Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 17
ทันใดนั้น ผู้ปกครองที่ชมการต่อสู้อย่างสบายใจอยู่บนบรรพคีรีมารต่างก็มองลงมายังฉากที่เกิดขึ้นเบื้องล่างด้วยความตื่นตกใจ…มือทั้งสองของตงป๋อเสวี่ยอิงคว้ามือทั้งสองข้างของทหารสีขาวเงินเอาไว้ ทหารสีขาวเงินดิ้นรนอย่างสุดชีวิต วิ้งๆๆ…ระลอกคลื่นของพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นกระเพื่อมไหวอยู่รอบด้าน แต่ฝ่ามือทั้งสองของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับคว้าทหารสีขาวเงินเอาไว้แน่นชนิดที่มิอาจสั่นคลอนได้“เฮือก!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันออกแรง คว้าแขนทั้งสองของอีกฝ่ายแล้วกระตุกอย่างแรงทันควันตู้ม…ทั้งร่างของทหารสีขาวเงินพลันแตกออกเป็นผุยผงก่อนจะกลายเป็นสายน้ำ ลอยกลับไปยังทะเลสาบอันเงียบสงัดแห่งนั้น ทะเลสาบนั้นยังคงไม่มีระลอกคลื่นแม้แต่น้อย“ชนะแล้วหรือนี่”“อาศัยพละกำลังล้วนๆ ก็สามารถเอาชนะทหารหุ่นเชิดวารีได้แล้วหรือ เพียงแค่กระบวนท่าเดียวน่ะหรือ” ผู้ปกครองบางคนถึงขั้นลืมกลืนสุราที่ดื่มค้างเอาไว้ในปาก เพราะฉากนี้ช่างชวนให้คนตกใจเกินไปแล้วจริงๆ เพราะพวกเขารู้จักพลังของทหารหุ่นเชิดวารีเป็นอย่างดี ตลอดระยะเวลายาวนานก่อนหน้านี้ ก็มีผู้เคารพเพียงสิบเอ็ดคนที่เอาชนะทหารหุ่นเชิดวารีได้ คิดจะอาศัยแค่พละกำลังล้วนๆ เพื่อโจมตีทหารให้แตกสลายไป จะต้องใช้พละกำลังระดับใดกันเล่า“หากพูดถึงพละกำลัง เกรงว่าเจ้าหนุ่มคนนี้คงจะมีมากกว่าข้าเสียอีกกระมัง” ชายชราผอมซูบผู้มีผิวสีดำและหางยาวเหยียดส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ“เกรงว่าผู้ปกครองอย่างพวกเราที่ไม่เชี่ยวชาญทางด้านการบำเพ็ญร่างกายคงจะสู้เจ้าหนุ่มนี่ไม่ได้แน่”“ลำพังแค่พละกำลังของเขาก็บรรลุถึงขั้นผู้ปกครองแล้ว หากมีลูกไม้ที่ร้ายกาจอื่นๆ อีก ก็ต้องยิ่งเก่งกาจเข้าไปใหญ่ ข้าว่าเขาอาจจะสามารถคุกคามผู้เคารพอันดับหนึ่งคนนั้นได้เลยทีเดียว”“เขามีหวังคุกคามผู้เคารพอันดับหนึ่ง…เลี่ยยาง ได้เป็นแน่แท้”บรรดาผู้ปกครองต่างพากันประเมินพวกเขาล้วนแต่เป็นผู้ปกครองซึ่งสามารถเข้าไปในบรรพคีรีมารได้ สามารถจัดอยู่ในสามสิบเก้าอันดับแรกได้ แต่ละคนล้วนมีกลเม็ดไม่ธรรมดา ต่อให้ร่างกายอ่อนแอกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่บ้าง พวกเขาก็ยังคงดูแคลนตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ดี! ดังเช่นจักรวาลผู้บำเพ็ญ…ประมุขหยวนชู ผู้ปกครองนรกโลกันตร์และผางอีล้วนแต่ใช้ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ หากพูดถึงร่างกายแล้ว พวกเขาล้วนมิอาจสู้ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ แต่พลังกลับสูงกว่ามากนัก!……“เจ้าชนะแล้ว” ยายเฒ่าผู้ดูแลเขามองตงป๋อเสวี่ยอิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง “พลังของเจ้าไม่เบาเลยจริงๆ”ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ หากพูดถึงพละกำลังเพียงอย่างเดียว เขาก็สามารถเทียบได้กับเจ้าลัทธิคนใหม่ของลัทธิจอมมารดา หากพละกำลังยังไม่สามารถกดดันทหารหุ่นเชิดวารีซึ่งใช้สำหรับทำการทดสอบตนหนึ่งได้ เช่นนั้นการทดสอบนี้ก็คงจะยากเกินไปแล้ว“ข้าขอถามเจ้า ว่าเจ้าอยากจะท้าทายผู้เคารพท่านใด” ผู้ดูแลเขาถาม “บัดนี้เจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะท้าทายผู้เคารพอันดับสองและผู้เคารพอันดับสามได้แล้ว”“ผู้เคารพอันดับสามก็แล้วกันขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว ไม่ว่าจะเป็นผู้เคารพอันดับสองหรือผู้เคารพอันดับสาม เมื่อตนชนะแล้วก็เข้าไปได้แค่ชั้นนอกของบรรพคีรีมารเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็สู้ท้าทายผู้เคารพอันดับสามซึ่งมีโอกาสมากกว่าจะดีกว่า เพราะถึงอย่างไรผู้เคารพสองอันดับแรกก็มีสถิติว่าเคยเอาชนะผู้ปกครองได้มาก่อน ส่วนผู้เคารพอันดับสามกลับไม่เคยเอาชนะผู้ปกครองได้มาก่อน“ดี อีกไม่นานผู้เคารพอันดับสามก็จะมาถึงแล้ว” ยายเฒ่าผู้ดูแลเขาพยักหน้า นางมองไปทางหุ่นเชิดสัตว์ประหลาดร่างกำยำข้างกาย หุ่นเชิดสัตว์ประหลาดพยักหน้าแล้วพลันย่ำลงบนพื้นคราหนึ่ง โครม! มันทะยานขึ้นสู่ฟ้าในทันใด แล้วบินมุ่งหน้าตรงไปทางเหลี่ยมมุมหนึ่งของบรรพคีรีมารทันที******บนบรรพคีรีมาร สตรีผมขาวกำลังนั่งดื่มสุราด้วยจิตใจที่ไม่สงบอยู่บ้าง นางถึงขั้นไม่ไปร่วมชมการต่อสู้ด้วยตนเอง“ข้าต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจไปตั้งเท่าใดถึงเข้าไปยังบรรพคีรีมารได้สำเร็จ จู่ๆ ตอนนี้ก็มีผู้เคารพคนหนึ่งที่สามารถเอาชนะผู้ปกครองได้โผล่หัวมาอย่างนั้นหรือ” สตรีผมขาว ‘ผู้เคารพเทพหิมะ’ รู้สึกจิตใจไม่สงบเอาเสียเลยตู้ม!เงาร่างของหุ่นเชิดสัตว์ประหลาดพลันร่อนลงมา มันมองสตรีผมขาวพลางพูดด้วยเสียงอันกังวานว่า “เทพหิมะ มีผู้เคารพท้าทายท่าน ลงไปรับการต่อสู้เถิด”ร่างกายของสตรีผมขาวสั่นสะท้านน้อยๆ สายตายิ่งเยียบเย็นขึ้น “ในที่สุด…ก็มาถึงจนได้! คิดจะเอาชนะข้า ไม่ง่ายดายเช่นนั้นหรอก”สวบ ข้ารับใช้ชราคนหนึ่งทะยานเข้ามาแล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้านาย ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นได้รับชัยชนะแล้วขอรับ”สตรีผมขาวมองไปทางบ่าวรับใช้แวบหนึ่งโดยไม่เอ่ยคำใด เพราะนางเข้าใจดีว่า หากพ่ายแพ้การต่อสู้แล้ว บ่าวรับใช้หุ่นเชิดผู้นี้ก็จะมิใช่บ่าวรับใช้ของตนอีกต่อไป หากแต่จะกลายเป็นบ่าวรับใช้ของตงป๋อเสวี่ยอิงไป เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นัยน์ตาของสตรีผมขาวก็ยิ่งเยียบเย็นมากขึ้นไปอีก ศึกครั้งนี้ นางต้องชนะให้จงได้!“ไปเถิด” หุ่นเชิดสัตว์ประหลาดตะโกน“ไป” สตรีผมขาวยืดกายขึ้น แล้วแปรเป็นลำแสงทะยานออกไปพร้อมหุ่นเชิดสัตว์ประหลาด มุ่งหน้าถลาลงไปยังทางเข้าเบื้องล่างของบรรพคีรีมาร……“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้ามองเงาร่างสองสายที่กำลังถลาลงมาจากอากาศ นอกจากหุ่นเชิดสัตว์ประหลาดแล้ว ก็เป็นสตรีผมขาวซึ่งมีกลิ่นอายเย็นเยียบแผ่กำจายออกมายายเฒ่าผู้ดูแลเขากลับยิ้มน้อยๆ ไม้เท้ากระทุ้งพื้นอย่างรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่าตู้มมมมม…ทันใดนั้นเหนือผืนดินก็มีเวทีการต่อสู้โบราณแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น บนเวทีการต่อสู้มีรอยอักขระแน่นขนัดจารึกอยู่ ทันใดนั้นภายในรอยอักขระก็มีรัศมีหมุนเวียนขึ้นมา กลางอากาศรอบด้านก็มีค่ายกลสีดำขนาดมหึมาแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น ภายในค่ายกลสีดำทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ และหมุนเวียนไปไม่หยุดนิ่ง โอบล้อมทั้งเวทีการต่อสู้เอาไว้“กฎนั้นง่ายมาก” ยายเฒ่าผู้ดูแลเขาเอ่ย “พวกเจ้าสองคนต่อสู้กัน หลังเวลาผ่านไประยะหนึ่ง หากมิอาจตัดสินได้ว่าใครแพ้ใตรชนะ ค่ายกลของเวทีการต่อสู้ก็จะปล่อยอันตรายด่านแล้วด่านเล่าออกมา คนที่ตายก่อนก็จะพ่ายแพ้! ผู้ที่อยู่รอดก็จะคว้าชัย พวกเจ้าสองคนเข้าใจหรือไม่”ดวงตาที่ดูคล้ายจะขุ่นมัวของยายเฒ่ากวาดผ่านตงป๋อเสวี่ยอิงและสตรีผมขาวผู้นั้น“เข้าใจขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า สตรีผมขาวก็รับคำเสียงหนึ่ง“ดีมาก เช่นนั้นก็ขึ้นไปบนเวทีการต่อสู้แล้วเริ่มต้นเถิด” ยายเฒ่าผู้ดูแลเขากล่าวสตรีผมขาวบินผลุนผลันตรงไปยังเวทีการต่อสู้ก่อน แม้รอบเวทีการต่อสู้จะมีค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าอยู่แต่กลับมิได้สกัดขัดขวางแต่อย่างใด สตรีผมขาวร่อนลงบนเวทีการต่อสู้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทะยานตามไป เขามองคู่ต่อสู้ตรงหน้าอย่างจริงจัง ก่อนหน้านี้ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวและผู้ปกครองเอ้อเฉินได้แจ้งข่าวให้ผู้เคารพทั้งสามซึ่งอยู่ในบรรพคีรีมารของพวกเขาทราบก่อนแล้วคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้มีนามว่าผู้เคารพเทพหิมะ ซึ่งยากจะต่อกรด้วยนัก เขาสามารถเทียบกับผู้ปกครองได้ หากนับกันอย่างจริงจังแล้ว ก็คงจะเทียบกับ ‘ผู้ครองชิง’ แห่งจักรวาลผู้บำเพ็ญซึ่งยังไม่เคยบรรลุได้กระมัง นางอาจจะอ่อนแอกว่าอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรการต่อสู้ของจักรวาลผู้บำเพ็ญก็ยิ่งพิสดารยากเกินคาดเดา พลังรบโดยเฉลี่ยก็อ่อนแอกว่าอยู่บ้าง“ได้ยินมาว่าเจ้าสามารถเอาชนะผู้ปกครองได้หรือ” เสียงของสตรีผมขาวผู้เคารพเทพหิมะสะท้อนก้องอยู่ในเวทีการต่อสู้ “เช่นนั้นเจ้าจะสามารถเอาชนะข้าได้หรือไม่”เสียงยังคงสะท้อนก้องผิวกายของสตรีผมขาวก็เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นผลึกน้ำแข็งแผ่นแล้วแผ่นเล่า ผลึกน้ำแข็งแต่ละแผ่นล้วนแต่เป็นรูปสิบสองเหลี่ยม ภายใต้การส่องสะท้อนของบรรพคีรีมารและดวงดาราที่อยู่ด้านข้างก็ส่องประกายหลากสีสันออกมา ผลึกน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนก่อให้เกิดรูปสลักขนาดใหญ่ขึ้นมา ตัวสตรีผมขาวเองก็กลายเป็นรูปสลักรูปหนึ่งอย่างสิ้นเชิง เดิมทีนางสูงเพียงเกือบสองเมตร แต่บัดนี้ หลังจากผลึกน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนเสริมร่างกายขึ้นมาแล้ว ก็สูงเกือบสามเมตรเลยทีเดียวนางยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับไหวเลยแม้แต่น้อย ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงไปบ้างแล้ว “หมายความว่าอะไรกัน นางกลายเป็นรูปสลัก ไม่มีความเคลื่อนไหวใดแล้วหรือ”“ตู้ม” ตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหอกยาวสีเงินเอาไว้ในมือ แล้วลองกวัดแกว่งหอกยาวออกไปหอกยาววาดข้ามท้องฟ้า ด้ามหอกแฝงไว้ด้วยความโค้งเล็กน้อย พละกำลังระดับผู้ปกครองแทรกซึมเข้าไปในด้ามหอก พละกำลังส่งถ่ายจากด้ามหอกไปยังหัวหอก ปังงง…มันฟาดลงไปบนรูปสลักนั้นอย่างฉับพลัน รูปสลักผลึกน้ำแข็งนี้ถูกฟาดเสียจนกระเด็นลอยไป ก่อนจะกระแทกเข้ากับค่ายกลสีดำที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศรอบเวทีการต่อสู้ ยามนี้ค่ายกลสีดำกลับต้านทานรูปสลักน้ำแข็งเอาไว้ รูปสลักน้ำแข็งก็เด้งกลับมาแล้วร่วงหล่นลงบนเวทีการต่อสู้ ก่อนจะพลิกหมุนไปเป็นระยะทางมากพอควรจึงหยุดลงตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูฉากนี้ด้วยความตกตะลึงอยู่บ้างปล่อยให้ตนโจมตีตามอำเภอใจอย่างนั้นหรือ“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้เคารพเทพหิมะคนนี้ช่างหน้าไม่อายเกินไปแล้ว” เหล่าผู้ปกครองที่ชมการต่อสู้อยู่บนบรรพคีรีมารต่างก็อดหัวเราะออกมามิได้“นางรู้ดีว่าในด้านการโจมตีคงจะสู้ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้มิได้ จึงกังวลว่าเมื่อต่อสู้กันแล้วพลาดพลั้งไม่ระวังขึ้นมา ก็จะต้องสังเวยชีวิต ดังนั้นตั้งแต่เริ่มต้นจึงทุ่มเทสุดกำลังเพื่อป้องกันตนและรักษาชีวิตเอาไว้”“ทางเลือกของนางก็มีเหตุผลอยู่ การป้องกันของนางแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ขอเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารนางมิได้ อีกไม่นาน บนเวทีการต่อสู้ก็จะมีอันตรายมากมายมาเยือน…ท่ามกลางอันตราย นางก็สามารถป้องกันได้เป็นอย่างมาก! ขอแค่ตงป๋อเสวี่ยอิงตายไปก่อน นางก็จะชนะแล้ว” ผู้ปกครองเหล่านี้หัวเราะพลางวิพากษ์วิจารณ์นี่คือกลยุทธ์ซึ่งมีโอกาสชนะค่อนข้างมากโดยแท้ แต่ก็เสียหน้ามากเช่นกัน มีอย่างที่ไหนที่ไม่ต่อสู้ ปล่อยให้ถูกทุบตีอยู่ได้เล่า หรือต่อให้ปัสสาวะรดลงบนร่างก็จะไม่ต่อต้านเลยอย่างนั้นหรือ ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำเรื่องพรรค์นั้นไม่ลงอยู่แล้ว“น้องตงป๋อ”เงาร่างสายหนึ่งเร่งเข้ามาจากที่อันไกลโพ้น เป็นท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวนั่นเอง เขารีบตะโกนขึ้นว่า “นี่มันเรื่องอันใดกัน เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ต่อกรกันเล่า” เมื่อเขาทราบข่าวก็เร่งตรงมา ก็ยังมาทันการต่อสู้ครั้งนี้“ไม่มีอะไรหรอกขอรับ ก็แค่คิดไม่ถึงว่าผู้เคารพอันดับสามแห่งบรรพคีรีมารจะทำได้ขนาดนี้…” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูรูปสลักผลึกน้ำแข็งที่ล้มลงบนเวทีการต่อสู้ตรงหน้า และไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตนก็ยังคงต้องทุ่มเทสุดกำลังเพื่อคว้าชัยชนะมาให้ได้! จักรวาลบ้านเกิดห่างจากสงครามครั้งสุดท้ายไม่มากสักเท่าใดแล้ว พลังของตนยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ย่อมยิ่งดีเท่านั้น ต้องคว้าโอกาสภายในบรรพคีรีมารเอาไว้ให้มั่น
คอมเม้นต์