Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 35 จับตามอง
บนเวทีการต่อสู้ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเก็บบุปผาผลาญทำลายลงไปอย่างกะทันหัน ทำให้ประมุขวังปาอวิ่นที่ถูกพันธนาการอยู่ข้างในมาโดยตลอดมีสีหน้าผ่อนคลายลง โบกภายนอกกลีบดอกไม้สีดำกึ่งโปร่งใสนั้นเลือนราง บัดนี้โลกตรงหน้าเห็นเด่นชัดขึ้นมาแล้ว ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่ยืนอยู่ไกลออกไปเอ่ยปากพูดว่า “ประมุขวังปาอวิ่น จะประลองเพื่อพิสูจน์ต่อไปหรือไม่” เสียงนุ่มนวลดังก้องขึ้นข้างหูประมุขวังปาอวิ่นมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสีหน้าซับซ้อน จากนั้นเขาก็หันกลับไปแล้วแปรเป็นลำแสงพุ่งตรงไปทางแท่นสูงด้านบน และกลับไปยังที่นั่งของตนก่อนจะนั่งอย่างเงียบเชียบครู่หนึ่งโดยไม่เปล่งเสียงใดออกมาแม้แต่คำเดียวเขาเข้าใจดีมากว่า…ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนกระจายตัวกันอยู่ในโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านอันกว้างใหญ่ ดูเหมือนจะน้อยมาก แต่เมื่อนับรวมกันแล้วก็ไม่น้อยเลย วังทวีสูญก็มีสิบสองท่าน เกาะปฐมบรรพชนและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เหยากวงซึ่งมีทรัพยากรมากกว่าก็มีจำนวนไม่แพ้วังทวีสูญเลย ยังมีขั้นอลวนจำนวนมากที่มิได้สวามิภักดิ์ต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ลำพังแค่โลกทิพย์ทะเลสัตตดาราก็มีขั้นอลวนเกือบร้อยคนแล้ว โลกทิพย์ทั้งห้านั้น มีโลกทิพย์โบราณที่กว้างใหญ่และแข็งแกร่งที่สุด รองลงมาคือโลกทิพย์นิจนิรันดร์ โลกจอมมารดา โลกทิพย์กิเลนบูรพาและโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราบวกกับการต่อสู้หลายครั้งที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ก็มีโลกทิพย์ที่สร้างขึ้นมาแล้วแตกสลายไป เหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนซึ่งหมดอาลัยตายอยากก็กระจัดกระจายกันไปในอากาศอันสับสนอลหม่าน อันกว้างขวาง แม้แต่เทพจักรวาลก็ยังมีบางส่วนที่กระจายกันไปกลางอากาศอันสับสนอลหม่านดังนั้นสถานะของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็มีแบ่งระดับสูงต่ำเช่นกันขั้นอลวนผู้องอาจ หากมีพลังเพียงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หก ก็จะถูกดูแคลนมากที่สุด เป็นระดับต่ำสุด โดยทั่วไปก็ไม่อยากจะออกมาเพ่นพ่านสักเท่าใดนัก หากไม่เก็บตัวอยู่อย่างสันโดษ ก็จะครอบครองที่ดินอันห่างไกลสักผืนหนึ่งแล้วเป็นผู้ทรงอำนาจในแถบของตนพลังระดับชั้นที่เจ็ด อย่างประมุขวังปาอวิ่น ประมุขเกาะชิงชวีและคนอื่นๆ นั้นนับว่าพบเห็นได้บ่อยที่สุด ขั้นอลวนกว่าครึ่งล้วนอยู่ในระดับชั้นที่เจ็ด อย่างเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงซึ่งมีทรัพยากรค่อนข้างแน่นหนานั้นจัดเป็นชั้นที่เจ็ดระดับยอด หากพูดในภาพรวม ชั้นนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว อย่างน้อยเมื่อท่องไปตามทิศต่างๆ ขั้นอลวนคนอื่นๆ ก็จะไว้หน้า เพราะนี่คือระดับพลังที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดระดับที่แปดก็ยอดเยี่ยมมากโดยแท้จริง เมื่อเทียบกันแล้วจำนวนก็น้อยกว่ามากทีเดียว สถานะก็สูงส่ง บรรพชนงูอู่เจ๋อ ประมุขเกาะจื่อถู แม่ทัพเทียนกวงและจอมมารก็ล้วนแต่อยู่ในระดับนี้ จำนวนของพวกเขาน้อยกว่ามากทีเดียว อย่างปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา ระดับชั้นของพวกเขาเป็นตัวแทนของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของตน บรรดาเทพจักรวาลก็ล้วนรู้สึกว่าไม่เลวแล้วแน่นอนว่าผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งในจำนวนนั้น อย่างประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ จักรพรรดิเก้ามังกรและคนอื่นๆ ล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นที่แปดระดับยอด จอมมารเคยท้าทายประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็ถูกทำลายให้พ่ายแพ้ไปได้อย่างง่ายดายชั้นที่เก้าหรือ พลังของพวกเขาบรรลุถึงระดับเทพจักรวาลแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับเทพจักรวาล โดยทั่วไปก็สามารถรักษาชีวิตได้ เทพจักรวาลก็จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเท่าเทียม“ขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับชั้นที่เจ็ดเชียวนะ” ในใจของประมุขวังปาอวิ่นเกิดความอิจฉาริษยาขึ้นมา “ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ ก้าวเข้าสู่ขั้นอลวนได้ไม่นานเท่าไหร่ก็สามารถบรรลุถึงชั้นที่แปดระดับยอดได้แล้ว ทั้งยังมีโอกาสก้าวเข้าสู่ชั้นที่เก้ามากยิ่งนัก”ก่อนหน้านี้ในประวัติศาสตร์มีทั้งหมดเพียงแปดคนเท่านั้น มีเจ็ดคนที่สามารถบรรลุถึงระดับชั้นที่เก้าได้ แน่นอนว่าในหมู่พวกเขาก็มีคนที่ตกอับ และมีผู้ที่สำเร็จเป็นเทพจักรวาลด้วย“ครั้งนี้ นับว่าชื่อเสียงของเขาแพร่ไปทั่วอากาศอันสับสนอลหม่านอย่างแท้จริงแล้ว ผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนรู้จักชื่อของเขา ส่วนข้าก็คือหินรองเท้าให้เขาได้มีชื่อเสียงในครั้งนี้” ประมุขวังปาอวิ่นราวกับมีสิ่งใดกำลังกัดกินใจ แต่เขาก็ไม่มีความคิดจะเป็นอริเลยแม้แต่น้อย เพราะแตกต่างกันมากเกินไปแล้ว ชั้นที่แปดระดับยอดลงมือกับชั้นที่เจ็ดก็สามารถสังหารได้อย่างง่ายดาย……ตงป๋อเสวี่ยอิงมองประมุขวังปาอวิ่นแล้วจากไปแต่โดยดี เขาไม่เปล่งเสียงออกมาสักคำ ข้างหูกลับมีเสียงมากมายลอยเข้ามา“ผู้อาวุโสตงป๋อ ยินดีด้วยๆ ขั้นรวมเป็นหนึ่งก็สามารถบรรลุถึงระดับชั้นที่เจ็ดได้แล้ว ในภายหน้ามีโอกาสจะเป็นขั้นอลวนด้วย”“ผู้อาวุโสตงป๋อช่างเก่งกาจเสียจริง ไม่เพียงแต่ก้าวข้ามระดับชั้นที่เจ็ดเท่านั้น แต่ยังสามารถกดดันประมุขวังปาอวิ่นได้อีกด้วย นับถือๆ”“เคราะห์ดีที่มีโอกาสได้เห็นการต่อสู้ที่จะได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์ ช่างโชคดีเสียจริง”จากนั้นก็มียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งหลายถ่ายเสียงมาพวกเขาต่างก็กระตือรือร้นเป็นอันมาก บางคนยังถึงกับผ่อนคลายท่าทีลงมา เหมือนกับยินดีมากที่จะต่ำกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงระดับหนึ่ง! เนื่องจากบรรดาขั้นอลวนก็มีความยากลำบากและวิฤตที่แตกต่างกันไป พวกเขาจึงยินดีมากที่จะผูกสัมพันธ์กับตงป๋อเสวี่ยอิง ก่อนหน้านี้ มีพวกเขาบางคนที่ดูแคลนตงป๋อเสวี่ยอิง และคร้านจะพูดด้วยสักหลายประโยคพวกเขาเชื่อโดยสัญชาตญาณว่ามิใช่คนระดับเดียวกัน พวกเขารู้สึกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอาจจะมีโอกาสติดอยู่ในขั้นรวมเป็นหนึ่งตลอดกาลก็เป็นได้ตอนนี้ย่อมต่างออกไปแล้วยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่ตัวพวกเขาเองก็เป็นแค่ระดับชั้นที่เจ็ดเท่านั้น มิได้แข็งแกร่งไปกว่าประมุขวังปาอวิ่นสักเท่าใดนัก“ข้ายังต้องสอนวิถีต่อ ขอทุกท่านโปรดอภัยด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงตอบผู้ที่ถ่ายเสียงมาให้ตนจากนั้นเขาก็หันมองไปทางเบื้องล่างผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างตื่นเต้นไปหมดแล้ว ขั้นรวมเป็นหนึ่งกดดันขั้นอลวนซึ่งหน้าอย่างนั้นหรือ ขั้นรวมเป็นหนึ่งบางคนที่หูตากว้างไกลก็ถ่ายเสียงอธิบายให้สหายรอบด้านฟังแล้ว พวกเขาจำนวนไม่น้อยรู้จักขั้นรวมเป็นหนึ่งชั้นที่เจ็ดซึ่งเป็นตำนานผู้นี้อยู่แล้ว“บัดนี้ข้าจะสอนวิถีต่อแล้ว” เสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงแพร่ไปข้างหูของผู้บำเพ็ญทุกคน ขณะเดียวกันก็เคลื่อนย้ายผู้บำเพ็ญขั้นรวมเป็นหนึ่งสามร้อยคนที่เลือกเอาไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาบนเวทีฟิ้วๆๆ…ผู้บำเพ็ญขั้นรวมเป็นหนึ่งสามร้อยคนร่อนลงบนเวทีการต่อสู้ พวกเขาต่างก็ตื่นเต้นยินดีที่ตนเป็นผู้ที่ถูกเลือก มีโอกาสให้สิ่งมีชีวิตขั้นรวมเป็นหนึ่งชั้นที่เจ็ดชี้แนะ ในความเข้าใจของขั้นรวมเป็นหนึ่ง…ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นคนของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ สามารถกล่าวได้ว่ามิมีผู้ใดในที่นั้นอาจหาญพูดว่าเข้าใจกระจ่างแจ้งกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเลย“ผู้อาวุโสตงป๋อ” ขั้นรวมเป็นหนึ่งสามร้อยคนคารวะด้วยความเคารพ นี่คือความเคารพที่มีต่อผู้อาวุโส“ว่ามาทีละคน” จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เริ่มชี้แนะพวกเขาทีละคนๆ……ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนด้านล่าง หรือว่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนด้านบนก็ล้วนตั้งใจฟังอย่างละเอียดมากขึ้น แม้แต่เจ้าลัทธิภาพจิต จักรพรรดิสิงหั่วและประมุขวังเจียงฝู่ก็พากันฟังอย่างตั้งใจเมื่อผ่านไปสิบแปดชั่วโมงเต็มๆ เขาก็ชี้แนะขั้นรวมเป็นหนึ่งสามร้อยคนจนเสร็จสิ้นตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมอากาศเพื่อส่งผู้บำเพ็ญสามร้อยคนนี้ลงไป“การสอนวิถีของข้าครั้งนี้เป็นอันยุติแล้ว ถึงคราวปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ท่านอื่นแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางหัวเราะเสียงดังกังวาน จากนั้นก็แปรเป็นลำแสงทะยานไปทางแท่นสูงด้านบนก่อนจะนั่งประจำที่ของตนตามลำดับแม่ทัพเทียนกวงยืนขึ้นมา เขามองตงป๋อเสวี่ยอิงด้านข้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่ผ่านมาเขามิได้ปั้นสีหน้าแต่อย่างใด และถึงขั้นดูแคลนขั้นรวมเป็นหนึ่งจนเข้ากระดูกดำ รู้สึกว่ากล้าเทียบชั้นกับตนก็เป็นการดูถูกตนเองแล้ว แต่ยามนี้เขากลับมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาอย่างหาได้ยากนัก เขายิ้มให้ตงป๋อเสวี่ยอิงก่อน ทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจกระตุกวูบขึ้นมาแม่ทัพเทียนกวงผู้นี้มีศีรษะโล้นเลี่ยน ทั้งร่างเปล่งแสงสีทองเรืองรองออกมา ทันใดนั้นท่าทีก็เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่พลางหัวเราะกับตนเอง ตงป๋อเสวี่ยอิงออกจะไม่เคยชินอยู่บ้างแม่ทัพเทียนกวงยิ้มพลางพูดเสียงดังกังวานว่า “ผู้อาวุโสตงป๋อสอนวิถีก่อนหน้าข้า ทำให้ข้ารู้สึกกดดันนัก ไม่แน่ว่าการสอนวิถีของข้าจะสู้ผู้อาวุโสตงป๋อได้ ทว่า ข้าก็จะทำอย่างสุดกำลังเช่นกัน” เสียงของเขาสะท้อนก้องไปทั่วสถานที่จัดงาน“แม่ทัพเทียนกวงชมเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าวขึ้นทันที“มิได้ชมเกินไปเลย ที่ข้าพูดนั้นเป็นความจริง ตั้งแต่ขั้นอลวนลงไป ผู้ที่กล้าเทียบการสอนวิถีกับผู้อาวุโสตงป๋อนั้นมีไม่กี่คนหรอก” แม่ทัพเทียนกวงพูดยิ้มๆ จากนั้นเขาก็สาวเท้าออกไปก้าวเหนึ่ง เงาร่างหายวับไปก่อนจะปรากฏขึ้นบนเวที เขาในอาภรณ์สีเทาทั้งร่างนั่งอยู่บนแท่นสูง ทั้งร่างเปล่งแสงสีทองเรืองรอง เขาเริ่มสอนวิถีเสียงดังกังวาน……ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ทั้งห้าสอนวิถีกันตามลำดับ ตงป๋อเสวี่ยอิง แม่ทัพเทียนกวง บรรพชนงูอู่เจ๋อ ประมุขเกาะจื่อถู และคนสุดท้ายคือประมุขวังเจียงฝู่แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงที่สามารถนั่งอยู่บนแท่นสูงพลางฟังผู้อื่นสอนวิถีอย่างสบายๆ ได้กลับมิได้ผ่อนคลายลงแต่อย่างใดเหล่าขั้นอลวนรอบด้านถ่ายเสียงก็แล้วไปเถิดยอดฝีมือฝ่ายต่างๆ ของโลกทิพย์ทั้งสามรวมไปถึงยอดฝีมือของอากาศอันสับสนอลหม่านบางคนถึงขั้นส่งสารให้ตนผ่านทางหอทะเลสัตตดารา อย่างน้อยก็ต้องมาแสดงความยินดีสักหนหนึ่ง! เห็นได้ชัดว่าเมื่อสถานะสูงส่งแล้ว ส่วนมากยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเหล่านั้นก็จะไม่เสียมารยาท ตงป๋อเสวี่ยอิงเอง ส่วนใหญ่ก็จะแค่ตอบรับกลับไปอย่างง่ายๆ ตามมารยาทเท่านั้น แต่บรรดาประมุขตำหนักแห่งวังทวีสูญรวมทั้งผู้ที่มีสถานะสูงส่งมาก เขาก็จะต้องปฏิบัติด้วยอย่างจริงจังตงป๋อเสวี่ยอิงสอนวิถีอยู่เก้าวัน ขั้นอลวนคนอื่นๆ เมื่อเทียบกันแล้วก็ด้อยกว่าอยู่บ้าง โดยทั่วไปก็จะอยู่ที่ห้าถึงหกวัน ประมุขวังเจียงฝู่นั้นใช้เวลาต่ำสุดคือสามวันเท่านั้นสาเหตุหลักก็คือด้านการ ‘อธิบายวิถี’ นั้น ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์นั้นอธิบายเก่งที่สุด! ระบบอื่นๆ ส่วนใหญ่นั้นเก่งด้านการสำแดง แต่จะพูดออกมานั้นก็ด้อยกว่าอยู่บ้าง“งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราครั้งนี้ยุติลงแต่เพียงเท่านี้” เสียงของเจ้าลัทธิภาพจิตสะท้อนก้องไปทั่วทั้งสถานที่จัดงานเหล่าผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนยังพอมีการรับรู้จากการไตร่ตรองขณะฟังการ ‘สอนวิถี’ บ้าง บางคนก็สับสนงงงวย ทว่าก็เริ่มทยอยกันกลับไปเป็นขนานใหญ่ด้านบนแท่นสูงแต่ละคนพากันยืดกายจากไป“ผู้อาวุโสตงป๋อ”“ผู้อาวุโสตงป๋อ” ขั้นอลวนหลายคนพากันเดินมา และเรียนเชิญตงป๋อเสวี่ยอิงให้ไปเข้าร่วมงานสังสรรค์ของพวกเขา“สายตาของบุตรชายท่านนี่ไม่เลวเลยนะ” ประมุขวังเจียงฝู่เดินเคียงข้างกับจักรพรรดิสิงหั่ว “จะคารวะตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอาจารย์ ในด้านวิถีโลกเทียม เขาน่าจะเป็นอาจารย์ที่ดีที่สุดแล้ว”“ฮ่าฮ่าฮ่า” จักรพรรดิสิงหั่วพูดพลางหัวเราะเมื่อเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงโดดเด่นสะดุดตาเช่นนี้ จักรพรรดิสิงหั่วก็ยินดีจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างแท้จริงและในเวลานี้เอง…เจ้าลัทธิภาพจิตกลับเดินไปถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง ขั้นอลวนหลายคนด้านข้างที่กำลังเชิญตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่นั้นรีบเลี่ยงไปด้านข้าง เจ้าลัทธิภาพจิตซึ่งเป็นระดับชั้นที่เก้าทำให้พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน“ตงป๋อ” เจ้าลัทธิภาพจิตยิ้ม จากนั้นก็ถ่ายเสียงพูดว่า “ราชันย์มีดให้ข้าส่งสารเชิญเจ้าให้ไปยังเจดีย์ดาวตอนนี้ เพื่อบุกฝ่าเจดีย์ดาวดูสักตั้ง! ไม่เพียงแค่ราชันย์มีดเท่านั้น ยังมีเทพจักรวาลอีกหลายท่านจะไปดูเจ้าบุกฝ่าเจดีย์ดาว”“เทพจักรวาลหลายท่านหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง เป็นครั้งแรกที่เทพจักรวาลหลายท่านจับตามองเขาพร้อมกันเช่นนี้ที่ผ่านมาก็มีเพียงบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่แห่งวังทวีสูญของตนเท่านั้นที่พอจะสนใจอยู่บ้างเล็กน้อย เพียงเพราะเชื่อว่าเขามีหวังจะสำเร็จเป็นประมุขตำหนักผู้หนึ่งได้ แต่บัดนี้ ‘ราชันย์มีด’ ผู้แข็งแกร่งที่สุดในหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเทพจักรวาลอีกหลายท่านจะมาจับตามองเขาพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่าตนได้เข้าไปอยู่ในสายตาของบุคคลระดับสูงสุดของหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็เป็นเรื่องปกตินัก จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ความเป็นไปได้ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะก้าวเข้าสู่เจดีย์ดาวระดับชั้นที่เก้าได้นั้นสูงยิ่งนัก“ได้ ข้าจะไปเจดีย์ดาวเดี๋ยวนี้แหละ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูดเจ้าลัทธิภาพจิตพยักหน้าน้อยๆ “ข้าจะส่งเจ้าไป” ……………………..
คอมเม้นต์