Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 68 รัฐถูฮวา

อ่านนิยายจีนเรื่อง Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 68 รัฐถูฮวา 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

สมบัติลับเขตลวงโลกเทียมระดับชั้นที่สิบส่วนใหญ่ล้วนแต่วางจำหน่ายอยู่ในร้านค้าของขุมอำนาจใหญ่ระดับยอดต่างๆ เช่นร้านค้าสกุลฝาน
เนื่องจากหากขายให้ร้านค้าแล้ว ราคาที่ร้านค้ารับซื้อก็จะถูกกดจนต่ำมาก! สำหรับผู้แกร่งกล้าที่ต้องการ ก็ปรารถนาสมบัติลับเป็นอันมาก แต่สำหรับผู้แกร่งกล้าที่ไม่ต้องการแล้ว…ก็ไม่มีประโยชน์อันใดเลยจริงๆ! หากกล่าวว่าเส้นทางการบำเพ็ญอื่นๆ พบเห็นได้บ่อยมากแล้ว เช่นนั้นเส้นทาง ‘เขตลวงโลกเทียม’ ก็ค่อนข้างหาพบได้ยาก ผู้ที่บรรลุถึงขั้นอลวนชั้นที่เก้าโดยไม่อาศัยวัตถุภายนอกนั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย!
‘ผู้ซื้อ’ นั้นยากจะพานพบ
หากขายสมบัติลับให้ร้านค้า แน่นอนว่าร้านค้าย่อมกดราคาเป็นธรรมดา
ผู้ที่ครอบครองก็ไม่อยากจะเสียเปรียบจนเกินไป หากจะขาย ก็มิสู้รอให้ ‘ผู้ซื้อ’ ปรากฏตัวขึ้นมาเสียก่อน
“รัฐถูฮวา”
ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นกลางฟากฟ้า  เขาทอดสายตามองไปยังตัวเมืองอันงดงามไกลออกไปเบื้องหน้า นั่นก็คือนครหลวงรัฐถูฮวา
“รัฐถูฮวาก็แค่รัฐชั้นสามเล็กๆแห่งหนึ่ง ทั้งหมดมียอดฝีมือขั้นเทพจักรวาลเพียงคนเดียวและขั้นอลวนชั้นที่สิบก็มีเพียงสองคนเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ในดินแดนจิตโลกามีรัฐชั้นสามเล็กๆ จำนวนไม่น้อย ดังเช่นในสถานที่อันตรายอันไกลโพ้นมากมาย ขุมอำนาจใหญ่บางแห่งนั้นคร้านที่จะไปสนใจ เช่นรัฐถูฮวา เดิมทีก็ตั้งอยู่ที่ทะเลกาฬอเวจีซึ่งอันตรายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เป็นรัฐที่ก่อตัวขึ้นมาจากเกาะหลายแสนเกาะ
อย่าได้ดูแคลนรัฐชั้นสามเล็กๆ เป็นอันขาด
แม้พวกเขาจะเล็ก แต่ผู้ที่กล้าบุกเบิกรัฐแห่งหนึ่งขึ้นมาได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นเทพจักรวาลผู้มีทรัพยากรลึกล้ำมากคนหนึ่ง นอกจากนี้พวกเขายังประคับประคองซึ่งกันและกัน รวมตัวกันเป็นสมาพันธ์ต่างๆ มากมาย
ดังเช่นรัฐถูฮวา ก็คือส่วนหนึ่งของ ‘สมาพันธ์กลุ่มดาว’ สมาพันธ์รัฐของเกาะต่างๆ ทางใต้ของทะเลกาฬอเวจี!
……
สมบัติลับเขตลวงโลกเทียมนั้นล้วนแต่รอคอยผู้ซื้อที่ต้องการ ส่วนสถานที่ที่ส่งไปขายกลับมิได้สลักสำคัญแต่อย่างใด
สำหรับผู้ที่ต้องการจริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรัฐใดในดินแดนจิตโลกาก็ล้วนสามารถเร่งไปถึงได้อย่างรวดเร็ว
“อาหารเลิศรสของรัฐถูฮวาก็ไม่เลวเลย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังดื่มกินอยู่ที่โรงสุราข้างถนนแห่งหนึ่ง
“ใต้เท้าเสวี่ยอิงขอรับ ทางเจ้าของสมบัติลับนั่นแจ้งราคามาแล้ว ลดให้ต่ำสุดได้ที่หนึ่งหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยล้านแก้วผลึกจักรวาลขอรับ” ทันใดนั้นก็มีสารส่งมา
“หนึ่งหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยล้านแก้วผลึกจักรวาลหรือ ก็ยังคงแพงเกินไปอยู่ดี ข้าขอดูไปก่อนก็แล้วกัน มีสมบัติลับเขตลวงโลกเทียมตั้งแปดชิ้น ข้าจะค่อยๆ ดูไปทีละอัน แล้วค่อยเลือกชิ้นที่เหมาะสมที่สุดและถูกที่สุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงตอบ
“ขอรับ ข้าจะเกลี้กล่อมเจ้าของสมบัติลับต่อไป”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ
ที่เขาดื่มด่ำกับอาหารเลิศรสตามที่ต่างๆ แล้วค่อยๆ ละเลียดตรวจสอบสมบัติลับตามที่ต่างๆ อย่างเชื่องช้า ก็เพราะพยายามถ่วงเวลาออกไป เพื่อจะได้กดราคา!
หากกล่าวว่าร้านค้าใหญ่ของขุมอำนาจระดับยอดอย่างร้านค้าสกุลฝาน มีการตั้งราคาขั้นต่ำของสมบัติล้ำค่าเอาไว้ มิอาจต่อรองราคาได้ แต่การ ‘ส่งมาขาย’ ก็ไม่เหมือนกันนัก เพราะเป็นการลับเหลี่ยมเฉือนคมกับเจ้าของสมบัติลับอย่างสิ้นเชิง! ‘ผู้ซื้อ’ คนหนึ่งจะปรากฏกายก็ไม่ง่ายเลย ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องพยายามกดราคาอย่างสุดกำลัง หากถ่วงเวลาออกไปเล็กน้อย บางทีราคาอาจจะสามารถลดลงเป็นพันล้านแก้วผลึกจักรวาลได้เลยทีเดียว!
“สู้สุดชีวิตจริงๆ มีตั้งหลายตัวที่เป็นพวกปลาจากทะเลกาฬอเวจี” ตงป๋อเสวี่ยอิงกินอาหารรสเลิศแล้วก็พอเดาได้ว่า เพื่อปลาเหล่านี้ เกรงว่าคงจะมีผู้บำเพ็ญจำนวนไม่น้อยที่เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงอันตราย
แต่เพื่อที่จะทำกำไร เพื่อทรัพยากร เพื่อการบำเพ็ญ พวกเขาก็ต้องสู้สุดชีวิต แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีสิ่งใดที่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าเอง
“สมบัติลับสองชิ้นข้างหน้า ตอนนี้ชอ้นหนึ่งมีราคาต่ำสุดอยู่ที่หนึ่งหมื่นห้าพันหกร้อยล้าน ส่วนอีกชิ้นหนึ่งราคาต่ำสุดอยู่ที่หนึ่งหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยล้าน” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดคำนวณ ทั้งเหมาะสมและราคาก็จะต้องถูกพอ
ภายในโรงสุราคึกคักมาก
แขกเหรื่อมากมาย ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างนั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง ด้วยการกลายเป็นอากาศธาตุของเขา จึงได้เก็บงำกลิ่นอายเอาไว้ ต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนก็ยากที่จะมองพลังที่แท้จริงของเขาออก
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาฉายแววตกตะลึง “ว่ากันว่าสมาพันธ์กลุ่มดาวสับสนวุ่นวายมาก การเข่นฆ่าก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง แต่คิดไม่ถึงว่าในรัฐถูฮวา ข้าจะได้ประสบกับการเข่นฆ่าครั้งใหญ่เช่นนี้”
เนื่องจากในสมาพันธ์กลุ่มดาวหลายแห่งล้วนแต่เป็นรัฐชั้นสามเล็กๆ รัฐเล็กๆ บางแห่งก็ถูกมารร้ายลอบปกครอง!
การเข่นฆ่า ความวุ่นวาย…
ในสมาพันธ์กลุ่มดาวนั้นพบเห็นได้บ่อยเกินไปแล้ว
พูดง่ายๆ ก็คือยิ่งเป็นรัฐที่แข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น เช่นหกรัฐโบราณอย่างรัฐโบราณคิมหันตวายุ โดยรวมแล้วก็แข็งแกร่งกว่ามาก! หากแต่ในสมาพันธ์กลุ่มดาวน่ะหรือ ดูกันที่พลังของประมุขรัฐ บ้างก็มั่นคง บ้างก็วุ่นวายจนเทียบกับทะเลสาบมารทมิฬได้เลยทีเดียว!
“สวบๆๆ”
แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะสามารถสัมผัสรับรู้ได้ แต่แขกเหรื่ออื่นๆ ภายในโรงสุรากลับมิอาจสัมผัสได้
กองกำลังกองแล้วกองเล่าปรากฏขึ้นทั่วทุกทิศทุกทางรอบโรงสุราอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ก่อให้เกิดเป็นค่ายกลขนาดใหญ่อยู่รางๆ ล้อมรอบโรงสุราเอาไว้อย่างแน่หนา
“สวบ”
สตรีอาภรณ์เขียวงามประหลาดคนหนึ่งพาผู้ใต้บังคับบัญชามาสองคนทะยานออกมาจากกองกำลัง ยามนี้กลิ่นอายของนางมิได้ถูกเก็บงำเลยแม้แต่น้อย กลิ่นอายอันเย็นเยียบร้ายกาจแผ่กำจายออกมา
“สามีที่รักของข้า ข้าตามหาท่านอย่างยากลำบากจริงๆ” เสียงของสตรีอาภรณ์เขียวงามประหลาดสะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดิน ดวงตาทั้งคู่ของนางมองดูบ่าวรับใช้คนหนึ่งในโรงสุรา
พูดยังไม่ทันขาดคำ
“ตู้ม!”
ค่ายกลรบของกองกำลังรอบด้านก็ถูกเหนี่ยวนำขึ้นมาจนหมด ตู้มมม…บริเวณผืนใหญ่รอบด้านถูกปกคลุมเอาไว้อย่างสิ้นเชิง กองกำลังนั้นเป็นเงารางสัตว์ประหลาดสองหัวอันแปลกพิกลตนหนึ่ง ผู้บำเพ็ญจำนวนมากบนถนนและในโรงสุราต่างก็หวาดผวาจนใจสั่นไปหมด
“หมดกัน เป็น ‘นางมารสยาอิน’ แห่งตระกูลเสาค้ำฟ้า”
“อาจารย์ พวกเราจะถูกลูกหลงไปด้วยหรือเปล่าขอรับ”
“ระวังชีวิตไว้เถอะ!”
“อย่าเปล่งเสียงนะ”
บรรดาผู้บำเพ็ญกลุ่มใหญ่โดยรอบรวมทั้งบรรดาบ่าวรับใช้และผู้ดูแลร้านค้า ไปจนถึงบรรดาแขกเหรื่อต่างขวัญหนีดีฝ่อ พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในรัฐถูฮวา จึงคุ้นชินกับการที่รัฐถูฮวามีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นเป็นบางครั้งก่อนแล้ว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้พวกเขาจะถูกปะทะเข้าเต็มๆ ได้แต่หวังว่าจะโชคดี ไม่ถูกลูกหลงเข้า
“สยาเอ๋อร์ ข้าและเจ้าผูกสัมพันธ์กันเป็นสหายร่วมวิถี ให้ทางรอดแก่ข้าสักสายหนึ่งจะดีหรือไม่” บ่าวรับใช้แหงนหน้าขึ้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า สามี ท่านนี่ช่างอ่อนต่อโลกเสียจริง ตัดรากถอนโคน ข้าจะให้ทางรอดแก่ท่านได้อย่างไรกัน ท่านเป็นทายาทหลักคนสุดท้ายของตระกูลปาถัวแล้ว” สตรีอาภรณ์เขียวท่าทางร้ายกาจพูดยิ้มๆ “แน่นอนว่าหากท่านมอบเคล็ดวิชาเก็บงำกลิ่นอายของท่านมาให้ข้า ข้าก็จะสามารถรับปากท่านได้ว่า จะไว้ชีวิตทายาทระดับต่ำสุดของตระกูลปาถัว ให้พวกเขายังมีทางรอด”
ตระกูลปาถัวก็เคยเป็นตระกูลของอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งแห่งรัฐถูฮวา มีทายาทจำนวนนับไม่ถ้วน ผู้ที่บรรลุถึงระดับเทพอากาศจึงนับว่าเป็นทายาทหลัก คนอื่นๆ ล้วนแต่เป็นคนธรรมดาระดับต่ำสุด และมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนที่ออกสู่ภายนอก
ต่อให้จะกวาดล้างจริงๆ ก็ไม่มีทางกวาดล้างสายเลือดตระกูลปาถัวที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตลอดคืนวันอันยาวนานได้อย่างหมดจด
“เจ้าช่างใจร้ายนัก” สายตาของเทวทูต ‘ปาถัวเฉิน’ เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เขาเกลียดชัง
เพียงรุ่งอรุณเดียว ตระกูลอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งอันเกรียงไกรก็ถูกทำลายจนสิ้นซาก บิดามารดา พี่น้องและมิตรสหายของเขา คนในตระกูลของเขาจำนวนนับไม่ถ้วน…ทั้งจวนปาถัวถูกทำลายจนสิ้นแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ใจร้ายรึ ยังคิดว่าตอนนั้นข้าหลงรักเจ้าจริงๆ น่ะหรือ พอแล้วมอบเคล็ดวิชาเก็บงำกลิ่นอายของเจ้ามาเสียแต่โดยดีเถอะ ข้าจะเห็นแก่ที่เคยเป็นสหายร่วมวิถี สายเลือดตระกูลปาถัวของเจ้ายังสามารถหลงเหลืออยู่ได้ มิเช่นนั้นแล้ว ข้าจะไล่ล่าสายเลือดทั้งหมดของตระกูลปาถัวของพวกเจ้าทั่วทั้งสมาพันธ์กลุ่มดาวไปตลอด!” สตรีอาภรณ์เขียวท่าทางร้ายกาจพูดเสียงเย็นชา
“พูดเสียน่าฟังเชียว เจ้าคิดว่าข้าจะยังเชื่อเจ้าได้อีกรึ เจ้าฆ่าเถอะ ฆ่าเสียเถอะ หากเจ้าข้าไม่เกลี้ยง ต้องมีสักวันที่ตระกูลปาถัวเราจะมีผู้แกร่งกล้ารุ่งโรจน์ขึ้นมาแล้วมาเยือนรัฐถูฮวาอีกครา” บ่าวรับใช้ปาถัวเฉินคำรามเสียงต่ำ
“เฮอะ”
นัยน์ตาของสตรีอาภรณ์เขียวท่าทางร้ายกาจเต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย “ไม่ให้รึ เจ้าซ่อนตัวปลอมเป็นบ่าวรับใช้ คนของโรงสุราแห่งนี้ช่วยเหลือเจ้า จะเหลือไว้ไม่ได้แม้แต่คนเดียว ยังมีคนรอบกายด้วย ที่ต้องตายตามกันไปหมด”
บรรดาผู้ดูแลโรงสุรารวมทั้งแขกเหรื่อทั้งหลายต่างก็เผยสีหน้าแตกตื่นออกมา เหล่าผู้บำเพ็ญโดยรอบก็ใจสั่นระรัวไปหมด
“เจ้า…” บ่าวรับใช้ปาถัวเฉินคำรามเสียงต่ำ “สยาอิน ไยเจ้าต้องหว่านแหด้วยเล่า ข้าจะบอกเจ้าตามตรง ข้าสบโอกาสได้เคล็ดวิชามา แต่เคล็ดวิชานี้ห้ามถ่ายทอดออกไปภายนอกเด็ดขาด”
“เจ้ามิได้ฉบับจริงมาหรอกหรือ” สตรีอาภรณ์เขียวเห็นเข้าก็ถอนหายใจ
โดยทั่วไปแล้ว เคล็ดวิชาที่ร้ายกาจล้วนแต่ห้ามถ่ายทอดออกไปภายนอกทั้งสิ้น
“เฮ้อ ช่างเสียใจจริงๆ”
สตรีอาภรณ์เขียวโบกมือ “ฆ่าพวกมันให้เกลี้ยง อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว”
“ไม่…”
“แม่ทัพสยาอิน”
“ละเว้นพวกเราด้วยเถิด”
“เสาค้ำฟ้า ‘สกุลหยาง’ เจ้าเป็นถึงตระกูลเสาค้ำฟ้าของรัฐถูฮวาเรา จะทำเช่นนี้มิได้นะ”
“แม่ทัพสยาอิน”
รอบด้านเต็มไปด้วยเสียงวิงวอน ผู้บำเพ็ญบางคนยังถึงขั้นคุกเข่าลงไป
“ฆ่าทิ้งให้เกลี้ยง!” สตรีอาภรณ์เขียวมิได้เคล็ดวิชามา ความเดือดแค้นในใจยากจะบรรเทา นัยน์ตาอันโหดเหี้ยมกวาดมองรอบด้าน
“ขอรับ” กองกำลังด้านข้างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ทำได้เพียงรับคำสั่งเท่านั้น
“เฮ้อ”
ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของโรงสุราและมองดูทุกวิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ มาตลอด ที่น่าประหลาดก็คือ เสียงถอนหายใจของเขาสะท้อนก้องไปข้างหูของทุกคน  คนทั้งหมดล้วนสัมผัสได้ถึงความน่าหวาดหวั่นครั้งใหญ่ ทหารที่เดิมทีรับคำสั่งเหล่านั้นต่างก็รู้สึกว่าว่าตนมิอาจขยับเขยื้อนได้แล้ว
ขยับไม่ได้แล้ว!
สตรีอาภรณ์เขียวมองชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นั้นด้วยความตื่นตระหนก นางก็พบว่าตนก็มิอาจขยับเขยื้อนได้แล้วเช่นกัน อากาศรอบด้านกดดันนางอย่างสิ้นเชิงจนมิอาจขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นั้นนั่งอยู่ตรงนั้นพลางกล่าวว่า “ผู้ดูแล ยกสุรามาอีก”
“ขอรับ ขอรับ” ผู้ดูแลโรงสุราซึ่งเดิมทีสิ้นหวังไปแล้วใจสั่นขึ้นมา เขารีบยกสุราไป แต่ตัวเขากลับมิได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย สามารถเคลื่อนไหวได้อยู่
“ใต้เท้าท่านนี้ นี่คือบุญคุณความแค้นระหว่างเสาค้ำฟ้าอย่าง ‘สกุลหยาง’ และตระกูลปาถัว ใต้เท้าโปรดอย่าสอดมือยุ่งเกี่ยวเลย” สตรีอาภรณ์เขียวขยับเขยื้อนมิได้ แต่ก็ยังคงพูดเสียงสูง ทั้งยังจงใจเน้นคำว่าเสาค้ำฟ้าอย่างชัดถ้อยชัดคำ
เสาค้ำฟ้า
ในสมาพันธ์กลุ่มดาวนั้นมีนัยแฝงอันพิเศษ แสดงให้เห็นว่าเป็นตระกูลที่สำคัญต่อรัฐประหนึ่งเสาค้ำฟ้า โดยทั่วไปล้วนมียอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบซึ่งเทียบกับเทพจักรวาลได้ สตรีอาภรณ์เขียวจะหยิ่งผยองก็มีเหตุผล
“เสาค้ำฟ้าสกุลหยางหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบาๆ “ความแค้นเคืองต่างๆ ของพวกเจ้าก่อนหน้านี้ ข้าก็คร้านจะเข้าไปยุ่งด้วย เพียงแต่การสังหารพวกเขาจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว…ผู้บำเพ็ญทั่วไปเหล่านี้คงมิได้ผูกความแค้นกับสกุลหยาง没ของพวกเจ้าทั้งหมดหรอกกระมัง”
สีหน้าของสตรีอาภรณ์เขียวไม่น่ามอง
ก็แค่ฆ่ามดปลวกให้ตายไปเท่านั้น จะนับว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใดกัน
“อะไรนะ ในสายตาของเจ้าพวกเขาเป็นแค่มดปลวกอย่างนั้นรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “น่าเสียดาย ในสายตาของข้า เจ้าก็เป็นแค่มดปลวกเช่นกัน”
ปัง!
พูดยังไม่ทันขาดคำ สตรีอาภรณ์เขียวก็เผยสีหน้าตื่นตระหนกออกมา ร่างกายนางระเบิดออกกลายเป็นเถ้าธุลีและหายวับไปในฟ้าดิน
รอบด้านเต็มไปด้วยความเงียบงัน
เหล่าทหารและผู้บำเพ็ญทั้งหลายต่างก็เงียบงัน ธิดาของท่านประมุขตระกูลเสาค้ำฟ้าสกุลหยางสิ้นใจไปเช่นนี้เองน่ะหรือ
นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงฉายแววเยียบเย็น การบำเพ็ญจิตของเขากำหนดแล้วว่าเขามิอาจทนต่อพฤติกรรมการเข่นฆ่าผู้ที่อ่อนแอได้ บางทีเขาอาจจะมีพลังอ่อนแอ มิอาจส่งผลกระทบต่อทั้งดินแดนจิตโลกาได้ แต่หากเขาพบเข้าแล้ว หากสามารถข้องเกี่ยวได้ แน่นอนว่าก็ต้องทำ!
“ยุ่งยากใหญ่แล้ว”
“สังหารแม่ทัพสยาอินธิดาของท่านประมุขตระกูลเสียแล้ว”
“ไม่ดีแล้ว”
ผู้บำเพ็ญท้องถิ่นจำนวนนับไม่ถ้วนรอบด้านเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับนั่งดื่มสุราอยู่ตรงนั้นต่อไป
“ตู้ม…”
ไกลออกไป กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นอันสะดุดตาสายหนึ่งพลันมาเยือน เขาเหมือนกับรัศมีอันเจิดจ้า รัศมีอันไร้ที่สิ้นสุดโหมซัดสาดแล้วค่อยๆ รวมตัวกันเป็นเงาร่างมนุษย์คนหนึ่ง ขณะเดียวกันเสียงตะโกนด้วยความโมโหก็สะท้อนก้องไปทั่วฟากฟ้า “ใครสังหารสยาอินบุตรสาวข้า”
“เป็นข้าเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ตรงนั้นต่อไป ทั้งยังยกสุราให้ตนเองอีกด้วย
 ……………………………

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด