Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 7 สถานการณ์ล้างผลาญ

อ่านนิยายจีนเรื่อง Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 7 สถานการณ์ล้างผลาญ 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

“ตั้ง!” มารผลาญทำลายรูปร่างผอมเล็กตนหนึ่งกล่าว ตาเดี่ยวตรงหว่างคิ้วเปล่งแสงเรืองรองออกมาแล้วสาดสะท้อนไปทั่วทั้งเวทีการต่อสู้ มิติทั่วทั้งเวทีราวกับโคลนเลน เมื่อมองด้วยตาเปล่าก็สามารถเห็นเงาร่างอันเลือนรางของตงป๋อเสวี่ยอิงได้ กลางอากาศที่จับตัวกันจนหนืดราวกับโคลนเลนแห่งนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงกะพริบวาบคราหนึ่งแล้วเคลื่อนที่ในพริบตาออกไปหลายหมื่นลี้ แล้วล้อมรอบฝูงมารผลาญทำลายทั้งเก้าตนเอาไว้ได้อย่างง่ายดายเพื่อเสาะหาโอกาส
“เขาควบคุมมิติได้อย่างร้ายกาจนัก พวกเรามิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้ แต่เขากลับทำได้” ฝูงมารผลาญทำลายทั้งเก้าตนสบตากันและรู้ว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว
ฝ่ายหนึ่งสามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้
ส่วนอีกฝ่ายนั้นมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้เลย เช่นนั้นพวกเขาจึงมิอาจเป็นฝ่ายไล่สังหารได้!
นี่ก็เป็นเรื่องปกติ ถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นผู้ท่องอากาศที่เข้าถึงวิชาลับผู้ท่องชั้นที่สี่สิบหกและยังฝึกฝนศาสตร์ลับสี่ภาพวาดของจักรพรรดิเก้าเมฆาอีกด้วย จักรพรรดิเก้าเมฆา…เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดทางด้านอากาศในยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม เขาเชี่ยวชาญทางด้านการควบคุมและใช้งานอากาศยิ่งกว่า บรรพชนห้วงอากาศเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านอากาศที่สุดในยุคอากาศอันสับสนอลหม่าน เขาเชี่ยวชาญทางด้านการใช้พลังของอากาศอันสับสนอลหม่านมาปรับเปลี่ยนร่างกาย เป็นตัวแทนของสองทิศทาง
ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญทั้งสองระบบควบคู่กัน ย่อมทำให้ด้านการควบคุมอากาศของเขาร้ายกาจยิ่งขึ้น
“ทำลาย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือแล้ว
เมื่อเหยียดมือและพุ่งออกไปอย่างสุดกำลัง
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ดอกตูมสีดำอันงดงามดอกแล้วดอกเล่าปรากฏขึ้น มิติของเจดีย์ดาวชั้นที่เก้านี้ก่อให้เกิดน้ำวนพลังฟ้าดินอันน่าหวาดหวั่นขึ้นมา ภายในน้ำวนยุบลงไปเป็นช่องว่าง พลังฟ้าดินอันไร้าที่สิ้นสุดซัดสาดเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ดอกตูมสีดำขั้นหกกลีบถึงสิบเก้าดอกปรากฏขึ้น ดอกหนึ่งห่อหุ้มอีกดอกหนึ่ง ชั้นในสุดห่อหุ้มมารผลาญทำลายร่างผอมเล็กที่ทดลองควบคุมผู้นั้นเอาไว้
สิบเก้าดอก!
ก็คือขีดจำกัดของตงป๋อเสวี่ยอิง
ตอนแรกเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดของเขาอยู่ที่ขั้นแปดแปร เคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงอยู่ที่ขั้นกัณฑ์ที่แปด เขาเพิ่งจะคิดค้นบุปผาผลาญทำลายขั้นหกกลีบขึ้นมา ตอนนั้นครั้งหนึ่งก็สำแดงออกมาได้เพียงสามกลีบเท่านั้น! ในช่วงเวลาสามหมื่นล้านปีหลังจากนั้น พรสวรรค์ด้านวิถีโลกเทียมของเขาก็สูงส่งยิ่งนัก เพียงแค่อาศัยการสั่งสมจากการบำเพ็ญอย่างหนัก ก็สามารถบรรลุเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดขั้นเก้าแปรได้ในรวดเดียว
ส่วนเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงนั้นด้อยกว่าอยู่บ้าง แม้วิถีเข่นฆ่าจะยกระดับขึ้นมากเช่นเดียวกัน แต่ ‘มังกรปาหลงกัณฑ์เก้า’ นั้น เขาฝึกไม่สำเร็จเสียที!
เมื่อฝึกไม่สำเร็จ ก็ไม่เพียงพอให้ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นบุปผาผลาญทำลายขั้นสูงกว่านี้ได้ อันที่จริงตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจว่าต่อให้ฝึกมังกรปาหลงกัณฑ์เก้าสำเร็จ ถึงตอนนั้นการหลอมรวมวิถีสองสายแล้วคิดค้นบุปผาผลาญทำลายกระบวนท่าที่สามที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น เกรงว่าเมื่อสิ่งที่ใฝ่หาก็คือความครบสมบูรณ์ ความยากในการคิดค้นก็จะสูงเสียยิ่งกว่าสูง
บัดนี้เล่า
ข้อแรก เนื่องจากเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดเป็นขั้นเก้าแปรแล้ว เคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงก็นับได้ว่าเป็นกัณฑ์แปดระดับยอด เมื่อระดับขั้นสูงแล้ว ‘บุปผาผลาญทำลายขั้นหกกลีบ’ ก็ถูกเขาเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยให้เรียบง่ายขึ้น นอกจากนี้เมื่อผู้ที่ระดับขั้นสูงสำแดงออกมา พลังจิตที่ต้องการใช้ก็น้อยกว่า คือราวหนึ่งในสามของตอนที่เพิ่งคิดค้นบุปผาผลาญทำลายหกกลีบขึ้นมาก็เพียงพอแล้ว
ข้อสอง เมื่อปีศาจชาดเก้าแปรสำเร็จ ทำให้วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงแข็งแกร่งกว่าตอนแปดแปรกว่าเท่าตัว!
ด้วยเหตุผลทั้งสองข้อ ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสำแดงบุปผาผลาญทำลายขั้นหกกลีบได้ถึงสิบเก้าดอกภายใต้ขีดจำกัด นี่ก็คือหลักประกันด้านหนึ่งในการที่เขาลองบุกชั้นที่เก้า เพราะถึงอย่างไรการบุกโจมตีก็สำคัญมาก หากอานุภาพการโจมตีไม่เพียงพอ แม้แต่การป้องกันพื้นฐานที่สุดของฝูงมารผลาญทำลายก็ยังมิอาจทำลายได้ เช่นนั้นทั้งหมดก็เป็นเรื่องน่าขันแล้ว
“ตู้มมม…” บุปผาผลาญทำลายขั้นหกกลีบสิบเก้าดอกเบ่งบานออกมาพร้อมกัน
มารผลาญทำลายร่างผอมเล็กตนนั้นจะหลบก็ไม่มีทางให้หลบได้เลย ทำได้เพียงทนรับเท่านั้น ทว่าพละกำลังของมันและฝูงมารผลาญทำลายอีกแปดตนเชื่อมต่อกัน ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน การป้องกันก็เป็นหนึ่งเดียว
นี่ก็คือสิ่งที่น่ากลัวของฝูงมารผลาญทำลาย
การป้องกันเป็นหนึ่งเดียว
หากมิอาจทำลายการป้องกันได้ ก็ทำร้ายพวกเขามิได้
“ฟิ้ววว…” ภายใต้อานุภาพการทำลายล้างของบุปผาผลาญทำลายสิบเก้าดอก แสงสีทองอันเรืองรองเหนือผิวกายของมารผลาญทำลายร่างผอมเล็กสามารถยืนหยัดได้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถล่มทลายลงไป เกราะเหนือผิวกายของฝูงมารผลาญทำลายนั้นถูกแหวกออก กล้ามเนื้อและกระดูกของร่างกายก็ถูกฉีกทึ้งเช่นกัน ทว่าก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วภายใต้แสงสีทอง
“เขาสามารถทำลายการป้องกันได้โดยไม่จำเป็นต้องต่อสู้ประชิดตัวด้วยหรือนี่”
ฝูงมารผลาญทำลายเก้าตนเข้าใจทันที
ขั้นอลวนผู้นี้สามารถอาศัยการเคลื่อนที่ในพริบตาทำให้พวกเขาตายได้จากระยะไกล
“ฆ่า”
“ฆ่า”
ฝูงมารผลาญทำลายเก้าตนสำแดงกระบวนท่าที่ร้ายกาจอย่างแท้จริงออกมา
ตู้ม ตู้ม ตู้ม…
ฝูงมารผลาญทำลายเก้าตนต่างก็ระเบิดออก กลายเป็นแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งไปทุกทิศทุกทาง แทบจะในพริบตาเดียว ทั้งเวทีการต่อสู้ก็ถูกแสงสีทองอันเข้มข้นปกคลุมเอาไว้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมถูกปกคลุมไปด้วยเช่นเดียวกัน แสงสีทองจำนวนมากพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“พลังทำลายล้างอันสมควรตายนี่” ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันมีเกราะเกล็ดสีดำปรากฏขึ้นมา และทำให้เคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงหมุนเวียนไปอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งร่างกายก็เริ่มกลายเป็นอากาศธาตุไป เขาพยายามทำให้แรงกัดเซาะของพลังทำลายล้างนี้อ่อนกำลังลงให้มากที่สุด
“ทำลายให้ข้าเสียๆๆ”
บุปผาผลาญทำลายสิบเก้าดอกที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงออกไปอย่างบ้าคลั่งนั้นปลดปล่อยออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งที่โจมตีเสียงดังตู้มมม…ตู้ม….นั่น แสงสีทองอันเข้มข้นที่แผ่คลุมไปทั่วทั้งเวทีก็ล้วนได้รับความเสียหายเล็กน้อย
……
“ไม่เลวเลยๆ” บรรพชนเทียนอวี๋เห็นแล้วดวงตาก็เปล่งประกายออกมา
มารผลาญทำลายเกราะทองกระจายตัวไปเป็นแสงสีทอง โดยทั่วไปก็จะเป็นกระบวนท่าสุดท้าย! เพราะแสงสีทองนี้ก็คือรากฐานของพวกมัน หากพวกมันได้รับบาดเจ็บก็สามารถฟื้นตัวได้ด้วยแสงสีทอง แต่เมื่อร่างกายกระจายตัวออกไปเป็นแสงสีทองจนหมด…เช่นนั้นก็จะไม่มีการป้องกันใดแล้ว
แสงสีทองสามารถใช้ในการหนีไปทุกทิศทุกทางได้! สามารถหนีไปในทิศทางที่แตกต่างกันทั้งยังมีความยืดหยุ่น เช่นสามารถสำแดงการเคลื่อนที่ในพริบตาออกมาได้
ดังนั้นหากมิใช่สภาพแวดล้อมปิดอย่างในเจดีย์ดาว จะสังหารฝูงมารผลาญทำลายก็คงไม่ง่ายดายถึงเพียงนี้ ทันทีที่พวกเขารู้สึกว่าไม่ชอบมาพากลก็จะแยกร่างกายออกแล้วหนีไปทันที! บรรดาผู้บำเพ็ญนั้นมิอาจแยกตัวออกเช่นนี้ได้
อีกอย่างหนึ่ง…
ก็คือสามารถใช้สู้สุดชีวิตได้!
‘พลังทำลายล้าง’ ของฝูงมารผลาญทำลายนั้นสามารถกัดกินวัตถุทั่วไปทั้งหมดในอากาศอันสับสนอลหม่านได้ หากมีพลังทำลายล้างเพียงพอ ต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าที่แข็งแกร่งกว่านี้ก็สามารถกัดกินเข้าไปทำลายได้! ดังนั้นฝูงมารผลาญทำลายจึงได้แปรเป็นพลังทำลายล้างสีทองอันพื้นฐานที่สุดและลงมือกัดกิน เห็นได้ชัดว่าไม่มีวิธีอื่นใดอีกแล้ว จึงได้ใช้กระบวนท่านี้สู้สุดชีวิตโดยไม่สนใจการป้องกันใดๆ อีก
……
“แรงกัดเซาะนี่”
แม้ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงจะแข็งแกร่ง แต่ก็เพียงเพราะเกราะบรรลุถึงระดับอาวุธเทพอากาศชั้นบนเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้วผิวกายก็อ่อนแอกว่าอยู่บ้าง เคราะห์ดีที่ความสามารถในการ ‘กลายเป็นอากาศธาตุ’ ของเขาบรรลุถึงระดับสูงยิ่ง อีกทั้งเขาซ่อนตัวอยู่ในโลกลวง ดังนั้นจึงสามารถยืนหยัดได้นานขึ้น หากเป็นดั่งประมุขวังปาอวิ่นซึ่งได้แต่ใช้ร่างกายฝืนต้านทาน ก็ย่อมฝืนรับได้ไม่นานสักเท่าใดนัก
“ฆ่า ฆ่า ฆ่า…” ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงบุปผาผลาญทำลายออกมาอย่างบ้าคลั่งครั้งแล้วครั้งเล่า แสงสีทองอันเข้มข้นบนเวทีการต่อสู้ค่อยๆ ถูกทำให้อ่อนกำลังลงเรื่อยๆ
นี่ก็คือสถานการณ์ล้างผลาญ
ฝูงมารผลาญทำลายไร้ซึ่งการป้องกันใดๆ พวกเขาปล่อยให้พลังทำลายล้างซึ่งเป็นแก่นของชีวิตถูกตงป๋อเสวี่ยอิงผลาญไปตามอำเภอใจ! แต่พลังทำลายล้างก็กำลังกัดกินตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นเดียวกัน
เพียงชั่วสิบกว่าลมหายใจ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สีหน้าเปลี่ยนแปรไปแล้ว
“ต้านไม่ไหวแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่กล้าเสี่ยงอันตรายต้านรับอีกต่อไป
“ล้มเลิก”
ไม่นานนักเขาก็ถูกวิญญาณอาวุธเจดีย์ดาวเคลื่อนย้ายออกไป
ส่วนแสงสีทองที่หลงเหลืออยู่ก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว กลายเป็นมารผลาญทำลายเกราะทองหกตน ทว่ากลิ่นอายของพวกมันแต่ละตนอ่อนแอมาก ดูเหมือนจะมีหกตน…แต่อันที่จริงพวกเขาแต่ละตนล้วนบาดเจ็บสาหัสมาก อีกสามตนถึงขั้นไม่สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ด้วยซ้ำ! พลังทำลายล้างของพวกเขาในภาพรวมถูกตงป๋อเสวี่ยอิงเผาผลาญไปมากถึงเจ็ดส่วนคาดว่าในตอนนี้ หากฝืนต้านทานอีกสักเจ็ดแปดชั่วลมหายใจก็อาจจะคว้าชัยได้แล้ว
น่าเสียดาย ที่พลังทำลายล้างซึ่งกัดกินเข้าไปในร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งนานไปก็ยิ่งต้านรับได้ยาก
“แพ้เสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยๆ ขับพลังทำลายล้างภายในกายออกมาด้วยความช่วยเหลือของวิญญาณอาวุธเจดีย์ดาว นานแสนนานจึงสามารถขับออกมาได้จนหมด สีหน้าก็ซีดขาวอยู่บ้าง
“ข้าบีบบังคับจนพวกเขาต้องละทิ้งร่างกาย และเอาแก่นแท้มาให้ผลาญ! ก็ยังเอาชนะไม่ได้อีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า
เขาออกจากเจดีย์ดาว
ด้านนอกก็คือประมุขตำหนักวังทวีสูญกลุ่มหนึ่ง
“ตงป๋อ ออกมาแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง”
“เป็นเช่นไร”
แต่ละคนพากกันมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง
“นับว่าเป็นชั้นที่แปดระดับยอดเถิด ชั้นที่เก้ายากเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า
“ชั้นที่แปดระดับยอดหรือ ร้ายกาจ”
“เพิ่งจะบรรลุเป็นขั้นอลวนได้มั่นคงครู่เดียวเท่านั้น เยี่ยมยอด” บรรดาประมุขตำหนักทั้งหลายในที่นั้นล้วนรู้สึกว่าเขาเยี่ยมยอดอยู่ดี ทว่าก็เป็นเรื่องปกตินัก เพราะตอนที่เขายังมิได้สำเร็จเป็นขั้นอลวนก็มีพลังชั้นที่เจ็ดแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า “ท่านบรรพชนเรียกตัวข้าไปหา ข้าต้องขอตัวล่วงหน้าไปก้าวหนึ่งแล้ว”
“ไปเถิดๆ”
“ในภายหน้าเจ้าคงไม่สบายเช่นนี้แล้วล่ะ” บรรดาประมุขตำหนักต่างพากันสัพยอก
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงที่พำนักของบรรพชนเทียนอวี๋ เขามองเห็นบรรพชนเทียนอวี๋กำลังนั่งถือจอกสุราอย่างผ่อนคลายอยู่ภายในลาน
“ท่านบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าวขึ้นทันที
“ไม่เลวๆ ข้าคิดว่าเจ้าจะสำเร็จเป็นระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าได้อาจจะต้องใช้เวลานานมากเสียอีก ตอนนี้ เห็นทีแค่บำเพ็ญให้มากอีกหน่อย ออกไปบุกฝ่าเคี่ยวกรำสักตั้ง ก็มีหวังที่จะสำเร็จเป็นระดับชั้นที่เก้าได้แล้ว” บรรพชนเทียนอวี๋ชมเชย
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างตนกับระดับชั้นที่เก้าดี
จะสำเร็จเป็นชั้นที่เก้าน่ะหรือ
การรุกโจมตีของตนก็คงต้องแข็งแกร่งขึ้น! หากการโจมตีแข็งแกร่งขึ้นก็ย่อมสามารถเผาผลาญพลังทำลายล้างทั้งหมดได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ทว่าอย่าง ‘จักรพรรดิสิงหั่ว’ หรือประมุขตำหนักอลหม่านก็ล้วนแต่มีการต่อสู้ประชิดตัวที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง จึงสามารถทำลายฝูงมารผลาญทำลายและบุกฝ่าชั้นที่เก้าได้ อานุภาพในการโจมตีนี้แข็งแกร่งกว่าบุปผาผลาญทำลายสิบเก้าดอกของตนมากมายนัก
ส่วนการโจมตีของตนนั้นมิอาจยกระดับขึ้นอย่างมากมายภายในระยะเวลาอันสั้นได้จริงๆ นอกเสียจากจะคิดค้นบุปผาผลาญทำลายกระบวนท่าที่สามออกมา
สำหรับตนแล้ว…
ทางเส้นเดียวที่พอมีหวังก็คือใฝ่หาการป้องกันที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น! หากเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แล้วบรรลุถึงกัณฑ์เก้า เกราะเกล็ดเหนือผิวกายก็เทียบได้กับอาวุธเทพอากาศชั้นยอด ร่างกายนี้ก็เยี่ยมยอดพอแล้ว เมื่อรวมกับการส่งเสริมจาก ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ ของตนที่ในภายหน้าจะสูงส่งขึ้นและโลกลวงแล้ว วิธีการป้องกันก็เพียงพอให้ชายตาแลขั้นอลวนได้
การป้องกันแข็งแกร่งแล้ว สามารถต้านทานได้มากขึ้น ก็เพียงพอจะผลาญฝูงมารผลาญทำลายเหล่านั้นจนถึงตายได้แล้ว
“แม้เมื่อเทียบกันแล้วทางเส้นนี้จะง่าย แต่เช่นนั้นในระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้า ข้าก็นับว่าอ่อนแอ อย่างจักรพรรดิดำพวกนั้นจึงจะนับว่าแข็งแกร่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ จักรพรรดิดำนั้นเหี้ยมเกรียมมาก วิธีการต่างๆ ของเขาล้วนบรรลุถึงระดับขั้นที่แข็งแกร่งมาก เทพจักรวาลก็ยากที่จะทำอะไรเขาได้
“ตอนนี้เจ้าต้องเคี่ยวกรำให้มากหน่อย” บรรพชนเทียนอวี๋พูดยิ้มๆ “ตอนนี้ค่อนข้างเหมาะสมที่จะไปยังชายขอบของห้วงอากาศ และทำการต่อสู้จำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อเคี่ยวกรำตนเอง รอให้พลังของเจ้าบรรลุถึงระดับชั้นที่เก้าเสียก่อน ข้ามีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งจะมอบให้เจ้า เจ้าเป็นคนที่เหมาะสมมาก ถึงตอนนั้นหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตะตกรางวัลอย่างงามให้แก่เจ้า”
“หา” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงสัย “เรื่องใหญ่หรือ”
 ………………………………..

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด