Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 6 เจดีย์ดาวชั้นที่เก้า

อ่านนิยายจีนเรื่อง Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ตอนที่ 6 เจดีย์ดาวชั้นที่เก้า 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

ลมหนาวพัดโชย บรรพชนเทียนอวี๋หลับตาพริ้มพลางลิ้มรสสุรา แล้วเผยสีหน้าดื่มด่ำออกมา
“ตาเฒ่าอย่างข้าก็แค่อยากดื่มสุราสักหลายจอก ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายและชี้แนะศิษย์รุ่นหลังออกมาสักหน่อยเท่านั้น แต่เพียงแค่นี้ก็มิอาจเติมเต็มความต้องการของข้าได้ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะปกครองทั้งอากาศอันสับสนอลหม่าน แล้วให้ข้าเป็นหุ่นเชิดของเขา ภักดีต่อเขาอย่างสิ้นเชิงอย่างนั้นหรือ ช่างฟั่นเฟือนไปแล้วจริงๆ! ฝูงมารผลาญทำลายเหล่านั้นก็ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย สถานการณ์ก็เลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ เฮ้อ ปวดหัว ปวดหัวจริงๆ! บรรพชนทิพย์ บรรพชนโลกา ราชันย์มีดและคนอื่นๆ รวมทั้งผู้ที่ลอบวางแผนอย่างลับๆ เหล่านั้น พวกเจ้าก็ฮึดสู้สักหน่อยแล้วกำจัดจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั่นไปเสีย ทุกคนก็จะเป็นอิสระแล้วมิใช่หรือ” บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายหน้า
“ทางสายความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของข้ามีจอมกระบี่โผล่ขึ้นมาคนหนึ่ง เขาร้ายกาจกว่าข้ามากนัก” บรรพชนเทียนอวี๋เผยสีหน้าปล่อยวางออกมา “ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นยังเชี่ยวชาญทางด้านการส่งถ่ายระยะไกล สามารถช่วยเหลือทุกสารทิศได้ เพียงพอที่จะช่วยทำการใหญ่ได้แล้ว”
ผู้แกร่งกล้าระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าเหมือนกัน
สามารถส่งถ่ายระยะไกลได้ เช่นนั้นก็จะมีประโยชน์เพิ่มขึ้นมากแล้ว!
เมื่อพบกับอันตราย สามารถหนีเอาชีวิตรอดได้ในพริบตา! แต่หากตนไม่ถนัด เชิญให้ผู้อื่นช่วยส่งถ่าย ก็จะเสียเวลาเพิ่มขึ้นมากทีเดียว
“เจ้าหนุ่มนี่เริ่มบุกฝ่าเจดีย์ดาวแล้ว” บรรพชนเทียนอวี๋หัวเราะฮิฮิพลางดื่มด่ำกับสุรา แล้วมองดูภาพที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศตรงหน้า ซึ่งก็คือภาพที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในเจดีย์ดาวชั้นที่แปด
“หวังว่าเขาจะสามารถบรรลุถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าในรวดเดียวได้” บรรพชนเทียนอวี๋พึมพำ จากนั้นเขาเองก็หัวเราะออกมา เขาเข้าใจดีว่า ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเก่งกาจสักเพียงใด เป็นสิ่งมีชีวิตขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับชั้นที่เจ็ดซึ่งในภายหน้ามีโอกาสอย่างมากที่จะสำเร็จเป็นระดับชั้นที่เก้า แต่โดยทั่วไปแล้วก็ต้องใช้เวลาสั่งสมหรือเคี่ยวกรำที่นานพอ
“อาจจะมีปาฏิหาริย์ก็ได้นี่นา” บรรพชนเทียนอวี๋พึมพำ ปาฏิหาริย์อย่าง ‘จอมกระบี่’ ที่เก็บตัวอยู่ก็สามารถสำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้ก็เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว ปาฏิหาริย์ใด บรรพชนเทียนอวี๋ก็สามารถรับได้ทั้งนั้น
ส่วนในภาพตรงหน้า ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เริ่มต่อสู้แล้ว
……
ณ มิติเจดีย์ดาวชั้นที่แปด
เวทีการต่อสู้ขนาดมหึมาเหมือนกับเจดีย์ดาวแห่งนั้นของเมืองราชันย์มีด เหนือผิวเวทีมีรอยอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมา แสงสีทองรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นมารผลาญทำลายเกราะทองตนหนึ่ง นี่คือมารผลาญทำลายที่มีเปียโลหะนับร้อยเส้น ซึ่งบนเปียแต่ละเส้นล้วนทำให้มิติรอบด้านบิดเบี้ยวไปหมด
“ขั้นอลวนแห่งวังทวีสูญ เพิ่งจะบรรลุหรือ ที่ผ่านมาไม่เคยพบเจ้ามาก่อนเลย” มารผลาญทำลายเกราะทองตนนี้มีตาถึงหกข้าง แต่ละแถวมีตาสองข้าง ดวงตาทั้งสามแถวเปล่งประกายสีทองออกมาอยู่ตลอดเวลา
ทันใดนั้นด้านหลังของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันมีสัตว์ปีกสีแดงเพลิงขนาดมหึมาตนหนึ่งปรากฏขึ้น มันสยายปีกมหึมาออกมา กระแสอากาศสีแดงสายแล้วสายเล่าแผ่กำจายออกมาแล้วปกคลุมทั่วทั้งเวทีเอาไว้ มารผลาญทำลายเกราะทองตนนี้เริ่มโซซัดโซเซขึ้นมา จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างแรงแล้วดำดิ่งลงไปเป็นครั้งคราว
“คำเล่าลือมิใช่เรื่องเท็จเลย ฝูงมารผลาญทำลาย ในด้านการสกัดกั้นเขตลวง พวกเขาอ่อนแอกว่าผู้บำเพ็ญทั่วไปอยู่บ้าง เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดของข้าบรรลุถึงขั้นเก้าแปรระดับยอดแล้ว แต่อานุภาพก็เทียบได้กับระดับเจดีย์ดาวชั้นที่แปดเท่านั้น! สำหรับยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่แปดแล้ว ก็ทำได้เพียงส่งผลกระทบต่อพวกเขาเท่านั้น ยังมิอาจใช้จัดการได้จริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
แต่เห็นได้ชัดว่ามารผลาญทำลายตรงหน้าได้รับผลกระทบใหญ่หลวงยิ่งนัก เกรงว่าพลังคงสำแดงออกมาได้เพียงสองส่วนจากสิบส่วนเท่านั้น
“สมควรตาย สมควรตาย” มารผลาญทำลายเกราะทองสะบัดศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า คิดจะครองสติเอาไว้ให้ได้
แต่เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดนั้นไม่เหมือนกับวิถีโลกเทียม เมื่อผนวกรวมกับกระแสอากาศสีแดงนั้น  อานุภาพของมันก็ยิ่งใหญ่ขึ้น ทั้งยังสามารถปกคลุมทั้งโลกเขตลวงได้อย่างต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า
“ลองดู”
เขากำหนดจิตคราหนึ่ง
ดอกตูมสีดำดอกหนึ่งกำเนิดขึ้นจากโลกลวงแล้วร่อนลงมายังโลกจริง ก่อนจะปกคลุมมารผลาญทำลายเกราะทองเอาไว้ ซึ่งก็คือบุปผาผลาญทำลายระดับหกกลีบ มารผลาญทำลายเกราะทองรู้สึกว่าตนถูกดอกตูมสีดำขนาดมหึมาปกคลุมเอาไว้ ขณะพยายามฝืนครองสติไว้ให้ได้นั้นก็ชกออกไปหมัดหนึ่ง ตู้ม มันกระทบลงบนดอกตูมสีดำ ดอกตูมก็เบ่งบานออกพร้อมกันแล้วเริ่มทำลายล้าง
ตู้มมม…อานุภาพทำลายล้างทำให้ผิวของมารผลาญทำลายเกราะทองถูกเชือดเฉือนออกจนเกิดบาดแผลใหญ่
“สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างครุ่นคิด “ทว่าจะคว้าชัย ลำพังแค่บุปผาผลาญทำลายหกกลีบดอกเดียวก็เกรงว่าคงจะต้องสำแดงออกมาหลายครั้ง”
“ไม่เสียเวลาแล้วดีกว่า”
“สามดอก!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงลองดู
บุปผาผลาญทำลาย ‘ขั้นหกกลีบ’ สามดอก ทำให้มารผลาญทำลายเกราะทองตนนี้บาดเจ็บสาหัสอย่างแท้จริง เกราะสีทองบนร่างกายแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เผยให้เห็นบาดแผลอัปลักษณ์อันทารุณ ทว่าเปียโลหะกว่าร้อยเส้นของมันกลับหลอมรวมเข้าไปในกายอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ร่างกายฝืนต้านทานเอาไว้ได้ นอกจากนี้แสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนเหนือผิวกายของเขาก็กระเพื่อมไหว และกำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
“หกดอก”
ตู้มมมม…
บุปผาผลาญทำลายขั้นหกกลีบหกดอกซ้อนทับกัน ดอกไม้ดอกใหญ่ห่อหุ้มดอกไม้ดอกเล็กเอาไว้ ท้ายที่สุดก็ปะทุออกมาอย่างเต็มที่ ร่างของมารผลาญทำลายเกราะทองถูกกระแทกเสียจนเหลือเพียงเปียโลหะไม่กี่เส้นที่ห่อหุ้มโครงกระดูกเอาไว้ แต่จากนั้นแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาแล้วฟื้นตัวอีกครั้ง ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่รีบร้อน ปล่อยให้มันฟื้นตัวต่อไปอย่างต่อเนื่อง กระทั่งฟื้นตัวจนสมบูรณ์ดี
“เก้าดอก!”
ภายใต้บุปผาผลาญทำลายขั้นหกกลีบถึงเก้าดอกที่ทับซ้อนกันอานุภาพก็น่าหวาดหวั่นมากอย่างแท้จริง หากกล่าวว่าหนึ่งดอกเพียงแค่ทำให้มารผลาญทำลายเกราะทองบาดเจ็บได้ เช่นนั้นเก้าดอก…ก็ทำให้มารผลาญทำลายเกราะทองตนนี้ยากที่จะทนรับได้แล้ว เปียโลหะอันแข็งแกร่งทนทานนั้นกลับแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปจนสิ้นตามการเคลื่อนไหวของการทำลายล้าง ครั้งนี้แสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนทะลุงลงไปเบื้องล่างเวทีเลยทีเดียว
เห็นได้ชัดว่าคว้าชัยได้แล้ว!
“เก้าดอกก็แทบจะเอาชนะได้ในกระบวนท่าเดียวเลยหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ
……
บรรพชนเทียนอวี๋มองดูภาพการต่อสู้ เขาพยักหน้าน้อยๆ แล้วเผยรอยยิ้มออกมา “กระบวนท่าบุปผาที่ตงป๋อคิดค้นขึ้นมานี้ขยายออกไปเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งกว่าแล้วจริงๆ เก้าดอกร่วมแรงกัน ก็พอจะนับได้ว่าเป็นชั้นที่แปดระดับยอดแล้ว ตอนนี้ก็ต้องดูชั้นที่เก้าแล้ว…”
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้ามองน้ำวนขนาดมหึมาที่ปรากฏขึ้นกลางฟากฟ้า จากนั้นเขาก็กลายเป็นลำแสงแล้วทะยานขึ้นสู่ฟ้า ก่อนจะแทรกเข้าไปในน้ำวนขนาดมหึมานั้นและมาถึงชั้นสุดท้ายของเจดีย์ดาว…ชั้นที่เก้านั่นเอง!
เบื้องหน้าคือตำหนักเทพแห่งหนึ่ง
ภายในตำหนักเทพมีบัลลังก์อยู่แห่งหนึ่งซึ่งมีรูปสลักหนึ่งนั่งอยู่ มีรูปสลักถึงแปดอันขนาบอยู่สองข้าง แต่ละตนล้วนมีรูปร่างเป็นฝูงมารผลาญทำลาย เพียงแต่เป็นรูปสลักสีเทาอันเลือนรางเท่านั้น มิได้มีกลิ่นอายอันใด
รูปสลักบนบัลลังก์มองผ่านประตูตำหนักเทพออกไปด้านนอก เมื่อมองไปก็เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่กลางจัตุรัส
“ฆ่ามัน!”
เสียงอันไร้รูปร่างสายหนึ่งสะท้อนก้องไปทั่วทั้งบริเวณฟ้าดินของชั้นที่เก้า เหมือนกับจะส่งออกไปจากรูปสลัก แต่ก็เหมือนกับแพร่ออกมาจากกลางฟ้าดิน
ฟิ้วๆๆ…
รอยอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนเหนือพื้นเริ่มมีแสงสีทองปรากฏขึ้น สีทองจำนวนมากรวมตัวกันจุดแล้วจุดเล่า การรวมตัวกันในแต่ละจุดล้วนก่อตัวขึ้นมาเป็นมารผลาญทำลายเกราะทองตนหนึ่ง ทั้งหมดมีมารผลาญทำลายเกราะทองถือกำเนิดขึ้นเก้าตน ลักษณะของพวกเขาแตกต่างกันไป บ้างก็สูงใหญ่ บ้างก็ผอมเล็ก บ้างก็ตัวเล็กน่ารัก บางคนเหมือนร่างอยู่ในเงามืด
ทว่ากลิ่นอายของพวกเขา โดยทั่วไปก็แข็งแกร่งกว่ามารเกราะทองที่พบในชั้นที่แปดตนนั้นอยู่บ้าง
“มีแต่ต้องสังหารพวกเขาให้หมดเกลี้ยจึงจะถือว่าบรรลุระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจดีว่าศัตรูตรงหน้านั้นยากจะรับมือ หากสามารถสังหารพวกเขาให้หมดเกลี้ยงได้ ก็แสดงว่าพลังการต่อสู้ของตนนั้นบรรลุถึงระดับเทพจักรวาลแล้ว แม้จะอ่อนแอกว่าเทพจักรวาลไม่ว่าหน้าไหน แต่ดีร้ายอย่างไรก็เพียงพอให้ก้าวข้ามระดับนั้นมาได้แล้ว
“ต้องทุ่มสุดตัวแล้ว” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงร้อนระอุขึ้นมา ก่อนหน้านี้เขาสามารถจัดการชั้นที่แปดได้สบายๆ แต่ชั้นนี้เขาจะประมาทมิได้เลยแม้แต่น้อย
“มีผู้ที่มาบุกฝ่าชั้นที่เก้าด้วยหรือนี่ วังทวีสูญมีเจ้าหนุ่มที่ร้ายกาจเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว”
“ลงมือ”
“ฆ่าเขาเสีย”
มารผลาญทำลายเกราะทองเก้าตนเคลื่อนไหวพร้อมกัน
ฟิ้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน ทันทีที่เขาขยับก็หายวับไปก่อนจะปรากฏขึ้นบนเวที แล้วสำแดงพลังด้านอากาศที่น่าหวาดหวั่นที่สุดของเขาในตอนนี้ออกมา
 …………………………………

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด