Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 13 แปดพันปี
“ลูกพ่อกำลังอ่านหนังสืออยู่หรือ พ่อเอาของที่เจ้าชอบกินมาให้เจ้าด้วยนะ”อิงซานเลี่ยฮู่พลิกมือคราหนึ่ง ประคองถาดไม้ใบหนึ่งด้วยมือข้างเดียว บนถาดไม้มีตะแกรงไม้และจานหยกอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งวางอาหารเลิศรสเอาไว้ ส่งกลิ่นหอมอบอวลตอนนั้นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารฝูงมารผลาญทำลาย แล้วก็เดินทางไปตระเวนกินอาหารเลิศรสตามที่ต่างๆ ตอนนี้กลับชาติมาเกิดมาถึงดินแดนจิตโลกา เพิ่งเริ่มต้น นอกจากพลิกอ่านตำราจำนวนมากแล้ว ก็ได้ไปยังหอสุราอันเลื่องชื่อของเมืองอัคคีโชติ และร้านสุราริมทางหลายแห่งเพื่อลิ้มชิมอาหารเลิศรส ตอนนี้สมาชิกตระกูลอ๋องโหวจำนวนมากของเมืองอัคคีโชติต่างก็รู้กันว่า… คุณชายน้อยเสวี่ยอิงผู้นี้ชมชอบอาหารเลิศรส“ผู้อาวุโสเถียน ข้าต้องการจะปลีกวิเวกบำเพ็ญ ผู้ใดก็อย่าได้มารบกวนเป็นอันขาด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเบือนหน้าหนีไป“ลูกพ่อ ลูกพ่อ” อิงซานเลี่ยฮู่เดินเข้ามาแต่ผู้อาวุโสเถียนกลับเอาร่างกายเข้าขวางเอาไว้ ขวางอยู่ตรงเบื้องหน้าอิงซานเลี่ยฮู่ “คุณชายเสวี่ยอิงจะปลีกวิเวก ห้ามรบกวนเป็นอันขาด”“เฮ้อ”อิงซานเลี่ยฮู่เห็นเหตุการณ์แล้วก็ได้แต่เบะปากอย่างจนใจ แล้วหยิบเอาติ่มซำในจานไม้ใบหนึ่งโยนเข้าปากอย่างส่งๆ จนหมดเกลี้ยง “ของอร่อยถึงเพียงนี้ก็ไม่ยอมกิน จริงๆ เลยนะ…เฮ้อ ข้าให้ซิงหลันกินก็ได้”อิงซานเลี่ยฮู่หันศีรษะไปแล้วไปหาหรงซิงหลันผู้อาวุโสเถียนเห็นเหตุการณ์นี้แล้วก็พึมพำเสียงต่ำกับตนเองว่า “อิงซานเลี่ยฮู่ผู้นี้ช่างหน้าหนาเสียจริงเชียว”สิงห์เมฆาทะมึนสองตนที่หมอบอยู่ตรงนั้นเหลือบมองอิงซานเลี่ยฮู่ที่จากไปแวบหนึ่งแล้วก็หลับตาลงสู่ห้วงนิทราต่อไป……“เฮ้อ… จะตีก็ตีไม่ได้ จะผลักก็ผลักไม่ได้ หนังหน้าก็หนาถึงเพียงนี้ ช่างน่าปวดหัวเสียจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงหลบเข้ามาในเจดีย์สูงแห่งหนึ่ง ภายในเจดีย์มีห้วงมิติอันปั่นป่วนอยู่ ตรงกลางนั้นมีก้อนหินใหญ่ขนาดพื้นที่ประมาณหนึ่งจั้งลอยอยู่ ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้ามาแล้วก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศบนก้อนหินใหญ่ก้อนนั้นแล้วนั่งลงขัดสมาธิห้วงมิติอันปั่นป่วนที่ล้อมรอบอยู่บางส่วนแทรกผ่านเข้าไปภายในร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงเพื่อการบำเพ็ญวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า จวนท่านโหวหั่วเลี่ยได้ซื้อเจดีย์เทพอากาศแห่งหนึ่งมาเป็นพิเศษสำหรับให้ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญ“บิดาในชาตินี้น่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะเขาไม่ชอบอิงซานเลี่ยฮู่จากก้นบึ้งของจิตใจถึงอย่างไรก่อนที่ตนเองจะถือกำเนิดและสำแดงพรสวรรค์อันน่ามหัศจรรย์…อิงซานเลี่ยฮู่ก็ไม่เคยแยแสความเป็นความตายของลูกๆ เหล่านี้เลยสักนิด รู้จักก็แต่เพียงความสุขส่วนตนเท่านั้น! กับหรงซิงหลัน ก่อนหน้านี้ก็มิได้มีความรู้สึกด้วยเลยแม้แต่น้อย ลำพังแค่สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ชอบพอเขาเป็นอย่างมากแล้วเพียงแต่ว่า…หลังจากที่ตนถือกำเนิดแล้วมีความน่าอัศจรรย์เหลือล้น อิงซานเลี่ยฮู่กลับมาที่นี่แทบไม่เว้นแต่ละวันพร้อมรอยยิ้มเต็มหน้า กระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง ตนเองจะไม่สนใจเขาก็ได้ แต่อิงซานเลี่ยฮู่กลับหันไปเอาใจหรงซิงหลัน เอาของกินและเครื่องประดับต่างๆ มาเอาใจหรงซิงหลันอยู่เป็นประจำ หรงซิงหลันค้นพบว่าสามีของตนทำดีต่อตนเองเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้จะรู้ว่ามีเหตุผลอยู่เบื้องหลังการทำดี แต่ก็ค่อยๆ ให้อภัยเขาแล้วหรงซิงหลันกับอิงซานเลี่ยฮู่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้แต่พยายามหลบอย่างสุดกำลัง “เอาล่ะๆ ขอเพียงแค่ท่านแม่เบิกบานใจ ขอเพียงแค่เขาไม่ก่อเรื่อง ก็ถือเสียว่าทำเพื่อให้ท่านแม่เบิกบานใจก็แล้วกัน”“ในเมื่อปลีกวิเวกแล้วก็ตั้งใจบำเพ็ญสักหน่อยแล้วกัน”ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูตำราในมือแล้วเก็บลงไปในทันที ตำราเล่มนี้ก็อธิบายเกี่ยวกับประมุขรัฐเมฆทักษิณาเช่นเดียวกันหลายปีมานี้…ตงป๋อเสวี่ยอิงรวบรวมตำราที่อธิบายเกี่ยวกับประมุขรัฐเมฆทักษิณาเอาไว้มากมาย ทั่งยังรวบรวมข้อมูลเอาไว้จำนวนหนึ่งด้วย เขาค้นพบจากสิ่งเหล่านั้นว่าประมุขรัฐเมฆทักษิณาไปถึง ‘การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด’ แล้ว ทั้งยังมีร่างแยกอีกด้วย! นี่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าการอยู่ภายในสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์นั้นดูจะมีอนาคตอันสดใสยิ่ง ควรค่าแก่การให้ตนทุ่มเทบำเพ็ญ******ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บตำราแล้วนั่งขัดสมาธิบนก้อนหินใหญ่ที่ลอยอยู่ก้อนนั้นแล้วเริ่มต้นบำเพ็ญตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เหมือนกับคนข้างๆ เขาบำเพ็ญวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าโดยไม่มีจุดติดขัดใดๆ เลย ถึงอย่างไรระดับสูงที่สุดของฉบับย่อนี้ก็เป็นเพียงแค่พลังยุทธ์ระดับชั้นที่เก้าของวังปฐมเทพเท่านั้น บวกกับความที่พลังยุทธ์ของประมุขรัฐเมฆทักษิณาแข็งแกร่งเป็นที่สุด สิ่งที่คิดค้นขึ้นก็เป็นสิ่งที่ง่ายต่อการเรียนรู้ ระดับความยากก็เทียบเคียงได้กับเคล็ดวิชาระดับชั้นที่แปดของเจดีย์ดาวที่ตนคิดค้นขึ้นในชาติก่อนเท่านั้นเองบวกกับการที่ห้วงอากาศของโลกกำเนิดทั้งสองแห่งมีส่วนที่คล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก ก็ย่อมไม่มีจุดติดขัดแต่อย่างใดอยู่แล้วส่วน วิถีโลกเทียม’ ที่เป็นวิถีหลักของตนอีกสายหนึ่งนั้น เพราะดูเหมือนว่าความเร้นลับของกฎเกณฑ์จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การบำเพ็ญจึงเนิ่นช้าลงไปเป็นอย่างมาก นี่ก็เป็นเหตุผลที่ตงป๋อเสวี่ยอิงวางแผนจะอาศัยเส้นทางวิถีอากาศทำให้สำเร็จเป็นขั้นอลวนก่อน พอวิญญาณแข็งแกร่งแล้วการบำเพ็ญวิถีโลกเทียมจึงจะรวดเร็วยิ่งขึ้นได้“ครืน…” ร่างกายส่งเสียงคำรามภายในเจดีย์เทพอากาศประกอบด้วยเสาแก้วผลึกแปดต้น ผลิตห้วงมิติอันปั่นป่วนแทรกผ่านเข้าไปภายในร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขา ฤทธิ์ยาอันล้ำค่าจำนวนหนึ่งที่ใช้ในร่างกายก็กำลังบำรุงกระดูก กล้ามเนื้อ และโลหิต ทำให้สายโลหิตภายในกายค่อยๆ อุดมสมบูรณ์ขึ้น อันที่จริงแล้วจุดประสงค์หลักที่สุดของเจดีย์เทพแห่งนี้ก็เพื่อการบำเพ็ญร่างเมฆทักษิณาทิพย์วิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่ามาพร้อมกับเคล็ดวิชาหลอมร่างกายที่สำคัญเคล็ดหนึ่งก็คือ ‘ร่างเมฆทักษิณาทิพย์’ยิ่งบำเพ็ญร่างเมฆทักษิณาทิพย์ต่อไป ก็ยิ่งต้องการสมบัติล้ำค่าจำนวนมหาศาล ดูดซับสารที่สำคัญของมันเข้าไปในร่างกาย พูดว่าเป็นการบำเพ็ญร่างกาย แต่ในความเป็นจริงแล้วก็เหมือนกับการทำให้ร่างกายกลายเป็น ‘อาวุธลับล้ำค่า’ ระหว่างการบำเพ็ญ เมื่อบำเพ็ญไปจนถึงที่สุดแล้วทุกส่วนของร่างกายต่างก็สามารถใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้ได้ทั้งสิ้นร่างกายสามารถเรียกได้ว่าแข็งแกร่งมิอาจทำลาย ทั้งยังมีผลของ ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ ร่วมด้วย ก็จะเชี่ยวชาญด้านการเคลื่อนที่ผ่านอากาศหนีเอาชีวิตรอดเป็นที่สุดดังนั้น เคล็ด ‘ร่างเมฆทักษิณาทิพย์’ นี้จึงเป็นเคล็ดวิชารักษาชีวิตที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ นี่ก็คือเหตุผลที่แท้จริงที่สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ สำนักวิชาที่มาจากรัฐประเทศชั้นรองแห่งหนึ่งสามารถกลายเป็นหนึ่งในสิบสำนักใหญ่แห่งดินแดนจิตโลกาได้……กาลเวลาเคลื่อนผ่าน“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจแล้วหยุดการบำเพ็ญลงในทันที“ครบแปดพันปีแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ เขาวางแผนเอาไว้ว่าจะบรรลุไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งภายในระยะเวลาแปดพันปีหลังถือกำเนิด ถึงแม้ว่าระยะเวลาระหว่างการบำเพ็ญจะผ่านไปอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง แต่ในระหว่างความมืดมิดนั้น มาถึงเวลานี้เขาก็ย่อมสามารถหยุดลงได้แล้ว“บำเพ็ญกระบวนท่าที่สี่และห้าของวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าสำเร็จแล้ว”ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่นปังตลอดร่างพลันสำแดงใบมีดอากาศอันไร้รูปร่างสายแล้วสายเล่าออกมา เหินลอยไปทุกทิศทุกทาง บริเวณที่ผ่านไปนั้น อากาศก็ถูกตัดออกเป็นระลอกๆ ความยิ่งใหญ่ของการคุกคามนั้นถึงขนาดที่มีรูปแบบของฉุนอวี้เว่ยอีผู้นั้นอยู่หลายส่วนพรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!ทันใดนั้นร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็กะพริบอย่างรวดเร็ว เคลื่อนที่ในพริบตาไปยังที่ต่างๆ ภายในห้วงมิติของเจดีย์เทพอากาศแห่งนี้ แล้วร่อนกลับไปบนหินก้อนใหญ่ที่เดิม“สำเร็จการเคลื่อนที่ในพริบตาแล้วด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆกระบวนท่าที่สี่และกระบวนท่าที่ห้าของวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า… ต่างก็เป็นเคล็ดวิชาระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพกระบวนท่าที่หก กระบวนท่าที่เจ็ดต่างก็เป็นเคล็ดวิชาระดับชั้นที่เจ็ดแล้วกระบวนท่าที่แปดนั้นเป็นเคล็ดวิชาระดับชั้นที่เจ็ดของขั้นอลวน เพราะว่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนจำนวนหนึ่ง หากใช้เพียงแค่ความเร้นลับของขั้นรวมเป็นหนึ่งก็ยังไม่แน่จริงๆ ว่าจะไปถึงพลังรบชั้นที่เจ็ดได้ ดังนั้นสำหรับกระบวนท่าที่แปด…ก็ใช้ความเร้นลับบางอย่างของขั้นอลวน ทำให้เหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวโดยทั่วไปต่างก็สามารถไปถึงพลังรบชั้นที่เจ็ดได้ พลังยุทธ์ชั้นที่เจ็ดจึงจะมีคุณสมบัติเป็นเฟิ่งโหวได้!กระบวนท่าที่เก้า และกระบวนท่าที่สิบนั้นเป็นพลังยุทธ์ระดับชั้นที่แปดของวังปฐมเทพกระบวนท่าที่สิบเอ็ด และกระบวนท่าที่สิบสองก็คือพลังยุทธ์ระดับชั้นที่เก้าของวังปฐมเทพ“ออกไปเดินเล่นผ่อนคลายจิตใจสักหน่อยดีกว่า กลับมาก็ค่อยบรรลุขั้นรวมเป็นหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายลุกขึ้น มาถึงพลังยุทธ์เช่นนี้ เขาก็ผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่งระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพ…ต้องรู้ไว้ว่าภายในจวนโหว ศิษย์ระดับชั้นที่ห้าของวังปฐมเทพก็สามารถเป็นผู้อาวุโสได้แล้ว เหล่าเค่อชิงที่มาจากภายนอกที่เป็นระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพ ขอเพียงแค่มาสวามิภักดิ์ต่อจวนโหว ก็สามารถเป็นผู้อาวุโสได้แล้ว ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ที่มีพลังยุทธ์เหล่านี้ เพียงแค่เข้าร่วมกับตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาต่างก็สามารถครองสถานะอันสูงส่งมีอภิสิทธิ์พิเศษได้แล้ว ในโลกกำเนิดอากาศอันสับสนอลหม่านอีกแห่งหนึ่ง สิ่งที่ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนกำเนิดใหม่มีนั้นก็เพียงแค่พลังรบระดับชั้นที่หกเท่านั้นเองออกมาจากเจดีย์เทพอากาศพรึ่บ พรึ่บสิงห์เมฆาทะมึนสองตนที่เฝ้าอารักขาอยู่ด้านนอกเจดีย์บินโฉบเข้ามาในทันที ในความเป็นจริงแล้วลานรอบเจดีย์เทพอากาศแห่งนี้ล้วนมียามรักษาการณ์เฝ้าอารักขาอยู่ตลอดเวลา ในยามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงปลีกวิเวก เกรงว่านอกจากท่านโหวแล้ว ผู้ใดก็มิกล้าบุกรุกเข้ามา“ออกไปเดินเล่นสักหน่อย” ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงเติบโตขึ้นเล็กน้อย มีกลิ่นอายของชายหนุ่มรูปงามรางๆ……เพียงไม่นาน รถม้าคันหนึ่งที่ใช้สัตว์มังกรลากจูง หนุ่มน้อยหล่อเหลางดงามนั่งอยู่บนรถม้า ด้านหน้ามีสิงห์เมฆาทะมึนสองตนหมอบอยู่ ด้านข้างมีผู้อาวุโสเถียนยืนอยู่ ทั้งยังมีองครักษ์ติดตามเก้าคนยืนอยู่ด้านหลังรถม้าด้วยฟิ้วรถม้าถูกลากจนเหินเคลื่อนผ่านฟากฟ้าอย่างรวดเร็ว บินทะยานมุ่งหน้าไปยังจวนโหว“คุณชาย จะไปไหนก่อนหรือ” ผู้อาวุโสเถียนถาม“ไปหอสุราลิ่วเจินก่อน ไม่ได้กินอะไรมานานเหลือเกิน ท้องข้าร้องโครกครากหมดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด สิงห์เมฆาทะมึนสองตนที่หมอบอยู่ใต้เท้าต่างก็ส่งเสียงคำรามอย่างพึงพอใจ เห็นได้ชัดว่าพวกมันทั้งสองก็ชอบอาหารเลิศรสของหอสุราลิ่วเจินแห่งนั้นเช่นเดียวกัน………………………………………………………..
คอมเม้นต์