Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 21
“นายท่าน” น้ำเสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้นประมุขเกาะกาลมิติที่นั่งขัดสมาธิ หลับตาบำเพ็ญอยู่เงียบๆ บนผืนหญ้าสีเงินยวงลืมตาขึ้น เขารู้ว่าเสียงนี้เป็นของวิญญาณอาวุธจากตำหนักเทพกาลมิติมารายงาน“มีเรื่องอันใดหรือ” ประมุขเกาะกาลมิติถาม“เด็กน้อยที่ข้าควบคุมเอาไว้หลายคนถูกจ้าวตงป๋อบังคับพาตัวไปเสียแล้วขอรับ” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยต่อไป “ทั้งยังกำจัดรอยประทับที่ข้าทิ้งเอาไว้บนดวงวิญญาณของเจ้าเด็กหลายคนนั้นด้วย เจ้าเด็กหลายคนนั้นก็คือจักรพรรดิกระบี่ นายท่านแห่งภูเขาเหมยและคนอื่นๆ ที่รู้จักกับจ้าวตงป๋อตอนอยู่ในขั้นเหนือธรรมดา”“เฮอะ” ประมุขเกาะกาลมิติส่งเสียงเฮอะเยียบเย็น “จะพาไปก็พาไปเถิด ผู้เวียนว่ายมีเป็นพันล้านคน น้อยไปไม่กี่คนนั่นก็ไม่เห็นเป็นไร”“ขอรับ” น้ำเสียงทุ้มต่ำยอมรับแต่โดยดี“ไปเสียเถิด” ประมุขเกาะกาลมิติคร้านจะพูดให้มากความ“ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ช่างเป็นคนที่มีเมตตาเสียจริง” นัยน์ตาของประมุขเกาะกาลมิติมีประกายหนาวเหน็บ เพียงแต่ส่วนที่ลึกที่สุดในใจมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นลางๆ เงาร่างนั้นช่างห่างไกลและเลือนรางนัก เขาเองก็เคยมีคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตมาก่อน เพียงแต่ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพียงความจอมปลอม เป็นเพียงเรื่องน่าขันเท่านั้นประมุขเกาะกาลมิติหัวเราะเยียบเย็นเสียงต่ำ “ก่อนหน้านี้ก็ได้รับรายงานบอกว่าเขาย้อนเวลาไปฟื้นคืนชีพให้กับเจ้าเด็กจำนวนหนึ่งจากภายในมหานทีแห่งกาลเวลา เรียกถงซานอะไรกัน อนุชนรุ่นหลังของเฉิงหลิงซูที่แสนอ่อนแอกลุ่มหนึ่ง พวกนั้นต่างก็เป็นแค่คนของโลกเผ่าเซี่ยเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเขาจะช่วยแม้กระทั่งผู้เวียนว่ายไม่กี่คนที่เพียงแค่ผ่านภูผาศิลาแดงมาด้วยกัน ช่างใจอ่อนเสียจริง! ใจอ่อนเช่นนี้แต่ถึงกับสามารถเป็นผู้ปกครองอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้!”แม้ว่าเขาจะไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรมิได้พูดถึงพลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็เป็นสุดยอดในบรรดาผู้ปกครอง สามารถเทียบเคียงได้กับผู้ครองชิงและผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ถ้าหากใช้น้ำเต้าสีดำนั่น… เว้นแต่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตจะลงมือ มิฉะนั้นก็คือไร้ซึ่งศัตรูแล้ว! ความกดดันของพลังยุทธ์นี้ ทำให้ประมุขเกาะกาลมิติได้แต่อดทน!ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์ของทั้งจักรวาลในตอนนี้ จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกลายเป็นเทพอากาศ สูงส่งเหนือผู้คน! ผู้ใดก็ไม่อยากไปล่วงเกินจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต เพราะในภายหน้าเมื่อสิ้นสุดจักรวาล ยังต้องการให้จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพาพวกเขาจากไปพร้อมกันด้วย!จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกับตงป๋อเสวี่ยอิงยังมีความสัมพันธ์เป็นศิษย์อาจารย์กันอีกด้วย!ไม่ว่าจะเพราะพลังยุทธ์ หรือศักยภาพของตงป๋อเสวี่ยอิง เมื่อคิดถึงอนาคตแล้วเหล่าผู้ปกครองล้วนต้องทำดีกับตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไว้! ส่วนผู้มีอุปนิสัยหัวรั้นอย่างประมุขเกาะกาลมิติก็ได้แต่อดทนเท่านั้น******ในเมื่อตนมีพลังยุทธ์เช่นนี้ เรื่องที่ควรทำก็สมควรต้องทำ! ตงป๋อเสวี่ยอิงช่วยให้คนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งฟื้นคืนชีพจริงๆ แต่สำหรับเขาแล้วนี่เป็นเพียงแค่เรื่องง่ายดายราวกับปอกกล้วยเท่านั้น ทว่าสำหรับผู้คนมากมายที่เขาช่วยให้ฟื้นคืนชีพนั้นช่างสำคัญเหลือเกิน ยามที่นายท่านแห่งภูเขาเหมยกับผู้คนอันเป็นที่รักของเขาพบหน้ากัน แต่ละคนก็มีน้ำตานองหน้า จักรพรรดิกระบี่ก็หัวเราะเสียงดังลั่นอย่างบ้าคลั่ง น้ำตาจากการหัวเราะก็ไหลรินออกมาเสียแล้ว…“ท่านอาจารย์”ท่ามกลางท้องฟ้ากระจ่างดาว ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงบริเวณที่มั่นของลัทธิจอมมารดา ตอนนี้ป้อมปราการทรงกลมแห่งนั้นถูกค่ายกลอันซับซ้อนรายล้อมเอาไว้ จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตยืนอยู่กลางท้องฟ้า มองดูอยู่ห่างๆ พลางควบคุมค่ายกลไปในขณะเดียวกัน แล้วคิดไตร่ตรองเป็นระยะๆ สำหรับเรือรบซวีมู่ลำนั้นได้ถูกทำลายไปก่อนแล้ว ส่วนบรรดาเจ้าลัทธิจอมมารดาที่อยู่ข้างในเหล่านั้น จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตได้ตัดศีรษะสังหารไปอย่างไม่ไว้ไม่ตรีไปหมดแล้ว“เสวี่ยอิง เจ้ามาแล้ว” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองลูกศิษย์ของตนยิ้มๆ ปราดหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็มองไปทางป้อมปราการทรงกลมอันโบร่ำโบราณที่อยู่ตรงหน้าแล้วเอ่ยว่า “ภายในที่มั่นของลัทธิจอมมารดาแห่งนีัมีเพียงแค่เจ้าลัทธิสองท่านเท่านั้น ทั้งยังถูกข้าใช้วิชาลับทำให้ตกใจตายไปแล้ว ตอนนี้ภายในป้อมปราการแห่งนี้จึงไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่อีกแล้ว แต่ข้าก็เปิดมันไม่ออก ทั้งยังมิอาจหลอมแปรมันได้ด้วย เสวี่ยอิง เจ้ามีวิธีบ้างหรือไม่เล่า”ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบถอนหายใจ ท่านอาจารย์ของตนคู่ควรที่จะเป็นเทพอากาศจริงๆ สามารถทำลายที่มั่นของลัทธิจอมมารดาแล้วสังหารเจ้าลัทธิทั้งสองที่อยู่ภายในจนตายได้“พูดถึงเรื่องค่ายกลและสมบัติล้ำค่า ข้ายังห่างชั้นกับท่านอาจารย์มากมายเหลือเกิน ท่านอาจารย์อย่าถามเรื่องเหล่านี้กับข้าเลยขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตแย้มยิ้ม ก็ถูก แม้ว่าศิษย์ของตนจะร้ายกาจ แต่สิ่งที่จำเป็นในการเรียนรู้ทุกสรรพสิ่งนั้นก็คือจิตใจที่สงบ สิ้นเปลืองพลังงาน อาศัยเวลาอันยาวนาน และประสบการณ์ จึงจะก่อให้เกิดความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ หากมีเวลาไม่เพียงพอก็ไม่ได้“เจ้ามาที่นี่คงจะมิใช่มาเยี่ยมเยียนข้าหรอกกระมัง” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดยิ้มๆ “พูดมาเถิด มีเรื่องอันใดหรือ”ระดับขั้นของเขาในตอนนี้ก็ล้ำเลิศไร้ศัตรูในจักรวาลแล้ว สิ่งที่เขาคิดในตอนนี้ก็คือการเดินในเส้นทางการบำเพ็ญให้ไกลยิ่งขึ้น! ‘จอมมาร’ และ ‘จอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบ’ จากเผ่าเดียวกันต่างก็เดินอยู่ข้างหน้า“มีธุระพ่ะย่ะค่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างจริงจัง “ท่านอาจารย์ ตำหนักเทพกาลมิติหยั่งรากลึกในโลกเทพและหุบเหวลึก ถือเป็นเนื้อร้ายชิ้นใหญ่ของโลกวัตถุ เหนือธรรมดาสัจจาชั้นสาม มันก็สามารถบีบบังคับช่วงชิงไปแล้วควบคุมวิญญาณ ทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับภารกิจที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายครั้งแล้วครั้งเล่า… บีบบังคับให้พวกเขาต้องเคี่ยวกรำท่ามกลางความเป็นความตายแล้วคัดเลือก ตายไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า เว้นแต่จะมีเหนือธรรมดาสัจจาชั้นสองจึงจะมีสิทธิ์ปฏิเสธได้ แต่โลกมนุษย์ธรรมดาใบหนึ่งจะมีเหนือธรรมดาสัจจาชั้นสองถือกำเนิดขึ้นมาสักคนนั้นยากเย็นเพียงใด พูดได้ว่าชีวิตในโลกมนุษย์ธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วน ตำหนักเทพกาลมิติอยากจะจับกุมใครก็จับ พันล้านชีวิตถูกทรมานจนตาย แม้ว่าจะมีส่วนน้อยที่กลายเป็นเทพ ก็ถูกพวกเขาควบคุมเช่นเดิมอยู่ดี!”“พอถูกพวกเขาจับตัวไปแล้ว คิดจะได้รับอิสรภาพนั้นยากเย็นเหลือแสน”ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต “ตำหนักเทพกาลมิติไม่ควรมีอยู่อีกต่อไป! ถึงแม้จะอยู่ต่อไปได้เหมือนเดิม ก็จะจับตัวสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งจักรวาลตามอำเภอใจเช่นนี้อีกมิได้”จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตฟังแล้วก็พยักหน้าน้อยๆ “ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล ข้าเห็นด้วย เจ้ามาหาข้าก็เพราะอยากจะให้ข้าออกหน้าให้อย่างนั้นหรือ”“ใช่แล้วขอรับ ประมุขเกาะกาลมิติควบคุมมิติได้ หากข้าเปิดปากพูด เกรงว่าเขาจะไม่ยอมก้มหัวให้ แต่ถ้าหากท่านอาจารย์ออกหน้า เช่นนั้นก็คงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้าเบาๆ “ตอนนั้นข้า หยวนชู กับคนอื่นๆ ก็ต่อต้านเป็นอย่างมาก เพียงแต่ไม่สามารถทำอะไรประมุขเกาะกาลมิติได้ ก็ได้แต่ต่อรองกับเขาแล้วตรากฎขึ้นมาจำนวนหนึ่งเพื่อรักษาสมดุลของจักรวาล”“ตอนนี้ก็ควรจะเปลี่ยนแปลงได้แล้ว” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้า “เช่นนี้ก็แล้วกัน ต่อจากนี้เป็นต้นไป ตำหนักเทพกาลมิติจะทำได้เพียงพาวิญญาณของสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้วเหล่านั้นไปเท่านั้น! ให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงกายเนื้อ ทำให้พวกเขาได้เริ่มต้นอีกบทของชีวิต”“ดีขอรับ” สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงทอประกายวูบหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่ตายไป เดิมทีก็จบสิ้นแล้วถ้าหากมีการเดินทางครั้งใหม่ ก็นับว่ากลับกลายเป็นเรื่องดี“เรื่องนี้ก็จัดการเช่นนี้แล้วกันนะ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้า ด้วยสถานะของเขาในตอนนี้ วาจาประโยคหนึ่ง ประมุขเกาะกาลมิติก็ต้องฟังแต่โดยดี หากไม่ฟังคำหรือก็จะทำลายตำหนักเทพกาลมิติเสียเลย!“ท่านอาจารย์ ข้าอยากถามมาโดยตลอดว่าตอนนั้นท่านสร้างหอสุราคมมีดโลหิตขึ้นมาเพราะเหตุใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถามจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเลิกคิ้วขึ้นพลางแย้มยิ้ม “เจ้าเด็กนี่ ข้าสร้างหอสุราคมมีดโลหิตขึ้นที่โลกวัตถุโลกเทพหุบเหวลึก หนึ่ง เป็นเพราะมือสังหารย่อมไม่มีทางหมดสิ้นไปตลอดกาล ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็เลยสร้างกฎให้กับกิจการมือสังหาร ข้อสอง ก็เป็นเหตุผลหลัก ที่ข้าก่อตั้งหอสุราคมมีดโลหิต เช่นนั้นเมื่อมือสังหารทั่วทั้งจักรวาลจำนวนนับไม่ถ้วนไปยังค่ายสังหาร เหตุปัจจัยเหล่านี้ต่างก็มีข้าเป็นส่วนหนึ่งด้วย… ข้าถูกเหตุปัจจัยอันไร้ที่สิ้นสุดผูกมัดเอาไว้ทุกวันทุกคืน ค่ายสังหาร คาวเลือด และความเกลียดชัง… ทั้งหมดนี้สามารถขัดเกลาระดับจิตใจของข้า ทำให้ประสบการณ์ใน ‘วิถีทำลายล้าง’ และ ‘วิถีคมมีดโลหิต’ ของข้าสามารถเพิ่มความล้ำลึกขึ้นได้”ตงป๋อเสวี่ยอิงชะงักเพื่อการบำเพ็ญเช่นนั้นหรือเหตุปัจจัยจำนวนนับไม่ถ้วนเหตุปัจจัยผูกมัดเอาไว้ทุกวันทุกคืน คาวเลือดจำนวนนับไม่ถ้วน เสียงคร่ำครวญกึกก้องรายล้อม วันคืนเหล่านี้จะต้องเป็นความทุกข์ทรมานอย่างมาก“ไปเถิด” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูด……จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเปิดปากพูด ประมุขเกาะกาลมิติก็ฟังคำแต่โดยดีในทันที จากนี้ไปตำหนักเทพกาลมิติทำได้เพียงพาดวงวิญญาณที่เสียชีวิตแล้วไป ผู้เวียนว่ายจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกพาตัวไปก่อนหน้านี้ต่างก็ได้รับโอกาสเลือก.. สามารถเลือกเป็นอิสระได้! ถ้าหากเลือกที่จะเป็นผู้เวียนว่ายต่อไป ก็จะมีของกำนัลอันยิ่งใหญ่มอบให้เวลาเคลื่อนผ่านไปเพราะการถือกำเนิดของเทพอากาศ มีบุคคลผู้ไร้ซึ่งศัตรูท่านหนึ่งนั่งอยู่ในจักรวาล ดังนั้นภายในจักรวาลจึงกลับกลายเป็นเงียบสงบยิ่งขึ้น ต่างก็รู้ว่าเมื่อถึงจุดสิ้นยุคจักรวาลแล้วก็สามารถจากไปได้ ไม่มีความรู้สึกเร่งรัดเหล่านั้นอีกแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าผู้ปกครองแต่ละคนก็ดีขึ้นเป็นอย่างมากผ่านไปปีแล้วปีเล่าตงป๋อเสวี่ยอิงพา รางแยกหนึ่งของลูกศิษย์ ‘เจ้าเจ็ดแห่งตระกูลฉง’ ออกมา ทำให้เจ้าเจ็ดแห่งตระกูลฉงรู้จักฟ้าดินอย่างกว้างขวางขึ้น สำหรับการบำเพ็ญและการกำหนดอารมณ์ส่วนภรรยาจิ้งชิว ตงป๋ออวี้ ตงป๋อชิงเหยา ศิษย์โม๋ชงอวิ๋น ศิษย์เจียอวิ๋น และฉือชิวไป๋นั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ส่งพวกเขาไปยัง ‘จักรวาลคีรีมาร’ อีกครั้งหนึ่ง แต่ว่ารอคอยอยู่ในจักรวาลคีรีมารไม่ถึงล้านปี ผู้ที่ก้าวหน้าที่สุดก็คือโม๋ชงอวิ๋น รอคอยมาเก้าแสนแปดหมื่นปี แน่นอนว่า… หนึ่งล้านปีของจักรวาลผู้บำเพ็ญ แต่กลับนานกว่าสามพันล้านปีในจักรวาลคีรีมารมีสหายที่ดีของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่าง ‘ท่านชายสาม’ เจียวอวิ๋นหลิวคอยช่วยเหลือ พวกอวี๋จิ้งชิวต่างก็ได้รับสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดสำหรับการบำเพ็ญ สามารถบำเพ็ญระบบอื่นๆ ควบคู่ไปด้วยได้ ที่จักรวาลคีรีมารก็มีผู้แกร่งกล้าจากระบบอื่นๆ คอยชี้แนะให้ในที่สุดบุตรสาว ‘ตงป๋อชิงเหยา’ ใช้เวลาบำเพ็ญทั้งหมดเก้าร้อยล้านปีกว่า บรรลุสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่เป็นคนแรกสุด!ส่วนอีกคนก็คือศิษย์คนโตโม๋ชงอวิ๋น ใช้เวลาสามพันล้านปีกว่า ก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่เช่นกันส่วนคนอื่นๆ ต่างก็ติดอยู่ที่ระดับขั้นเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นมาโดยตลอด อวี๋จิ้งชิวได้ฝึกวิถี ‘ทิพย์’ อีกสายควบคู่ไปด้วย แต่ก็ยังไม่สามารถบรรลุได้ชั่วคราวเช่นกัน……ทะเลหมอกดำ จวนจ้าวตงป๋อตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวมองดูท้องฟ้าอยู่ตามลำพัง เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศข้างๆ ซึ่งก็คืออวี๋จิ้งชิวนั่นเอง“เสวี่ยอิง” อวี๋จิ้งชิวเอ่ยเสียงต่ำ “พวกเขาใกล้จะไม่ไหวแล้ว”ตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นสะท้านไปทั้งร่างท่านพ่อ ท่านแม่ น้องชาย ท่านอาจง ท่านอาถงนั้น พวกเขาพยายามทุกวิถีทางแล้วพวกเขาก็ทำได้เพียงบำเพ็ญสำเร็จเป็นวิญญาณเทพ อายุขัยของวิญญาณเทพมีจำกัด โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งร้อยล้านปี วันเวลาก่อนหน้านี้ พวกท่านพ่อ ท่านแม่ก็ใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว แต่อาศัยสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ควบคุมความเร็วในการเคลื่อนของเวลา พวกเขากำลังรอคอย รอท่านอาจง ท่านอาถง และตงป๋อชิงสือ พวกเขาอยากจะไปพร้อมกัน พวกเขาช่างมีจิตใจดียิ่งนัก รู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้ก็พึงพอใจมากแล้ว“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านอาจง ท่านอาถง เจ้าหินน้อย…” ตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นสะท้านไปทั้งหัวใจ บุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาเหล่านั้น ตอนนี้พวกเขาจะไปแล้ว จะจากไปตลอดกาลแล้ว! ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าหัวใจว่างโหวงไปหมดตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกหวาดกลัววันนี้มาตลอดแต่ก็ยังมาถึงจนได้!เขาเคยคิดว่าตนจะสามารถยอมรับได้อย่างสงบ แต่เมื่อชั่วขณะนี้มาถึงจริงๆ แล้วเขากลับพบว่า นั่นคือการที่ชีวิตของตนถูกตัดขาด! หัวใจของตนถูกตัดขาด! เจ็บ เจ็บเหลือเกิน“ไป พวกเราไปกันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด……………………………..
คอมเม้นต์