Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 35 ป้ายคำสั่งจิตโลกา
ณ โลกทิพย์กิเลนบูรพาภายในหอสุราแห่งหนึ่ง ราชันย์มีดนั่งอยู่ตรงข้ามกันกับบุรุษอาภรณ์สีฟ้าเข้มคนหนึ่ง“ป้ายคำสั่งจิตโลกาหรือ” ราชันย์มีดประหลาดใจ “ท่านอาจารย์ ท่านบอกว่าจอมกระบี่อาจจะเคยได้รับป้ายคำสั่งจิตโลกามาก่อนอย่างนั้นหรือ ป้ายคำสั่งจิตโลกาคือสิ่งใดกัน เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเล่า”“อืม”เจ้าเมืองหลัวนั่งรินสุราอยู่ที่นั่น เขาดื่มสุราไปพลางพูดยิ้มๆ “เจ้าย่อมต้องไม่เคยได้ยินมาก่อนอยู่แล้ว เกรงว่าผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่าน ผู้ที่รู้จักป้ายคำสั่งจิตโลกาน่าจะมีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้ จอมกระบี่คงจะเคยได้รับป้ายคำสั่งจิตโลกา อีกทั้งยังได้นำมาใช้แล้วอีกด้วย!ดังนั้นการบำเพ็ญจึงได้บรรลุอย่างฉับพลันเช่นนี้ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้น ไม่แน่ว่าเขาอาจมีพรสวรรค์สูงส่งล้นฟ้าจริงๆ ก็เป็นได้ เพียงแค่ปลีกวิเวกฝึกฝนก็มาถึงระดับขั้นเช่นนี้ได้แล้ว”“ท่านอาจารย์ ที่แท้แล้วป้ายคำสั่งจิตโลกาคือสิ่งใดกันหรือ” ราชันย์มีดถามต่อ“คือสมบัติลับอันแสนวิเศษชิ้นหนึ่ง” เจ้าเมืองหลัวพูดยิ้มๆ “คิดอยากจะได้มันมา คิดอยากจะใช้มันนั้นกลับจำเป็นต้องใช้ชะตาลิขิต ถึงแม้จะเป็นผู้บำเพ็ญที่มีพรสวรรค์ในการหยั่งรู้สูงส่ง ก็ต้องได้รับการยอมรับจากป้ายคำสั่งจิตโลกาจึงจะได้มันมา มิฉะนั้นต่อให้มันอยู่ตรงหน้า เจ้าก็มองไม่เห็นมันอยู่ดี”“อยู่ตรงหน้าก็มองไม่เห็นอย่างนั้นหรือ” ราชันย์มีดยิ่งทวีความสงสัยสมบัติลับมีสมบัติลับอันแสนวิเศษอย่างยิ่งอยู่จริงๆ อย่างเช่นหอกหลากสีที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ใช้เล่มนั้นก็มีที่มาอันเป็นปริศนา! หรืออย่างเช่น ‘เตาสามขาเพลิงโลกันตร์’ ก็มีที่มาอันลึกลับเช่นเดียวกันสมบัติลับอันแสนวิเศษ ‘ป้ายคำสั่งจิตโลกา’ หรือ ราชันย์มีดไม่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้เลยจริงๆ“ไปเถิดๆ ไปบำเพ็ญให้ดีๆ เถิด เจ้าก็เป็นศิษย์ของข้า อย่าได้ถูกจอมกระบี่แซงหน้าไปจริงๆ เสียล่ะ”เจ้าเมืองหลัวพูดยิ้มๆ“ขอรับ ศิษย์ขอลาก่อน” ราชันย์มีดยืดกายลุกขึ้นในทันใดเขามีความรู้สึกเร่งรัดอย่างแท้จริงเขา จึงจะเป็นผู้นำสูงสุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก! ถึงแม้ว่าท่านอาจารย์ ‘เจ้าเมืองหลัว’ จะค้างอยู่ที่ขั้นอลวนมาโดยตลอด แต่ระดับขั้นนั้นกลับสูงส่งเหนือธรรมดา ท่านอาจารย์สถาปนา ‘ตำหนักดวงดารา’ ขึ้นมาด้วยความปรารถนาที่จะชี้นำเทพจักรวาลคนอื่นๆ เช่นท่านบรรพชนคีรีมาร ประมุขเหยากวง บรรพชนเทียนอวี๋ บรรพชนห้วงอากาศ และจักรพรรดิงูเมฆา แต่ละคนต่างก็นอบน้อมฟังคำสอนอย่างเต็มใจถึงอย่างไรเจ้าเมืองหลัวก็เป็นถึงขั้นอลวน แต่พลังยุทธ์กลับนับได้ว่าเป็นเทพจักรวาลระดับชั้นที่สองเลยทีเดียวพูดถึงระดับขั้นเพียงอย่างเดียวเกรงว่าเขาจะเหนือกว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เสียอีก! ถึงแม้ว่าจะละเมิดข้อห้ามบางอย่างที่มิอาจล่วงรู้ เจ้าเมืองหลัวดูเหมือนว่าจะไม่มีทางได้เป็นเทพจักรวาลไปตลอดกาล แต่ว่าระดับขั้นนั้นช่างสูงส่งเหลือเกิน ผู้ที่อยากจะกราบเขาเป็นอาจารย์ก็มีมากมายเกินไปเสียแล้ว เพียงแต่เขาไม่อยากจะรับศิษย์ แล้วก็มีเทพจักรวาลเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่เขาเต็มใจจะชี้แนะ ดังนั้นจึงมีพันธมิตร ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก’ ขึ้นมาจุดเชื่อมโยงที่แท้จริงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก…ก็คือเจ้าเมืองหลัวจอมกระบี่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของวังทวีสูญ และสามารถได้รับคำชี้แนะจากเจ้าเมืองหลัว นอกจากนี้ ยังได้รับความสำคัญจากเจ้าเมืองหลัวด้วย… แต่ว่าราชันย์มีดนั้นเป็นศิษย์ผู้สืบทอดโดยตรง เจ้าเมืองหลัวให้การชี้แนะกับเขามากที่สุดราชันย์มีดจากไปเจ้าเมืองหลัวดื่มสุราอย่างผ่อนคลายตามลำพังเช่นเดิม“สุราชั้นดี สุราผลไม้ที่หอสุราแห่งนี้หมักบ่มขึ้นนั้นคงจะสามารถจัดได้เป็นหกร้อยลำดับแรกในอากาศอันสับสนอลหม่านเลยทีเดียว” เจ้าเมืองหลัวชมเชย ในขณะเดียวกันก็ยังครุ่นคิดว่า “ยามที่ตาเฒ่าผู้นี้จากไปแล้ว ป้ายคำสั่งจิตโลกาก็มีไม่มากแล้ว ที่บอกข้าก็เหลืออยู่เพียงแค่ห้าชิ้นเท่านั้นเอง! จนถึงตอนนี้เกรงว่าก็ยิ่งน้อยลงไปอีก มีชิ้นหนึ่งตกอยู่ในมือของจอมกระบี่พอดีอย่างนั้นหรือ” ……พวกตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็ถูกสั่งห้าม ยับยั้งมิให้ออกไปจากวังทวีสูญและป้อมห้วงอากาศเป็นการชั่วคราวทว่าพวกเขาเหล่าประมุขตำหนักก็ยังใช้ร่างแปรออกไปนอกวังทวีสูญ ไปดูร่องรอยที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทิ้งเอาไว้ในสงครามคราวนั้น“โอ้”“สงครามระหว่างจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กับบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกาหรือ”เหล่าประมุขตำหนักกลุ่มหนึ่งมองดูบริเวณรอบๆ อย่างพรั่นพรึงบริเวณแสนล้านลี้โดยรอบล้วนเต็มไปด้วยความอลหม่าน สถานที่มากมายล้วนมีร่องอากาศเส้นแล้วเส้นเล่า พื้นดินถูกฉีกแยก แต่ร่องรอยที่เหลือทิ้งเอาไว้กลับยังคงไม่เลือนหายเช่นเดิม! กลางท้องฟ้าก็มีรอยฉีกขาดมากมาย เป็นร่องรอยความเสียหายของโลกทิพย์ การทำลายล้าง ค่ายสังหาร อสนีบาต และพิษทิพย์… พลังแต่ละชนิดกระจัดกระจายอย่างสับสนอลหม่านบนสนามรบแสนล้านลี้บรรพชนเทียนอวี๋พูดอยู่ข้างๆ “การต่อสู้ในคั้งนี้ส่งผลกระทบต่อแกนของโลกทิพย์ การทำลายช่างง่ายดาย แต่การฟื้นฟูนั้นยากยิ่ง! พื้นที่แห่งนี้ก็แทบจะถูกทำลายย่อยยับ การจะฟื้นฟูได้…ท่านบรรพชนคีรีมารและประมุขเหยากวงก็จำเป็นต้องใช้เวลาค่อยๆ ทำไป”“ท่านบรรพชน การต่อสู้ในครั้งนี้กินพื้นที่ค่อนข้างเล็กทีเดียว”“ได้ยินว่าเมื่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้ มีบางทีที่สามารถทำให้โลกทิพย์แห่งหนึ่งแหลกสลายได้”เหล่าประมุขตำหนักแต่ละคนพูดบรรพชนเทียนอวี๋ส่ายหน้าพลางแย้มยิ้ม “การต่อสู้ในครั้งนี้กินเวลาสั้นนัก ดังนั้นบาดแผลที่ฝากไว้ให้โลกทิพย์จึงไม่นับว่าสาหัสสักเท่าใดนัก ถ้าหากว่ากินเวลายาวนาน บริเวณล้านล้านลี้โดยรอบก็อาจจะถูกฉีกทึ้งทำลายจนหมดสิ้น ก็จะสร้างความเสียหายให้กับโลกทิพย์มากยิ่งขึ้น! สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ คราวนี้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มิได้บ้าคลั่งอย่างแท้จริง บวกกับสงครามเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเขาก็มิได้เตรียมการมากมายสักเท่าใดนัก”“สงครามเกิดขึ้นอย่างกะทันหันหรือ”“ท่านบรรพชน สงครามเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน”“ลำแสงสีดำเหนือท้องฟ้าของวังทวีสูญ นี่มันเรื่องอันใดกัน” ประมุขตำหนักทั้งหลายต่างพากันสงสัย พวกเขาต่างก็ไม่รู้ถึงต้นเหตุของสงคราม!คราวนี้จอมกระบี่เปิดตัวอย่างกะทันหันเหลือเกินจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็มิได้เตรียมตัวอะไรเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรการใช้พลังต้นกำเนิดจักรวาลหลอมเป็นสมบัติลับขึ้นมานั้นก็จำเป็นต้องใช้เวลา ในอีกด้านหนึ่ง คราวนี้การตอบสนองของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนจะนับได้ว่าสงบเงียบ มิได้บ้าคลั่งเกินไปนัก“จอมกระบี่บรรลุในคราวนี้ พลังยุทธ์รุดหน้าเป็นอย่างมาก ตอนนี้ก็สามารถเทียบเคียงได้กับราชันย์มีดและบรรพชนทิพย์” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยอย่างค่อนข้างเบิกบานใจ เขาก็มิได้ปิดบัง ถึงอย่างไรอีกไม่นานข่าวนี้ก็ต้องแพร่สะพัดอยู่ดี……ข่าวแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วจริงๆ ทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่าน เหล่าผู้บำเพ็ญที่อยู่อย่างสันโดษตามที่ต่างๆ ล้วนสั่นสะท้านด้วยเหตุนี้ พวกเขาต่างก็ตื่นตระหนกกับพลังยุทธ์ของจอมกระบี่ในตอนนี้ในภายภาคหน้า…วังทวีสูญก็ยังระแวดระวังเป็นอย่างยิ่ง โลกทิพย์ทั้งสามต่างก็เตรียมตัวกันเป็นอย่างดี ถ้าหากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เกิดคลั่งขึ้นมา สำนักทิพย์โบราณเปิดศึกกับพวกเขา เช่นนั้นก็คงต้องเปิดสงครามฉากใหญ่อีกครั้งแล้วกระมังแต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็สงบเป็นอย่างยิ่งหลังจากที่พวกตงป๋อเสวี่ยอิงเหล่าประมุขตำหนักกลุ่มนี้รอคอยอยู่ที่วังทวีสูญเป็นเวลาหลายพันล้านปีแล้ว บรรพชนเทียนอวี๋ก็ถอนคำสั่งห้าม ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินทางไปทั่วสารทิศอีกครั้ง ตรวจสอบค้นหา ‘ฝูงมารผลาญทำลาย’ ต่อไป……“ปัง…”กลางอากาศอันสับสนอลหม่าน เงาร่างสองสายต่อสูกัน ทำให้ห้วงอากาศรอบด้านดูเหมือนจะเยือกแข็ง ทุกครั้งที่เกิดเสียงดังสนั่นก็ทำให้ห้วงอากาศบิดเบี้ยวอยู่บ้าง“แม่ทัพโม่กู่ การใช้ประโยชน์จากห้วงอากาศของเจ้าช่างร้ายกาจเสียจริง นับถือๆ แต่คิดอยากจะเอาชนะข้า ก็ยังย่ำแย่ไปสักหน่อย” บุรุษชุดเขียวพูดยิ้มๆ“รับกระบวนท่าสุดท้ายของข้าก่อนเถิด ถ้าหากเจ้าสามารถต้านรับกระบวนท่านี้ได้อย่างง่ายดายแล้วล่ะก็ เช่นนั้นข้าก็จะยอมรับความพ่ายแพ้” บุรุษตาสามเหลี่ยมในอาภรณ์ทองยิ้มเย็นลำแสงที่บางเบาดุจปีกจักจั่นสายหนึ่งพลันตวัดผ่านในทันใด อากาศที่เยือกแข็งถูกตัดผ่านราวกับเต้าหู้ ทั้งยังตัดผ่านบุรุษที่อยู่ห่างไกลออกไปผู้นั้นเช่นเดียวกันร่างกายของบุรุษผู้นั้นถูกแยกออกเป็นสองส่วนในทันใด แล้วรวมกลับเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ยามที่รวมกันนั้นบาดแผลกลับฟื้นฟูได้อย่างยากเย็นยิ่ง“อะไรกันนี่” บุรุษชุดเขียวผู้นั้นตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง“เป็นอย่างไรเล่า” บุรุษอาภรณ์ทองลำพองใจเป็นที่สุด “ตามที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ ไม่สำแดงพรสวรรค์ไร้เงา สังหารซึ่งหน้า พลังยุทธ์ของข้าในตอนนี้ก็นับได้ว่าเป็นชั้นที่แปดขั้นสุดยอดแล้วกระมัง”“นับได้แล้วล่ะ”จากอีกทิศทางหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปก็มีเงาร่างสี่สายยืนอยู่ พวกเขาทะยานเข้ามาพร้อมกัน“แม่ทัพโม่กู่ช่างร้ายกาจเสียจริง ออกจากทางเดินโลกาพิศวงมายังโลกของผู้บำเพ็ญได้ยังไม่ถึงล้านล้านปีดี ก็ไปถึงชั้นที่แปดขั้นสุดยอดแล้ว”“กระบวนท่าสุดท้ายนี้ช่างร้ายกาจโดยแท้”อีกสี่คนต่างก็เอ่ยชมในดวงตาสามเหลี่ยมของบุรุษอาภรณ์ทอง ‘แม่ทัพโม่กู่’ เต็มไปด้วยแววโลภโมโทสัน เขาลอบพูดยิ้มๆ ว่า “เหล่าอ๋องต่างก็พูดกันเอาไว้แล้วว่าเมื่อใดที่ข้าไปถึงชั้นที่แปดขั้นสุดยอด ก็อนุญาตให้ข้าลงมือกลืนกินผู้บำเพ็ญขั้นอลวนคนหนึ่งได้อีกครั้ง”“วางใจเถิด แม่ทัพโม่กู่ พวกเราจะต้องจัดการให้ได้อย่างแน่นอน” ลูกน้องทั้งห้าคนพูด“ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนคนหนึ่ง อีกทั้งผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนของขุมอำนาจที่เขานั่งประจำการอยู่ ข้าจะกินเสียให้เกลี้ยงเกลาทีเดียว” ร่างกายของแม่ทัพโม่กู่ถึงกับสั่นสะท้านน้อยๆ เขาคาดหวังและกระหายอยากมากเหลือเกิน………………………………………
คอมเม้นต์