Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 15 จอมมารปรากฏกาย

อ่านนิยายจีนเรื่อง Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 15 จอมมารปรากฏกาย 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

 
ผู้ที่สามารถไปถึง ‘ขั้นอลวน’ ได้ในมหาโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านนั้นมีน้อยนัก แต่ละคนต่างก็สามารถทำให้ฝ่ายหนึ่งตกตะลึง จนกลายเป็นบรรพชนของฝ่ายหนึ่ง ทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนสวามิภักดิ์ติดตาม แม้กระทั่งพวกเขากับ ‘เทพจักรวาล’ ก็เป็นความสัมพันธ์ที่พึ่งพาอาศัยกันชนิดหนึ่ง เพราะประสบการณ์ของเทพจักรวาลนั้นก็มีประโยชน์กับพวกเขาไม่มากนัก
มิฉะนั้นผู้ที่ไปถึงระดับขั้น ‘เทพจักรวาล’ ก็คงจะไม่น้อยนิดถึงเพียงนั้นแล้ว!
เหมือนกับแผ่นดินอลหม่านเพียงสองร้อยกว่าแห่ง เพียงแค่สังหารสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศ ‘ขั้นกำเนิด’ จำนวนหนึ่ง ก็สามารถยั่วยุสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนคนหนึ่งได้แล้ว นี่ก็คือเรื่องที่เหนือจินตนาการอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง
“เจ้าสำนักสวรรค์กันแสง” ตงป๋อเสวี่ยอิงศึกษาข้อมูลโดยละเอียด เขามองเพียงปราดเดียวก็จำบุคคลที่น่าหวาดเกรงตรงหน้าผู้นี้ได้ เขาก็คือ ‘เจ้าสำนักสวรรค์กันแสง’ หนึ่งในสามยักษ์ใหญ่ทางฝ่ายบรรพชนกู่ ต่อให้บุตรทิพย์ดังเช่นกู่กานหลัวนั้นตายไปเสียแล้ว บรรพชนกู่ก็ตาไม่กะพริบเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่สำหรับ ‘เจ้าสำนักสวรรค์กันแสง’ นั้น ต่อให้เป็นบรรพชนกู่เองก็ยังต้องต้อนรับขับสู้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร นี่ต่างหากเล่าจึงจะเป็นแขนซ้ายขวาของเขา
ในยามนี้ผู้ที่หยิ่งทะนงอย่างหลัวไห่ก็ยังเอ่ยวาจาไม่ออก
……
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงดูเหมือนจะผอมแห้งจนสามารถมองเห็นกระดูกทั้งร่างกายได้ ทว่ากระดูกแต่ละท่อนของเขาล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง คล้ายกับจะแข็งแกร่งมิอาจบุบสลายยิ่งกว่าอาวุธเทพอากาศเสียอีก แม้กระทั่งยืนอยู่ตรงนั้น กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างที่เกือบจะกลายเป็นโครงกระดูกนี้ของเขาก็ยังทำให้สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศขั้นรวมเป็นเอกภาพห้าคนที่อยู่ด้านข้างรู้สึกหายใจติดขัด
ขั้นรวมเป็นเอกภาพห้าคน ชัดเจนว่าอีกเพียงก้าวเดียวก็จะถึงขั้นอลวนแล้ว ทว่าความแตกต่างของพลังยุทธ์กลับห่างชั้นกับความแตกต่างระหว่าง ‘ผู้เคารพ’ กับ ‘ผู้ปกครอง’ อยู่มากมายนัก!
“สวะฝูงหนึ่ง เคล็ดลับที่ข้าบำเพ็ญ ให้พวกเจ้าอารักขาที่นี่ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ยังทำให้ดีมิได้” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเอ่ยอย่างเย็นชา
ลูกน้องทั้งห้าคนต่างก็แสดงความเคารพอย่างตึงเครียด กระทั่งโต้เถียงก็ยังมิกล้า
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงส่งสายตามองตามไปบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่ ด้วยระดับขั้นของเขากลับมิอาจลงมือสำแดงค่ายสังหารได้ตามใจชอบ เพราะเขาเข้าใจดีว่าในมหาโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านนั้นมีบุคคลผู้น่าหวั่นเกรงที่เขามิอาจล่วงเกินได้อยู่ และบรรพชนกู่ที่อยู่เบื้องหลังเขาก็มิอาจล่วงเกินได้เช่นกัน
แม้กระทั่งผู้ที่เป็นหนึ่งในเทพจักรวาลอย่างผู้ท่องอากาศกู่ฉี ก็ยังต้องหนีสะเปะสะปะอย่างน่าอนาถเพราะศัตรูตัวฉกาจ แม้กระทั่งเคยบาดเจ็บสาหัสจนเกือบตาย แต่เห็นได้ว่ายิ่งพลังยุทธ์กล้าแกร่ง ก็ยิ่งระแวดระวังมากขึ้น
“โอ้” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงมองไปทางหลัวไห่ก่อน เพราะร่างกายของหลัวไห่ก่อนหน้านี้เกินต้านทานได้ “ช่างเป็นร่างกายที่แข็งแกร่งนัก เทพอากาศทั่วไปในสำนักของข้าไม่มีใครเทียบเขาได้เลยสักคนเดียว ส่วนผู้ปกครองเทพแท้ที่อยู่ด้านข้างผู้นี้ก็มีร่างกายที่ค่อนข้างพิเศษ จะต้องผ่านการบำเพ็ญเคล็ดลับที่แข็งแกร่งที่สุดในฝั่งห้วงอากาศมาเป็นแน่”
ให้ร่างกายเอนเอียงไปทางเคล็ดลับจำนวนมากของทางฝั่งห้วงอากาศ เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงก็ไม่มีทางมั่นใจได้ว่าเป็นผู้ท่องอากาศ
“เจ้าเด็กทั้งสอง”
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงยื่นมือออกมา
ปัง…
หยาดฝนสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏให้เห็นชัดในอากาศบริเวณรอบๆ หยาดฝนสีดำเหล่านี้ก่อร่างเป็นมือขนาดใหญ่มหึมาแล้วคว้าตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่เอาไว้ในทันใด พวกเขาทั้งสองมิอาจหลบหลีกได้ทัน แม้กระทั่งตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังมิอาจกระตุ้นป้ายสัญลักษณ์คุ้มกันชีพในมือได้ เพราะยามที่เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงลงมือนั้น แรงกดดันอันไร้รูปร่างได้ทำให้วิญญาณของเขาชะงักงันไปบ้างไปก่อนแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าภายใต้การกดดันอำนาจจิตใจนั้น ตนเองจะหายใจก็ยังยากลำบาก ไม่สามารถควบคุมพลังเทพแท้ในร่างกายได้เลย เบื้องหน้าล้วนมืดสลัว ข้างหูล้วนมีเสียงอื้ออึง
ความตาย กลิ่นอายของความตายอยู่ใกล้เหลือเกิน
“หรือว่าจะต้องตายเช่นนี้เสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมไม่ยอมจำนนอยู่แล้ว ถึงแม้ว่ายามที่จากจักรวาลภูมิลำเนามานั้น เขาได้เตรียมตัวสำหรับการตายเอาไว้เรียบร้อยแล้วก็ตาม ถึงอย่างไรบนเส้นทางการบำเพ็ญนั้น เดิมทีก็มีอันตรายอย่างมากอยู่แล้ว แต่ตนเพิ่งจะจากบ้านเกิดมา ยังมิทันได้ไปเยือนโลกทิพย์สักแห่งเดียวเลย จะต้องมาตายเช่นนี้ก็ออกจะไม่ยุติธรรมเกินไปหน่อยแล้ว นอกจากนี้การกวาดล้างอย่างอุกอาจเช่นนี้ก็เพราะมีหลัวไห่โน้มน้าวเป็นเหตุ ด้วยหลัวไห่เป็นบุตรชายของเจ้าเมืองหลัว ด้วยสถานะของเจ้าเมืองหลัวในโลกทิพย์กิเลนบูรพาย่อมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
“บอกข้ามาเสีย เรื่องความเป็นมาของพวกเจ้า! นี่คือโอกาสรอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของพวกเจ้า” น้ำเสียงของเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงถ่ายทอดไปสู่ดวงวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงโดยตรง
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าตนเองเริ่มเสียการควบคุมอยู่บ้าง จึงเปิดปากเอ่ยว่า “ศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญ ตงป๋อเสวี่ยอิง”
“ข้า มาจากแผ่นดินต้นกำเนิด…” หลัวไห่ก็เพิ่งเปิดปากพูดอย่างสูญเสียการควบคุมเช่นกัน พร้อมกับที่ลำแสงสีทองกะพริบวาบในดวงตาของเขา ก็หลุดพ้นจากการควบบคุมจนได้
“แผ่นดินต้นกำเนิดอย่างนั้นหรือ”
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงได้ยินแล้วก็เกิดความสงสัยอยู่เล็กน้อย เขารู้สึกว่าชายหนุ่มอาภรณ์สีทองผู้นี้ น่าจะมีความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น แต่ว่า ‘แผ่นดินต้นกำเนิด’ นั้น ด้วยสถานะของเขาแล้ว แต่ไหนแต่ไรกลับไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย “หรือว่าเป็นชื่อของแผ่นดินอลหม่านธรรมดาๆ สักแห่งหนึ่ง แผ่นดินอลหม่านมีมากจนมิอาจนับได้ บางทีอาจมีบางแห่งที่ไม่เป็นที่รู้จัก”
สำหรับแผ่นดินต้นกำเนิดนี้ เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงผ่านห้วงสมองคราหนึ่ง พร้อมกันนั้นสายตาก็ไปจับบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง ผู้ปกครองเทพแท้ที่เดิมทีไม่สะดุดตาเลยผู้นี้ทำให้เขาประหลาดใจอย่างแท้จริง
“ศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญหรือ” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเอ่ยเสียงเยียบเย็น “ช่างอาจหาญยิ่งนัก วังทวีสูญเป็นของโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา ศิษย์อาภรณ์ทองผู้หนึ่งอย่างเจ้าถึงกับมายังโลกทิพย์กิเลนบูรพาทำลายเรื่องดีของข้า ช่างไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาเลยจริงๆ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงจนใจ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจะมาปะเข้ากับสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนคนหนึ่ง! เขาอ้าปากหมายจะเอ่ยวาจา แต่ภายใต้แรงกดดันอันไร้รูปร่างนี้ เขากลับเอ่ยวาจาไม่ออก เห็นได้ชัดว่าเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงไม่ปรารถนาให้เขาเอ่ยปากพูด
ในทางกลับกัน หลัวไห่กลับสามารถฝืนเปิดปากเอ่ยวาจาออกมาได้ “น้องตงป๋อ ร้ายกาจเหลือเกิน ศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญ! ได้ยินว่าศิษย์อาภรณ์ทองต่างก็เป็นที่รักใคร่หวงแหนของวังทวีสูญ ต่างก็บ่มเพาะกันมาอย่างสุดกำลัง ใครกล้าสังหาร วังทวีสูญก็จะส่งผู้แกร่งกล้ากลุ่มใหญ่ไปฆ่ามัน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้เพียงคลี่รอยยิ้มออกมา เขาเอ่ยวาจาไม่ออก
แต่หลัวไห่พูดได้ไม่ผิดเลย
ศิษย์อาภรณ์ทอง…
ล้วนแล้วแต่เป็นที่รักใคร่หวงแหนของวังทวีสูญ ถ้าหากศิษย์ระดับล่างหรือศิษย์ธรรมดาทั่วไปออกไปท่องโลกแล้วตาย ก็ตายไป ถึงอย่างไรก็เผชิญกับความตายกันอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้ว่าจะมีการสืบหาสาเหตุการตาย แต่น้อยนักที่จะนำไปสู่สงคราม นอกเสียจากว่าจะอยุติธรรมเกินไป แต่ถ้าเป็นศิษย์อาภรณ์ทอง หากถูกสังหารแล้ว วังทวีสูญก็จะเคร่งครัดกว่ามาก ไม่มีทางยอมปล่อยไปโดยง่าย ถึงอย่างไรศิษย์อาภรณ์ทองทั้งวังทวีสูญในตอนนี้ รวมตงป๋อเสวี่ยอิงด้วย ก็มีเพียงสิบเอ็ดคนเท่านั้น พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นอนาคตของวังทวีสูญ!
ดังนั้นหากต้องการสังหาร ก็ต้องชั่งน้ำหนักให้ดีว่าสามารถรับมือกับเพลิงโทสะของวังทวีสูญได้หรือไม่!
ถ้าหากเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงอยู่ที่ ‘โลกทิพย์โบราณ’ เขาก็ย่อมไม่กลัวอยู่แล้ว คงสังหารไปโดยไม่เอ่ยวาจาซ้ำสอง! เพราะวังทวีสูญย่อมมิกล้าเข้ามาสังหารยังโลกทิพย์โบราณ แต่โลกทิพย์กิเลนบูรพานั้นไม่เหมือนกัน วังทวีสูญกับขุมอำนาจหลายแห่งของโลกทิพย์กิเลนบูรพามีความสัมพันธ์อันดียิ่งต่อกัน และมีความสัมพันธ์ย่ำแย่กับบรรพชนกู่
ดังนั้นหากฆ่าไปแล้ว วังทวีสูญจะต้องบุกมาสังหารอย่างแน่นอน ส่วนบรรพชนกู่นั้นเกรงว่าคงจะต้านไม่ไหวอยู่บ้าง! ถึงอย่างไรวังทวีสูญในตอนนี้ก็แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมากมายเหลือเกินแล้ว
“กล้ารุกรานข้า ก็ไปรอใน ‘เจดีย์มารครวญ’ ของข้าสักแสนปีเถิด ถ้าหากโชคดีไม่ตาย ก็จะเห็นแก่หน้าวังทวีสูญยอมปล่อยเจ้าไป” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเอ่ยอย่างเย็นชา เจดีย์มารครวญเป็นสถานที่ที่เขาใช้สำหรับการคุมขังเพื่อทรมานโดยเฉพาะ ต่อให้เป็นเทพอากาศเข้าไป ต่างก็ต้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดทรมาน ดังนั้นจึงมีชื่อเรียกว่า ‘มารครวญ’
โดยทั่วไปแล้วต่างก็ถูกทรมานจนตาย ภายใต้สถานการณ์ปกติ ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมมิอาจทนได้ถึงหนึ่งแสนปีจริงๆ แต่เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงก็พูดอยู่กับปากว่าเขาจะทรมานให้หนักหน่วง ก่อให้เกิดเพลิงโทสะ แต่จะไว้ชีวิตน้อยๆ ของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ ถ้าหากศิษย์อาภรณ์ทองไม่ตาย วังทวีสูญก็จะมิอาจก่อสงครามโดยอาศัยเหตุนี้
“เจดีย์มารครวญหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงงงงันอยู่บ้าง แม้ว่าเขาจะรู้ข้อมูลมากมาย แต่กลับไม่รู้เลยว่าเจดีย์มารครวญคือสิ่งใด แต่ฟังดูแล้วก็มิใช่สถานที่ที่ดีแต่อย่างใดเลย
“สวรรค์กันแสง เจ้านี่ช่างร้ายกาจเสียจริง ถึงกับจะให้ศิษย์อาภรณ์ทองแห่งวังทวีสูญของข้าไปรอในเจดีย์มารครวญของเจ้าตั้งแสนปีเชียวหรือ” น้ำเสียงเย็นชาสายหนึ่งสะท้อนก้องในห้วงอากาศอันเวิ้งว้าง
เห็นเพียงว่าที่บริเวณไกลๆ เงาร่างสายหนึ่งออกมาจากเมฆดำที่ล่องลอยอยู่ ค่ายกลขัดขวางเขาเอาไว้เขาสวมใส่อาภรณ์สีดำหรูหรางดงาม ผมยาวสีแดงโลหิตปลิวไสว นัยน์ตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็งทั้งคู่ทำให้บรรดาสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านี้ต่างก็สั่นสะท้าน พวกเขาล้วนชมชอบค่ายสังหาร แต่ในยามที่สิ่งมีชีวิตท่านนี้มาถึง พวกเขาต่างก็รู้สึกหัวใจสั่นไหว
“หรือไม่ ให้ข้าพาเจ้าไปยังคุกหลอมมารของวังลงทัณฑ์แห่งวังทวีสูญของข้า ให้เจ้าลองลิ้มชิมรสดูสักหน่อยดีไหม” อาภรณ์ดำไหวพลิ้ว ผมยาวสีแดงโลหิตปลิวไสว แววสังหารเย็นเยียบดุจน้ำแข็งในนัยน์ตาของผู้มาเยือน แม้กระทั่งเริ่มที่จะทะลุทะลวงผ่านวิญญาณภายในร่างของเจ้าสำนักสวรรค์กันแสง นั่นคือความหนาวสะท้านอย่างที่สุด ค่ายสังหารและความเย็นเยือก
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เขาส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นเสียงหนึ่งพลางกดดันขับไล่แรงกดดันอันไร้รูปร่างของอีกฝ่าย “วังทวีสูญ จอมมารหรือ”
ปึงๆๆๆๆ
ทันใดนั้นร่างกายแต่ละร่างของสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศขั้นรวมเป็นเอกภาพห้าคนที่อยู่ด้านข้างก็ระเบิดออกกลายเป็นเศษน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับน้ำแข็งแตก แล้วกลับกลายเป็นไร้มวลสาร ในขณะเดียวกันมือใหญ่หยาดฝนสีดำที่เดิมทียังคว้าจับตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่เอาไว้ ทว่ามือใหญ่หยาดฝนสีดำนั้นกลับถูกแช่แข็งและแตกสลายไปเช่นกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่ต่างถูกควบคุมให้เหินลอยไปยังด้านหลังของจอมมาร ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังแววตาของจอมมารแล้วก็เต็มไปด้วยความยินดี จอมมารหรือ
จอมมารยืนอยู่ที่นั่น แม้แต่จะมองก็ยังไม่มองขั้นรวมเป็นเอกภาพห้าคนที่ตายไปนั้นเลย เขาเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “แผ่นดินอลหม่านสองร้อยแปดสิบเก้าแห่ง สังหารสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศทั้งหลายอย่างไร้ปรานี ก็ฆ่าเจ้าห้าคนนี้ไปพลางๆ ก่อนแล้วกัน”
…………………………………….

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด