Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 34 ฝุ่นละอองตกตะกอน
ตงป๋อเสวี่ยอิงทำการสอดแนม ‘การต่อสู้ระดับสุดยอด’ ในครั้งนี้ต่อไป การต่อสู้ในระดับนี้เกิดขึ้นได้ยากยิ่งถึงแม้ว่าการชมดูการต่อสู้ในครั้งนี้จะกินแรงเป็นอย่างมาก กระบวนท่าการต่อสู้จำนวนมากรวดเร็วเกินไป เลือนรางเกินไป…แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค่อยๆ มีความรู้ในการประเมินขึ้นมาบ้างอย่างช้าๆกระบวนท่าการต่อสู้ของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะสามารถค้นพบความเร้นลับ จำนวนมากมายได้อย่างเลือนราง อย่างเช่นค่ายสังหาร การทำลายล้าง ประกาย และอสนีบาต… ความเร้นลับต่างๆ ล้วนอยู่ภายในกระบวนท่าตามธรรมชาติ ทว่าความเร้นลับต่างๆ ล้วนมีแหล่งที่มาเพียงหนึ่งเดียว ก็คือ ‘อสนีบาตอันมืดครึ้ม’ แหล่งกำเนิดของพลังการต่อสู้ของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ล้วนมาจากอสนีบาตนั้นทั้งสิ้นอสนีบาตมีพลังคุกคามล้างโลกทั้งเหิมเกริม อีกทั้งยังมีพลังทำลายล้างอย่างที่สุด…“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์กับบรรพชนโลกาเหมือนกันยิ่งนัก พวกเขาต่างก็เชี่ยวชาญเพียงแห่งเดียวเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพึมพำ “จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ดูเหมือนว่าทั้งหมดจะมาจากอสนีบาตทั้งสิ้น แต่พลังนี้ก็เพียงพอที่จะกดดันบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกาเลยทีเดียว”“บรรพชนโลกา มีความเชี่ยวชาญทางร่างกาย! บำเพ็ญร่างกายไปจนถึงระดับขั้นที่เหนือกว่าที่จะจินตนาการได้ ความแข็งแกร่งของร่างกายเขายังน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าสมบัติลับเหล่านั้นเสียอีก การโจมตีของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมิอาจทำร้ายเขาได้แม้แต่ปลายขน” ตงป๋อเสวี่ยอิงอดที่จะทอดถอนใจอย่างหนักหน่วงมิได้ เขาสำเร็จวิชาสืบทอดทั้งสี่ของจักรพรรดิดำแล้ว ดูเหมือนว่าจะสามารถบำเพ็ญร่างกายไปจนถึงระดับขั้นสูงที่สุดแล้วแต่ดูขึ้นมาแล้วร่างกายของบรรพชนโลกานี้จึงจะเรียกว่าน่ากลัว“หากบอกว่าความเชี่ยวชาญของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์คือ ‘อสนีบาต’ บรรพชนโลกาเชี่ยวชาญทางด้าน ‘ร่างกาย’ เช่นนั้นบรรพชนทิพย์ก็ซับซ้อนเสียแล้ว ”ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำบรรพชนทิพย์นั้นมีความเชี่ยวชาญ ‘เบ็ดเตล็ด’ เขามีเคล็ดวิชาอันร้ายกาจมากมาย ถึงขนาดที่เคล็ดวิชาอันร้ายกาจจำนวนหนึ่งสามารถรวมเข้าด้วยกันได้ ท่าไม้ตายที่สำแดงออกมานั้นน่าหวั่นเกรงเป็นที่สุด ทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยังต้องตอบสนองอย่างระมัดระวัง แต่ข้อบกพร่องเพียงหนึ่งเดียวก็คือ…เคล็ดวิชาอันน่าหวั่นเกรงทั้งหลายของบรรพชนทิพย์จำเป็นต้องอาศัยเวลาเล็กน้อยในการหลอมรวม ถ้าหากเป็นการต่อสู้ในระยะเวลาสั้นๆ บรรพชนทิพย์ก็มิอาจสู้บรรพชนโลกาได้“มิน่าเล่าจึงเป็นที่ยอมรับกันว่าบรรพชนโลกาและจอมมารดาเป็นผู้ที่ใกล้เคียงกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ส่วนบรรพชนทิพย์นั้นก็อาศัยเคล็ดวิชาอันแพรวพราวเทียบเคียงได้กับพวกบรรพชนโลกาอย่างรางๆ แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่พอสมควร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเงียบๆในการประเมินพลังยุทธ์อันเป็นที่ยอมรับเทพจักรวาลระดับชั้นที่สอง จอมมารดาและบรรพชนโลกาอยู่ในระดับเดียวกัน บรรพชนทิพย์และราชันย์มีดก็เข้าใกล้มากแล้ว!“แต่ตอนนี้บรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ทำได้เพียงพัวพันกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่กลับไม่สามารถทำร้ายจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้เลยแม้แต่น้อย ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจหนักอึ้ง จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สู้หนึ่งต่อสองก็ยังถือครองความได้เปรียบ มิน่าเล่าจึงเป็นบุคคลที่สามารถเป้นศัตรูกับเทพจักรวาลทั้งหมดได้ด้วยตัวคนเดียว! คิดจะสังหารเขานั้นช่างยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง“พยายามเป็นเทพจักรวาลให้ได้ก่อนเถิด”ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำตัวเขาเองก็รู้ว่าถึงแม้ตอนนี้จะนับได้ว่าเป็นระดับชั้นที่เก้าขั้นสุดยอด แต่อยากจะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลนั้นก็ยังยากอย่างหาใดเปรียบอยู่ดี วิถีโลกเทียมที่เขาเชี่ยวชาญที่สุดการสะสมของพื้นฐานก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี……ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงดูการต่อสู้ต่อไปอยู่นั้น ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลันด้วยความรู้สึกบางอย่างบริเวณไกลออกไปณ เบื้องบนของวังทวีสูญ ลำแสงสีดำขนาดมหึมาที่ขยับเคลื่อนไหวอันชวนให้คนใจสั่นนั้นพลันพุ่งตรงลงมายังเบื้องล่างแล้วตรงไปยังเคหาสน์ที่พักของจอมกระบี่ แล้วแทรกซึมเข้าไปในเคหาสน์แห่งนั้นจนหมดสิ้น หายไปอย่างไร้ร่องรอย“เกิดอะไรขึ้นกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิง ประมุขตำหนักอลหม่าน ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ และประมุขตำหนักวารีสวรรค์ แต่ละคนต่างก็เบิ่งตากว้างดูกันต่อไป ลำแสงสีดำอันน่าหวาดหวั่นนั้นถึงกับพุ่งเข้าไปในเคหาสน์ของจอมกระบี่เชียวหรือ“ฮ่าฮ่าฮ่า…”เมื่อบรรพชนเทียนอวี๋และราชันย์มีดที่รับผิดชอบรักษาการณ์มาโดยตลอดได้เห็นฉากนี้แล้วกลับเผยสีหน้ายินดีอย่างใหญ่หลวง“ช่างรวดเร็วเสียจริง” ราชันย์มีดเอ่ยชม “ควบคุมได้สำเร็จอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว นี่เพิ่งจะเป็นเวลาชั่วจิบชาเดียวเท่านั้นเอง ดูท่าทางจอมกระบี่จะสั่งสมมามากพอดูทีเดียว”“ฮ่าฮ่า เร็วกว่าที่คิดไว้มากมายนัก” บรรพชนเทียนอวี๋ก็ยินดีมากเช่นกันเขารู้ว่าต่อจากนี้ไปอานุภาพของวังทวีสูญก็จะเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมากแล้ว……การต่อสู้ของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กับบรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ ดำเนินไปเพียงชั่วเวลาจิบชาเดียวเท่านั้น“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ รับกระบี่ข้าให้ดี!” น้ำเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้นเงาร่างสองสายเดินเคียงไหล่กันออกมาจากความว่างเปล่า คนหนึ่งคือราชันย์มีด ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือบุรุษผมขาว ‘จอมกระบี่’ ด้านหลังจอมกระบี่แบกกระบี่เอาไว้เล่มหนึ่ง เขาชี้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ไกลๆ“ชิ้ง!”กระบี่ออกมาจากฝักประกายกระบี่ที่ทำให้คนหัวใจสั่นสะท้านสายหนึ่งพลันพาดผ่านฟ้าดิน แฝงไว้ด้วยพลานุภาพที่ทำให้โลกทิพย์สั่นสะท้าน ซัดไปทางจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ไกลออกไป จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ตกใจเล็กน้อย หอกหลากสีในมือกวัดแกว่งออกไปรับ ส่งเสียงดังปัง ปัง ปัง ในทันใด… เสียงดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง พื้นที่โดยรอบต่างก็บิดเบี้ยวอย่างไม่หยุดหย่อน ความเร็วในการเคลื่อนของเวลาก็กำลังเปลี่ยนแปลงเช่นกันชั่วขณะสั้นๆ ก็ประมือกันหลายสิบครั้ง จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็มิอาจเอาชนะได้เสียที บรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ต่างก็อมยิ้มพลางถอยหลังไปอีกทางหนึ่ง“ขวับ”ประกายกระบี่ลอยกลับมาอย่างรวดเร็วแล้วหล่นกลับลงไปในฝักกระบี่ที่อยู่ด้านหลังจอมกระบี่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เองก็หยุดลง หอกยาวในมือก็หายตัวไปกลางอากาศ เขายืนอยู่ที่นั่นพลางมองดูจอมกระบี่ที่อยู่ไกลออกไปต่อไป“ก่อนหน้านี้ข้าก็รู้สึกว่าเจ้าไม่ธรรมดาอย่างยิ่งอยู่แล้ว ตอนนี้ดูท่าทางก็ยังดูแคลนเจ้าเกินไป” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์อมยิ้มพลางเอ่ยชม “เจ้ากลายเป็นเทพจักรวาล ไม่พูดไม่จาก็ไปถึงระดับชั้นที่สองแล้ว ตอนนี้เคลื่อนไหวคราหนึ่งก็สามารถช่วงชิงพละกำลังของข้าได้สำเร็จไปส่วนหนึ่งแล้ว ที่เห็นเจ้าลงมือเมื่อครู่…พลังยุทธ์ของเจ้าก็มิได้ด้อยไปกว่าราชันย์มีดเลย ถ้าหากบำเพ็ญไปอีกสักระยะเวลาหนึ่งแล้วจะเหนือกว่าบรรพชนโลกาและจอมมารดา ก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ชมเกินไปแล้ว” จอมกระบี่เอ่ยอย่างสงบบำเพ็ญอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตนมาหลายยุคระเบิดขึ้นมาทีหนึ่ง…ก็สามารถเผชิญหน้าเชือดเฉือนกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้เลยทีเดียว“พรสวรรค์ในการหยั่งรู้ของเจ้าเป็นอันดับหนึ่งตั้งแต่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมถือกำเนิดขึ้นมาจนกระทั่งถึงตอนนี้เลยจริงๆ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์พูดยิ้มๆ “ในภายหน้าอาจจะมีคุณสมบัติได้เป็นคู่ต่อสู้ที่แท้จริงของข้าก็เป็นได้”ราชันย์มีด บรรพชนทิพย์ และบรรพชนโลกาที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วต่างก็เกิดความวูบไหวในอารมณ์พวกเขาก็ยอมรับว่า ‘จอมกระบี่’ นั้นมีพรสวรรค์ล้ำเลิศเพียงใด พลังยุทธ์บรรลุอย่างรวดเร็วเพียงใด สิ่งที่สำคัญก็คือต่างก็ไม่เคยเห็นจอมกระบี่ประสบกับความล้มเหลวอันใหญ่หลวงแต่อย่างใดเลย ผ่านประสบการณ์ประลองขัดเกลามามากเท่าใดก็มาถึงระดับขั้นในตอนนี้แล้ว“สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือเจ้าเกิดมาช้าเกินไปเสียแล้ว” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยิ้มอย่างสงบ ไม่หงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย “เจ้าเกิดมาช้าเกินไป ฝูงมารผลาญทำลายก็แกร่งกล้ามากยิ่งขึ้น เวลาที่เหลือให้เจ้าก็มีอยู่ไม่มากแล้วล่ะ”“หวังว่าเจ้าจะสามารถไปถึงระดับขั้นที่สามได้ก่อนที่จะถึงเส้นตายสุดท้าย เช่นนั้นโลกก็คงจะยิ่งวิเศษแล้ว” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มองจอมกระบี่ยิ้มๆ จากนั้นก็หมุนกายหายตัวไปกลางอากาศในทันใด“จะจากไปเช่นนี้น่ะหรือ” บรรพชนทิพย์ประหลาดใจอยู่บ้าง“ช่างจากไปอย่างง่ายดายนัก ถูกจอมกระบี่ช่วงชิงพลังไปส่วนหนึ่ง ยังจะสงบเช่นนี้อยู่ได้อีก” บรรพชนโลการ่างผอมเล็กพูด “ดูแล้วนับตั้งแต่ที่ถูกกู่ฉีทำเสียเรื่องเมื่อคราวก่อน บวกกับการที่ฝูงมารผลาญทำลายแกร่งกล้ายิ่งขึ้น จอมเทพศักดิ์สิทธิ์คงจะปล่อยวางกับแผนการทั้งหลายของเขาในอดีตเสียแล้ว”บรรพชนทิพย์พยักหน้า “อืม คราวก่อนเพียงเพื่อระบายความโกรธ ก็ถึงกับใช้พลังต้นกำเนิดจักรวาลส่วนหนึ่งสังหารกู่ฉี! คราวนี้ถูกจอมกระบี่ช่วงชิงพลังส่วนนั้นไป ก็ยังสามารถสงบนิ่งเช่นนี้ได้…เขาคงจะละทิ้งแผนการทั้งหลายในอดีตแล้วล่ะ”“กับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ต้องระมัดระวังตลอดเวลา” ราชันย์มีดกลับพูดขึ้น “ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเห็นว่าเรื่องราวมิอาจฝืน จึงจงใจทำให้เรามึนงง”จอมกระบี่ก็พยักหน้าน้อยๆ……ณ โลกทิพย์โบราณจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงศิลาสีดำด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “พลังยุทธ์ของจอมกระบี่ผู้นี้ช่างยกระดับอย่างรวดเร็วเสียจริง นี่เพิ่งจะนานเท่าไหร่เอง ก็สามารถต่อกรกับข้าซึ่งๆ หน้าได้แล้ว การยกระดับของเขาก็ราบรื่นเกินไปเสียแล้ว ไม่มีความติดขัดแต่อย่างใดเลย”“หรือจะบอกว่าเขาเคยได้รับ ‘ป้ายคำสั่งจิตโลกา’ กัน” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ลอบพึมพำ “น่าเสียดายที่ข้าก็เพียงแค่เคยได้ยินเกี่ยวกับป้ายคำสั่งจิตโลกา แต่ไม่เคยได้มันมาก่อนเลย”………………………………………..
คอมเม้นต์