Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ตอนที่ 330
เสี่ยวเคอร้องรับในลำคอ ไม่ได้ปฏิเสธชายวัยกลางคนยิ้ม “เพราะเด็กคนนี้หรือ เจ้าไม่ต้องปฏิเสธหรอก ข้าว่าถึงไม่มีเด็กคนนี้ อย่างไรเสียก็ต้องเกิดเรื่องนี้อยู่ดี”หลินสวินตะลึง ในที่สุดก็รู้ว่าอะไรคือสติปัญญาล้ำเลิศ ชายวัยกลางคนพูดไม่กี่คำก็รู้เรื่องราวคร่าวๆ แล้ว คล้ายกับเป็นเทพเซียนเลยทีเดียวเสี่ยวเคอเปลี่ยวหัวข้อสนทนา “พญาแร้ง นี่คือหลินสวิน เป็นนักเรียนในค่ายกระหายเลือดเมื่อปีก่อน”พญาแร้งที่แท้เขาก็เป็นเจ้าของเรือนพญาแร้งเด็กหนุ่มก้าวออกมาข้างหน้า “คำนับผู้อาสุโสขอรับ”พญาแร้งยิ้มบาง “ไม่ต้องมากพิธี เจ้ามาถึงที่นี่ได้คงเพราะสวีซานชีบอก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่คนอื่นไกล”“ผู้อาวุโสปราดเปรื่องเดาเรื่องราวได้ไว ข้านับถือยิ่งนัก” หลินสวินเอ่ยชม“นำปิ่นมาให้ข้าสิ” พญาแร้งกล่าวกลั้วรอยยิ้มหลินสวินนิ่งสักพักพลันได้สติ หยิบปิ่นที่สวีซานชีมอบให้ไว้ส่งให้อีกฝ่ายชายวัยกลางคนลูบปิ่นสายตาอ่อนลง ครู่ใหญ่จึงว่าขึ้น “ใช้ปิ่นนี้มาหาข้าที่นี่ เจ้าต้องมีเรื่องร้องขอแน่ ว่ามาสิ เจ้าอยากให้ข้าช่วยอะไร”ไม่รอหลินสวินพูด เสี่ยวเคอก้าวขึ้นมาเล่าเรื่องราวของหลินสวินให้พญาแร้งฟังครั้นได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว พญาแร้งพลันมีสีหน้าเครียดเคร่ง “ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นลูกหลานของท่านเต้าเฉิน เสียมารยาทแล้ว”ท่านเต้าเฉินย่อมคือปู่ทวดของหลินสวิน หลินเต้าเฉิน!หลินสวินคิดไม่ถึงว่าพญาแร้งจะเคารพท่านทวดของเขาถึงเพียงนี้ แม้ตัวเด็กหนุ่มจะอ่อนวัยกว่าอีกฝ่าน แต่ก็ยังให้ความเคารพเขาไปด้วย“ไม่ปิดบังผู้อาวุโส ข้าเพิ่งทราบสถานะของตนเองเมื่อวานนี้ จึงไม่ทราบเรื่องของท่านปู่ทวด ทำให้ท่านผิดหวังแล้ว” หลินสวินว่า“เอาล่ะ ไม่ต้องถ่อมตน ข้าทราบเรื่องราวของเจ้าแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ข้าไม่แน่ใจว่าจำเป็นจะต้องช่วยเหลือเจ้าหรือไม่”สายตาของพญาแร้งเรียบนิ่ง มีพลังอ่านใจคนบางอย่าง “เจ้าก็รู้ว่าหากช่วยเจ้าอาจต้องเผชิญกับอันตรายมากมาย ข้าอยากให้เจ้ายืนยันว่าเจ้ามีความสามารถพอจะแบกรับหน้าที่นี้”“ยืนยันอย่างไรหรือขอรับ” หลินสวินถาม“ปราณของเจ้าอยู่เพียงขั้นผสานดิน หากจะทดสอบพลังของเจ้าคงจะบังคับให้ทำในสิ่งที่ลำบากใจ เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามาว่าหากเจ้าจะปกครองภูเขาชำระจิตแล้ว เจ้าจะทำอย่างไรบ้าง”พญาแร้งเสียงราบเรียบ สองตาเรียบนิ่งนั้นทำให้หลินสวินรู้สึกถึงความกดดันเสี่ยวเคอก็มองที่หลินสวินเงียบๆ นางรู้ว่าหากหลินสวินสามารถผ่านการทดสอบนี้ไปได้ เขาย่อมได้รับความช่วยเหลือจากพญาแร้งหากไม่ผ่าน ก็ต้องจากไปเงียบๆ“ต้องจัดการปัญหาภายในก่อนขอรับ” หลินสวินตอบไม่ลังเล ปัญหานี้เขาใคร่ครวญอยู่ทั้งคืน“จะจัดการอย่างไรปัญหาภายใน” พญาแร้งถามต่อ สายตาเรียบนิ่งกว่าเก่า มีพลังบางอย่างอธิบายไม่ได้หลินสวินตอบฉะฉาน “ทำให้รากมั่นคง เติมพลัง แล้วจึงพัฒนาคนขอรับ”พญาแร้งส่ายหัว ไม่พอใจในคำตอบ “กว้างเกินไป เห็นได้ชัดเจนว่าเจ้ายังไม่มีแผนการและกลยุทธ์ที่ถูกต้อง”เด็กหนุ่มชะงัก “ผู้น้อยว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องพูดถึงกลยุทธ์”อีกฝ่ายพญาแร้งร้องอ้อ แสดงความสนใจอย่างแจ่มชัด “เจ้าลองว่ามาสิ”“ตอนนี้ข้ามีเพียงสถานะผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลหลิน มีสิทธิ์ปกครองภูเขาชำระจิตโดยชอบธรรม คนอื่นในตระกูลหลินแพ้ให้แก่ข้าในเรื่องนี้” หลินสวินกล่าวอย่างรวดเร็วพญาแร้งพยักหน้า “สิทธิ์โดยชอบธรรม สิ่งนี้ถึงสำคัญ”เห็นดังนั้นหลินสวินถึงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม “แต่ว่าสถานการณ์ของข้าในตอนนี้ไม่ดีนัก ขาดกำลังทรัพย์ ขาดกำลังคน มีตัวคนเดียว ชื่อเสียงก็ไม่เป็นที่รู้จัก ความสามารถไม่เพียงพออาจทำให้ผู้อื่นไม่เชื่อถือ”สายตาของพญาแร้งปรากฏความชื่นชม คำพูดเหล่านี้ทำให้เขารู้ว่าหลินสวินไม่ใช่คนดีแต่พูด รู้จักศัตรูเป็นเรื่องง่ายดาย แต่รู้จักตัวเองกลับเป็นยากยิ่งนัก การทำความเข้าใจที่ยากที่สุดสำหรับผู้ฝึกปราณ ก็คือทำความเข้าใจตนเองหลินสวินประเมินความสามารถตนเองได้เฉียบขาด เด็กหนุ่มอย่างนี้หาได้ยาก“ดังนั้นข้าคิดว่าก่อนจะจัดการปัญหาภายใน จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตนเองก่อน เมื่อมีความสามารถมากพอแล้วค่อยวางแผนทั้งหมดอย่างละเอียดอีกครั้งขอรับ”เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึก บอกความในใจของตัวเองออกมาได้ยินเช่นนี้เสี่ยวเคอก็หวั่นไหวแล้ว นางรู้ว่าหลินสวินมาครั้งนี้ ไม่ได้มาขอความช่วยเหลือเพราะความกลัว แต่เขามีแผนการณ์และความคิดของตนเองอยู่ก่อนแล้ว“ไม่เจอกันเพียงสองปี เด็กคนนี้เปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ หากหัวหน้าสวีรู้คงจะภูมิใจ” เสี่ยวเคอคิด นางรู้ดีว่าตอนอยู่ในค่ายกระหายเลือด สวีซานชีดูแลหลินสวินดีเพียงใด หากนับนักเรียนที่สวีซานชีชื่นชมแล้ว หลินสวินย่อมเป็นหนึ่งในนั้นไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางมอบปิ่นสีเงินให้แก่หลินสวินแน่แต่ที่เสี่ยวเคอคาดไม่ถึงก็คือ หลังจากได้ยินคำตอบของหลินสวิน พญาแร้งคล้ายไม่หวั่นไหว ยังคงถามต่อ “ความคิดของเจ้าไม่เลว ข้าสงสัยว่าเจ้าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ภายในไม่กี่วัน”หลินสวินยิ้ม ใบหน้าเกลี้ยงเกลามีแววทะนงตน “สำหรับคนอื่นอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ยากมาก แต่ข้าหรือพวกเราไม่เหมือนกัน หากเพียงข้าอยากทำ ไม่เกินหนึ่งเดือนทั้งนครต้องห้ามต้องรู้จักนามของข้า”เสี่ยวเคอแน่นิ่ง นัยน์ตาแปลกใจ นางไม่ค่อยได้เห็นท่าทางมั่นใจเช่นนี้ของหลินสวินนัก คนอย่างเขาก็ไม่ใช่คนที่จะพูดอวดตนเช่นนี้ออกมาง่ายๆเช่นนี้แล้ว เขาย่อมมีไม้ตายอื่นๆ อีกไม่น้อยที่ยังไม่เปิดเผยพญาแร้งยิ้ม เอ่ยชม “ตอนนี้ข้าแน่ใจว่าการช่วยเหลือเจ้าไม่ใช่เรื่องไม่ดี”“เช่นนี้แล้ว ผู้อาวุโสรับปากจะช่วยข้าแล้วหรือ” หลินสวินดีใจ“ถ้าไม่โง่ก็ต้องรู้แล้วไม่ใช่หรือ เจ้าช่างเจรจาขนาดนี้กลายเป็นคนโง่งมตั้งแต่เมื่อไหร่” เสี่ยวเคอไม่พอใจหลินสวินตื้นตัน แน่นอนว่าเขารู้ แต่ในใจดีใจจนห้ามกิริยาไม่ได้เท่านั้นเอง เดิมทีเขายังคิดจะให้เสี่ยวเคอช่วยพูดกับพญาแร้งด้วย ไม่คิดว่าสุดท้ายจะได้รับความช่วยเหลือจากพญาแร้งด้วยตนเอง แล้วจะไม่ให้หลินสวินดีใจได้อย่างไรพญาแร้งดูป่วยออดแอด ไม่มีเรี่ยวแรง แต่เขาเป็นสหายของสวีซานชี และยังได้รับความเคารพจากเสี่ยวเคอขนาดนี้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่หากได้เขากับเสี่ยวเคอมาช่วยเหลือ แผนการขึ้นการปกครองภูเขาชำระจิตก็ง่ายขึ้นไม่น้อย“ตอนนี้ให้ข้าแนะนำตนเองอีกครั้ง ข้ามีนามว่าพญาแร้ง เคยเป็นหนึ่งในนักเรียนค่ายกระหายเลือดเช่นเดียวกับสวีซานชี เดิมทีข้ามีปราณระดับหยั่งสัจจะ แต่เพราะอุบัติเหตุในปีนั้นทำให้เจ็บป่วยเรื้อรัง ไม่ต่างอะไรจากคนไม่ได้เรื่อง” พญาแร้งกล่าวอย่างเคร่งขรึมโรคเรื้อรังอาการป่วยชนิดใดถึงทำให้ผู้ฝึกตนระดับหยั่งสัจจะกลายเป็นคนไร้ความสามารถไปได้หลินสวินใจสั่นกำลังจะเอ่ยถาม ทว่าพญาแร้งยกมือห้ามเสียก่อน “เรื่องนี้ไม่ต้องถามมาก ข้าจะบอกเจ้าเพียงว่ามันเกิดขึ้นขณะต่อสู้ ข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้มาก สิ่งที่ทำได้คงมีเพียงช่วยดูแลวางแผนเท่านั้น เรื่องจุกจิกข้าจะช่วยเจ้าเอง”เด็กหนุ่มชะงัก ส่วนเสี่ยวเคอเบิกตาโต ก่อนจะกล่าวเตือนเขา “พญาแร้งเป็นปรามาจารย์วางแผนการรบที่หัวหน้าสวียังต้องขอคำชี้แนะเชียวนะ แม้แต่เจ้าสำนักศึกษามฤคมรกตจะเชิญเขามาสอนที่สำนัก แต่ก็ถูกเขาปฏิเสธ เจ้ายังมัวยืนบื้ออะไรอยู่”หลินสวินลิ้นแข็ง รีบโค้งคำนับด้วยดีใจ เขาคิดไว้แล้วว่าพญาแร้งต้องไม่ธรรมดา แต่ไม่คิดว่าจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ ถึงทำให้สวีซานชีก้มหัวขอคำปรึกษาได้ แม้แต่เจ้าสำนักศึกษามฤคมรกตยังต้องเรียนเชิญยอดเยี่ยมเป็นที่สุดไม่รอช้า เที่ยงวันนั้นหลินสวินก็พาเสี่ยวเคอกับพญาแร้งนั่งรถม้ากลับภูเขาชำระจิตการพูดคุยระหว่างทางทำให้หลินสวินรู้ว่าเสี่ยวเคอมานครต้องห้ามเพื่อดูแลพญาแร้ง ด้วยเพราะอยากตอบแทนที่พญาแร้งเคยช่วยชีวิตนางไว้แต่เมื่อหลินสวินถามถึงอาการป่วยของพญาแร้ง เสี่ยวเคอกลับบ่ายเบี่ยง เพียงบอกว่าหากมีโอกาสหลินสวินก็จะรู้เอง ทำให้เด็กหนุ่มมั่นใจว่าอาการป่วยของพญาแร้งนั้นรักษายาก หรืออาจไม่มีทางรักษาเลย ไม่อย่างนั้นเขาคงรักษาไปนานแล้วหลังกลับมาถึงเขาชำระจิต หลินสวินก็สั่งให้หลินจงจัดการที่พักให้เสี่ยวเคอกับพญาแร้ง ทั้งยังบอกกับบ่าวชราว่าจากนี้ไปนอกจากเขาแล้ว เสี่ยวเคอกับพญาแร้งเป็นคนที่เชื่อใจได้มากที่สุดในภูเขาชำระจิตที่หลินสวินตกใจก็คือ เมื่อเห็นหลินจง พญาแร้งก็มีท่าทีแปลกๆ คล้ายรู้จักเขา “ท่านคือผู้สอบได้ลำดับที่สามของการทดสอบระดับอาณาจักรเมื่อหกสิบปีก่อน นามเสิ่นจิงหลุน ที่ถูกขนานนามว่าทั่นฮวาม้าขาวใช่หรือไม่”หลินจงตัวแข็ง ท่าทางแปลกไป นานครู่หนึ่งถึงส่ายหัว “เสิ่นจิงหลุนตายไปแล้ว ตอนนี้มีเพียงบ่าวของตระกูลหลิน”พญาแร้งหรี่ตา ไม่ได้ถามความต่อบทสนทนาทำให้หลินสวินสะกิดใจ ไม่คิดว่าชายชราหลังงุ้มธรรมดาๆ จะมีสถานะอย่างอื่นด้วยทั่นฮวาม้าขาวนามเช่นนี้ไม่ใช่ใครจะมีก็ได้หลินสวินวางแผนในใจ รอมีโอกาสจะต้องสืบเรื่องให้แน่ชัดหลังจากจัดการที่พักเสร็จสิ้น หลินสวินก็พาเสี่ยวเคอกับพญาแร้งมาเริ่มวางแผนที่ห้องทำงานของตนเองพญาแร้งบอกไปว่าทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับหลินสวิน เขาเพียงดูแลเรื่องจุกจิก เมื่อหลินสวินตัดสินใจแล้วให้บอกเขาได้ทันที เขาจะไม่ทำนอกเหนือจากคำสั่งของหลินสวิน เสี่ยวเคอก็บอกว่านางเพียงลงมือทำ มีอะไรก็บอกให้นางไปจัดการก็พอแล้วท่าทางทั้งสองชัดเจนจนหลินสวินชะงัก ก่อนจะเข้าใจว่าไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่เต็มใจช่วยเหลือ แต่กำลังเตือนเขากลายๆ ว่า เด็กหนุ่มต่างหากที่เป็นคือเจ้าปกครองภูเขาชำระจิต หากอยากเป็นผู้สืบทอดตระกูลหลินจริงๆ ก็ต้องมีความสามารถในการตัดสินใจด้วยตนเอง ไม่พึ่งพาคนอื่น ไม่อย่างนั้น ผู้ทำหน้าที่นี้คงไม่ต่างจากหุ่นเชิดนับแต่นาทีนั้น หลินสวินก็รับรู้ว่าสถานะของเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
คอมเม้นต์