน่ใจในผลลัพธ์ของการเป็นศัตรูกับตระกูลฉือใช่หรือไม่”ชัดเจนว่าสืออวี่เข้าใจผิดไปแล้วหลินสวินใคร่ครวญสักพักจึงเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ที่เขาประสบหลังจากเดินทางออกจากเมืองหมอกอำพราง และสถานะของเขารวมทั้งสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเองตอนนี้ออกมาโดยไม่ปิดบังเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด สืออวี่ทั้งตะลึง โกรธแค้น บางคราวก็ถอนหายใจ…เรื่องราวที่หลินสวินบอกกล่าวมานั้นมากมายจนสืออวี่ยากจะประมวลผลได้ทันผ่านไปครู่ใหญ่สืออวี่จึงได้สติเอ่ยขึ้น “เฮ้อ ข้าว่าแล้วเชียวว่าเจ้าต้องไม่ใช่คนธรรมดา!”หลินสวินหน่ายใจ “ถ้าข้าบอกว่าข้ายอมเป็นคนธรรมดามากกว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่”สืออวี่ตบไหล่หลินสวิน ปลอบใจ “ไม่คิดเลยว่าชีวิตของเจ้าจะลำบากกว่าข้าเสียอีก เฮ้อ มิน่าล่ะตอนอยู่ในค่ายกระเลือดข้าถึงรู้สึกถูกชะตากับเจ้านัก”หลินสวินเหลือทน “ชีวิตของเจ้าลำบากหรือ อย่ามาล้อเล่นน่า ถ้ายังพล่ามอยู่อีกข้าจะไปแล้วนะ”สืออวี่รีบห้าม “ข้าก็แค่อยากให้เจ้าผ่อนคลาย กลัวว่าเจ้าจะเครียดเกินไป” เขาครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนว่า “เจ้ารอเดี๋ยวนะ ข้าจะไปตามตาแก่พวกนั้นมาคำนวณราคาของพวกนี้ก่อน” ว่าแล้วเขาก็หมุนกายจากไปไม่นานสืออวี่นำชายชราสามสี่คนเดินเข้ามาในห้องด้วย“พวกเขาเป็นนักประเมินทรัพย์ของอัครการค้า จะตีมูลค่าของให้ในราคาที่เจ้าพอใจแน่นอน” สืออวี่แนะนำ“คุณชายสาม ของเหล่านี้ข้ามองปราดเดียวก็บอกราคาได้เลย ท่านเชิญพวกเรามาเช่นนี้ คงไม่ได้แค่มาประเมินราคาใช่หรือไม่”ชายชราในชุดสีเทากวาดสายตามองของกองใหญ่นั้นแล้วเอ่ยด้วยความไม่พอใจ แน่นอนว่าในสายตาเขาแม้ของเหล่านี้จะมีจำนวนมาก แต่กลับไม่นับเป็นของล้ำค่าอะไร ไม่คุ้มที่จะเสียแรงและเวลาด้วยสืออวี่ชะงัก ยิ้มว่า “ผู้อาวุโสชิวอย่าเพิ่งโมโห ข้าแค่เป็นกังวลเรื่องสหายของข้าเท่านั้น หากผิดพลาดอะไรขอพวกท่านอภัยด้วย”ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าผู้อาวุโสเหล่านี้มีตำแหน่งในอัครการค้าสูงเพียงใด จนทำให้สืออวี่ยังต้องเกรงใจถึงสามส่วน“หึ ที่แท้ก็สหายของคุณชายสาม ครั้งนี้ก็ต้องให้ ‘ราคามิตรภาพ’ กันใช่หรือไม่” ชายชราอ้วนเตี้ยเหน็บแนมสืออวี่เริ่มมุ่นคิ้วน้อยๆทว่าชายชราในชุดเทาที่ถูกเรียกว่าผู้อาวุโสชิวโบกมือพลางเอ่ยขึ้นมา “เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเรื่องสหายของคุณชายสาม เช่นนั้นก็สมควรที่พวกเราต้องจัดการ”ชายชราอ้วนเตี้ยเอ่ยขึ้น “ข้าว่า ของเหล่านี้รับมาราคาตลาดสักเจ็ดหมื่นสี่พันสองร้อยเหรียญทองก็ไม่น้อยแล้ว”ชายชราอีกคนว่า “ของเหล่านี้มาจากตระกูลฉือ ไม่ต่างอะไรกับของผิดกฎหมาย ทำการซื้อขายยาก ต้องจัดการสินค้าก่อน หากหักลบราคาแล้วมากสุดก็คงหกหมื่นเหรียญทอง”ชายชราอีกคนหนึ่งเอ่ยเพิ่มเติม “ในเมื่อเป็นเพื่อนของคุณชายสาม แม้อัครการค้าจะไม่กดราคาก็คงให้ได้เพียง หกหมื่นสี่พันเหรียญทองเท่านั้น”เหล่าชายชราหันไปมองที่สืออวี่เพื่อให้เขาตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายสืออวี่สีหน้ามืดครึ้ม ท่าทีแยกเรื่องงานเรื่องส่วนตัวชัดเจนของพวกเขาทำให้สืออวี่มีโทสะในใจ แต่นี่เป็นกฎของอัครการค้า แม้จะเป็นบุตรชายของเทพเศรษฐีก็ไม่อาจละเลยได้หลินสวินไม่มีโอกาสได้พูด ทว่ามองจากมุมภายนอกแล้วก็รู้ว่า แม้นักประเมินทรัพย์เหล่านี้จะให้เกียรติสืออวี่อยู่มาก แต่กลับไม่ได้เคารพมากมายเลยให้เกียรติกับเคารพแม้จะคล้ายกัน แต่อย่างไรก็เป็นทัศนคติสองฝั่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในที่สุดสืออวี่จึงถอนหายใจว่า “งั้นก็ตามนี้แล้วกัน”พลันหลินสวินก็ขัดขึ้น “ช้าก่อน!”เหล่านักประเมินทรัพย์พากันขมวดคิ้วท่าทางไม่สบอารมณ์ พวกเขาให้ราคากับเด็กคนนี้สุดๆ แล้ว ยังไม่พอใจอีกหรือ
คอมเม้นต์