Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 33 ปิดฉากและรายงานสู่เบื้องบน
ตงป๋อเสวี่ยอิงท้าทายขุนนางโลหิตซึ่งอยู่ในอันดับสาม ห้ำหั่นกันอยู่เนิ่นนานจึงจะเอาชนะได้! ตงป๋อเสวี่ยอิงท้าทายก็เพื่อซึมซับประสบการณ์มายกระดับตนเองเป็นหลัก ดังนั้นในตอนสุดท้ายจึงปะทุออกมาแล้วเอาชนะได้ ขุนนางโลหิตก็สุขสราญนัก เพราะถึงอย่างไรระดับขั้นวิถีหอกของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สูงส่งอย่างยิ่งโดยแท้ จึงมีส่วนช่วยเขามากทีเดียวหลังจากเอาชนะขุนนางโลหิตได้แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้ขึ้นเป็นอันดับสามจากนั้นเขาก็ท้าทาย ‘อวี่เจี้ยนเค่อ’ ซึ่งจัดเป็นอันดับที่หนึ่งอวี่เจี้ยนเค่อก็ได้แก้ไขศาสตร์ลับขั้นจักรวาลแล้วคิดค้นศาสตร์กระบี่ของตนขึ้นมาเองเช่นเดียวกัน ศาสตร์กระบี่ของเขาเชี่ยวชาญด้านการล้อมโจมตีมากกว่า หยาดฝนจำนวนนับไม่ถ้วนโหมซัด หยาดฝนแต่ละหยดล้วนแต่มีแรงคุกคามอันแข็งแกร่งยิ่ง ดังนั้นอย่างมารเฒ่าเข็มทอง ที่แม้จะเชี่ยวชาญด้านการล้อมโจมตี เมื่อได้พบกับอวี่เจี้ยนเค่อที่เชี่ยวชาญยิ่งกว่า! ก็ถูกกดดันอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียวสงครามครั้งนี้ก็เป็นเช่นนี้เอง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกกดดัน แต่เขาอาศัยวิถีโลกเทียมและ ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ ’ ของผู้ท่องอากาศรวมทั้งความแข็งแกร่งของร่างกายจึงสามารถฝืนต้านทานได้เช่นเดียวกันท้ายที่สุดวิญญาณค่ายกลก็ตัดสินว่าตงป๋อเสวี่ยอิงพ่ายแพ้!……“ยุติแล้ว” บรรพชนเทียนอวี๋ซึ่งนั่งอยู่สูงที่สุดเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง การประลองจัดอันดับดำเนินต่อเนื่องมาสิบสองปี ในที่สุดก็ปิดฉากลง บัดนี้จอมมาร ‘ประมุขตำหนักลงทัณฑ์’ เริ่มมอบของกำนัลให้แก่ศิษย์อาภรณ์ทองทั้งหลายด้วยตนเองส่วนศิษย์อาภรณ์ทองที่อันดับร่วงลงไปต่ำกว่าอันดับสิบล้วนต้องคืน ‘อาภรณ์ทอง’ และ ‘ป้ายคำสั่งศิษย์อาภรณ์ทอง’ แล้วได้รับมอบ ‘อาภรณ์ม่วง’ และ ‘ป้ายคำสั่งศิษย์อาภรณ์ม่วง’ แทน“ท่านบรรพชน ผู้อาวุโสตำหนักในที่มาร่วมชมการต่อสู้ในครั้งนี้มีไม่มากนัก” บุรุษผมขาว ‘จอมกระบี่’ กล่าว “ทำไมรึ ตอนนี้สถานการณ์ในดินแดนใต้อาณัติของพวกเราค่อนข้างย่ำแย่อย่างนั้นหรือ พวกเขาไปไม่พ้นหรือ ต้องให้ข้าส่งร่างแปรไปหรือไม่”“วางใจเถิด”บรรพชนเทียนอวี๋ยิ้ม “ทางสายของพวกเราเชี่ยวชาญด้านความเร้นลับของกฎเกณฑ์ พลังรบของร่างแปรจึงแข็งแกร่งพอ สถานการณ์ล้วนอยู่ในความควบคุม เจ้าน่ะตั้งใจบำเพ็ญเถิด อย่าวอกแวกไปเลย ยิ่งเจ้าแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งมีส่วนช่วยวังทวีสูญของเรามากเท่านั้น”จอมกระบี่พยักหน้าน้อยๆแม้วังทวีสูญจะเป็นหนึ่งในขุมอำนาจระดับยอดสุด แต่ก็มีเรื่องยุ่งยากอยู่บ้างเช่นกัน“หวังว่าบรรดาเด็กๆ เหล่านี้จะมีคนที่รุ่งโรจน์ขึ้นมาสักหลายคน” บรรพชนเทียนอวี๋เหลือบมองลงไปเบื้องล่าง “ขอเพียงมีขั้นอลวนเพิ่มขึ้นสักสองสามคน วังทวีสูญก็จะผ่อนคลายขึ้นได้ หากขั้นอลวนมากหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะมีใครสามารถข้ามผ่านขั้นสุดท้ายได้ วังทวีสูญของเราก็จะมั่นใจยิ่งขึ้นแล้ว”พวกเขาทั้งสองพูดคุยกันตามอำเภอใจรอจนด้านล่างแจกจ่ายสิ่งของกันเรียบร้อยแล้ว เมื่อจอมมารประมุขตำหนักลงทัณฑ์ก็ประกาศเสียงดังว่าการต่อสู้ของศิษย์เทพแท้ยุติลงแล้ว บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่จึงลุกขึ้นแล้วจากไปทันใดนั้น…ประมุขวังทั้งหลายก็ทยอยจากไปทีละคนๆ ผู้อาวุโสตำหนักในและผู้อาวุโสตำหนักนอกก็เริ่มจากไปตามๆ กันพวกเขาล้วนมาร่วมชมการต่อสู้ ก็เพราะนี่คืองานสำคัญของวังทวีสูญที่พันล้านปีจึงจะจัดขึ้นครั้งหนึ่ง และเป็นโอกาสที่ผู้แกร่งกล้าทั้งหลายจะมาชุมนุมกัน อันที่จริงพวกเขามิได้สนใจการต่อสู้ของระดับเทพแท้สักเท่าใดนัก อย่างมากก็แค่อาศัยงานนี้เพื่อดูว่าเด็กคนไหนพอจะมีความสามารถซ่อนอยู่บ้างก็เท่านั้นเอง******“ได้มาไว้ในมือแล้ว” ยามนี้อารมณ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงออกจะพลุ่งพล่านอยู่บ้าง เมื่อครู่เขาเพิ่งจะได้รับสิ่งต่างๆ ที่ศิษย์อาภรณ์ทองควรจะได้รับมาจากจอมมาร ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดในจำนวนนั้นก็คือ ‘ผลปัดจิตวิญญาณ’ ยังมีวัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญทั้งหลายซึ่งมีมูลค่าต่ำกว่า แต่ก็นับได้ว่าเป็นวัตถุล้ำค่าแล้ว“เฮอะ ตงป๋อเสวี่ยอิง ดูเจ้าตื่นเต้นเข้าสิ เจ้าเพิ่งจะเป็นแค่อันดับสามเท่านั้น หากเจ้าได้เป็นที่สองหรือที่หนึ่งแล้วล่ะก็ เกรงว่าเจ้าคงจะตื่นเต้นจนร้องตะโกนออกมาแล้วกระมัง” มารเฒ่าเข็มทองบินมาจากฝั่งหนึ่งพลางยิ้มเยาะ“เข็มทองหน้าโง่เอ๋ย ตงป๋อเขาแค่ถูกตัดสินว่าแพ้เจ้าตามกฎของลานโลกสันติเท่านั้น หากห้ำหั่นกันที่ภายนอกจริงๆ แล้ว เจ้าก็คงทำร้ายเขาไม่ได้แม้แต่ปลายขน เจ้าได้ใจทำบ้าอะไรเล่า” ขุนนางโลหิตผู้มีร่างอ้วนท้วนเยาะเย้ย เขาพุ่งเป้าไปที่มารเฒ่าเข็มทองมากที่สุดมารเฒ่าเข็มทองมองขุนนางโลหิต นัยน์ตาฉายแววโหดร้าย“ทำไมรึ อยากจะลงมืออีกหรือไร มาๆๆ มาให้เต็มที่เลยสิ! เห็นทีเจ้าคงอยากจะไปลิ้มรสชาติภายใน ‘คุกหลอมมาร’ ของจอมมารเสียแล้ว” ขุนนางโลหิตพูดอย่างได้ใจ ด้วยพลังของเขา มารเฒ่าเข็มทองไม่มีทางสังหารเขาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขามีป้ายอักขระรักษาชีวิตและอื่นๆ ด้วยเลย แต่หากลงมือขึ้นมา ก็ถือว่าฝ่าฝืนกฎของวังทวีสูญ เช่นนั้นก็แย่แล้ว“ศิษย์พี่ตงป๋อ ไปดื่มที่คูหาของข้ากันสักจอกดีหรือไม่ ศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ ก็จะไปเช่นกัน” ขุนนางโลหิตพูดอย่างกระตือรือร้น“ศิษย์พี่ตงป๋อ ไปด้วยกันสิ” เจ๋อชวี่หย่ง ศิษย์น้องหญิงเชียนเชวียและมังกรเหินและคนอื่นๆ ต่างก็เชื้อเชิญบรรดาศิษย์ที่จัดอยู่ในอันดับต้นๆ อย่างพวกเขามีความสัมพันธ์ต่อกันดีมากทีเดียว“ได้สิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้ารับ……ศิษย์กลุ่มหนึ่งดื่มสุราแล้วสนทนากันอย่างสบายใจ ผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังจัดอยู่ในสามสิบอันดับแรก จะเห็นได้ว่าโลกของผู้บำเพ็ญนั้นดูที่พลังเป็นหลักทุกคนพูดคุยสัพเพเหระกัน และถึงขั้นพูดไปถึงความลับบางอย่างบางส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่เคยได้ยินจากท่านอาจารย์ ‘กู่ฉี’ เลย สาเหตุหลักก็เพราะกู่ฉีเป็นถึงสิ่งมีชีวิตขั้นสุด สถานะสูงส่งเกินไป ข้อมูลที่เขาให้มาจึงเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างสำคัญ ส่วนความลับเล็กน้อยยิบย่อยทั้งหลายกลับมีน้อยกว่ามากทีเดียว ความลับเหล่านี้สำคัญกับตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้มากทีเดียวหลังชุมนุมกันเสร็จแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สนิทสนมกับศิษย์ร่วมสำนักกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นมากทีเดียวหลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงสังสรรค์เสร็จแล้ว ก็ตรงมายังตำหนักกาลเวลาแล้วเลือกเร่งเวลาร้อยเท่าเพื่อบำเพ็ญอีกครั้ง“ฟิ้วๆๆ…”ดวงดาราที่ตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงมาในครั้งนี้กลับมีพายุคลั่งจำนวนนับไม่ถ้วนพัดหวีดหวิว พายุนั้นดุจใบมีด ทว่าด้วยระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเลยบนดวงดารามีเขาเพียงผู้เดียวเขาไม่รีบร้อนบรรลุเป็นเทพอากาศ หากแต่บำเพ็ญเพียงลำพัง แล้วรับรู้กระบี่ที่สองผลาญโลกา!เนื่องจากตลอดสิบสองปีของการประลองจัดอันดับศิษย์เทพแท้นี้ เขาชมการต่อสู้มามากมายยิ่งนัก ทั้งยังต่อสู้เองไปหลายสิบยก ทำให้เขาได้รับรู้สิ่งใหม่เกี่ยวกับการหมุนเวียนความเร้นลับของกฎเกณฑ์ และรับรู้ ‘กระบี่ที่สองผลาญโลกา’ ลึกล้ำขึ้นมากทีเดียว เขารู้สึกว่าอีกไม่ไกลก็จะศึกษา ‘กระบี่ที่สองผลาญโลกา’ ได้สำเร็จแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องรีบร้อนบรรลุแต่อย่างใดขั้นผู้ปกครอง ศึกษากระบี่ที่สองผลาญโลกาสำเร็จได้ ก็ถือว่าเป็นการขัดเกลาตนเองอย่างหนึ่งแล้วกระบี่หยก ต้องลับจึงจะคมกริบหยก ต้องสลักเสลาจึงจะกลายเป็นอาวุธต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญที่มีพรสวรรค์ ก็ต้องผ่านการขัดเกลาด่านแล้วด่านเล่า การรับรู้จึงจะสูงขึ้นได้ เมื่อเทียบกันแล้ว การรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงในวัยเยาว์กับตงป๋อเสวี่ยอิงที่รับรู้ ‘สัจจาโลกา’ ซึ่งเป็นสัจจาชั้นหนึ่งนั้นย่อมไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน เมื่อเทียบกับตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งจวนจะสำเร็จเป็นเทพอากาศในตอนนี้ ก็ยิ่งแตกต่างกันเข้าไปใหญ่นี่ยังไม่พอ! ยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งดี! เมื่อแข็งแกร่งแล้วจึงจะได้วัตถุล้ำค่าที่มีส่วนช่วยในการบำเพ็ญมาง่ายดายขึ้น เพื่อช่วยเหลือจิ้งชิวผู้เป็นภรรยาและอวี้เอ๋อร์อย่างตอนนั้นท่านอาจารย์ผู้ท่องอากาศกู่ฉีก็ต้องการช่วยเหลือสหายรักที่เป็นเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นคนหนึ่ง ก็ไม่สามารถช่วยให้บรรลุได้! แน่นอนว่า ข้อแรกเป็นเพราะตอนนั้นกู่ฉีได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องหนีตาย จึงมิได้ตั้งใจพกวัตถุที่เหมาะจะช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญของ ‘เทพโลกาสวรรค์สี่ชั้น’ โดยเฉพาะไป ข้อที่สอง วัตถุที่มีส่วนช่วยในการบำเพ็ญนั้นจัดเป็นวัตถุภายนอก การหลุดพ้นก็ยังต้องพึ่งตนเองเป็นหลักทว่าท่านอาจารย์กู่ฉีทำไม่ได้ ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงกดดัน และตั้งเงื่อนไขให้ตนเองมากยิ่งขึ้นไปอีก“อย่างน้อยข้าก็ได้ผลปัดจิตวิญญาณมาแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงบจิตบำเพ็ญต่อไป……เวลาล่วงเลยไปบนดวงดาราผ่านไปหนึ่งร้อยเก้าสิบล้านปีแล้ว โลกภายนอกผ่านไปหนึ่งล้านเก้าแสนปีบนเกาะที่ลอยคว้างอยู่ตรงใจกลาง มีสิ่งก่อสร้างที่ทอดยาวต่อเนื่องกัน ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งก่อสร้างอันวิจิตรงดงามที่ทำจากไม้หรือศิลาซึ่งแกะสลักอย่างตั้งใจมาก รอบด้านยังมีบุปผาจำนวนนับไม่ถ้วนรายล้อมอยู่ใต้ศาลาหลังหนึ่งบรรพชนเทียนอวี๋ชายชราหลังค่อมและจอมกระบี่บุรุษผมขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงข้ามกัน ตรงหน้าพวกเขาต่างก็มีโต๊ะยาวอยู่ บนโต๊ะมีสุราวางเอาไว้ ด้านข้างมีธูปที่จุดเอาไว้ กลิ่นหอมรัญจวนไปทั่วพวกเขาทั้งสองดูเหมือนจะเงียบงันมากแต่อันที่จริงกลับกำลังส่งร่างแปรเข้าไปในอากาศอันสับสนอลหม่าน ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน ร่างแปรสองร่างกำลังประลองกันอยู่ พวกเขาคือสิ่งมีชีวิตขั้นสุดจำพวกความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่มีเพียงสองท่าน คิดจะตามหาคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมก็ยากมากทีเดียว พวกเขาประลองกันจึงจะเหมาะสมที่สุด“ประมุขวัง”ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นข้างหูของบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่ พวกเขาทั้งสองต่างก็เป็นประมุขวังเช่นเดียวกัน“บัดนี้ศิษย์อาภรณ์ทองตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งอยู่ในขั้นผู้ปกครองได้รับรู้กระบี่ที่สองผลาญโลกาแล้ว” เสียงของวิญญาณอาวุธแห่งตำหนักกาลเวลาดังก้องขึ้นข้างหูของพวกเขา……………………………….
คอมเม้นต์